มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1280

ถึงขนาดที่ว่าพลังของสวรรค์อัสนียังได้แทรกซึมเข้าสู่ตัวหยั่งรู้ของเขา ได้กลั่นแปรวิญญาณหยั่งรู้ของเขาให้แข็งแรงยิ่งขึ้น สามารถต้านทานการโจมตีทางวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้

ยังมีตัวสำนึกของเขา ตัวสำนึกทุกเส้นสายต่างก็ได้ผ่านการกลั่นแปรของสวรรค์อัสนี และได้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยที่มองไม่เห็น

นักยุทธ์จำนวนมากเมื่อพูดถึงทัณฑ์สวรรค์อัสนี ก็จะหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่สำหรับหลัวซิวแล้ว การรับทัณฑ์นั้นเป็นโอกาสอันดีที่หาได้ยาก สามารถทำให้เขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้

สุดท้ายแล้ว เจ็ดปีผ่านไปในโลกาศุภร แต่ที่โลกภายนอกผ่านไปเพียงแค่แปดเดือนกว่า ๆ เท่านั้น

หลังจากที่รับทัณฑ์เสร็จเรียบร้อย หลัวซิวก็ได้บรรลุถึงขั้นเจ็ดตามที่ตั้งไว้ จากนั้นเวลาที่เหลืออยู่ หลัวซิวใช้เพื่อทำความเข้าใจแดนสัมผัสรู้ของมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเจ็ด รวมทั้งสร้างความมั่นคงให้กับพื้นฐานของตัวเอง

“ทะลวงจากมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นห้าระดับสูงสุดบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเจ็ด ได้สูญเสียทรัพยากรที่มีอยู่ในมือไปไม่น้อย”

ครั้งนี้ได้ปิดตัวฝึกตนเป็นระยะเวลาเจ็ดปี ทรัพย์สินที่ได้มาจากการสังหารตาเฒ่าประหลาดตวนมู่ถูกหลัวซิวใช้ไปจนแทบหมด แก้วเทวนับล้านได้กลายเป็นผุยผง ยาเซียนที่มีอยู่ก็ได้ถูกเขากินไปจนหมด

ทรัพยากรสมบูรณ์แบบที่มีอยู่นั้นได้ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น ยังเหลือวัตถุดิบ ยาเซียนและสมบัติจำนวนมากอยู่ในแหวนเก็บของตาเฒ่าประหลาดตวนมู่ ก็นับว่าเป็นทรัพย์สินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

เขาเดินออกมาจากโลกาศุภร และเก็บชิ้นส่วนของใจแห่งศุภรลง เพิ่งจะออกมาจากจุดปิดขังตนได้ไม่นานนัก ก็ได้เกิดสัญญาณเตือนขึ้นมาภายในใจ สัมผัสได้ถึงความอันตรายที่รุนแรง

จะต้องรู้ว่า ในระยะเวลาเจ็ดปีที่ปิดขังตัวเองมานี้ ไม่เพียงผลการฝึกตนของเขาที่บรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเจ็ด ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากได้กลั่นแปรช่องจิตเทพฟ้าดวงหนึ่ง ผลการฝึกตนตัวสำนึกของเขายังได้บรรลุถึงแดนเทพมารระดับสูงสุดอีกด้วย!

ร่างเนื้อของเขาได้ผ่านการชุปของทัณฑ์สวรรค์อัสนีมาเป็นครั้งที่สาม และได้บรรลุถึงแดนร่างยุทธ์เทพมารขั้นเจ็ดเป็นที่เรียบร้อย

สามารถพูดได้โดยไม่ลังเลว่า ร่างยุทธ์ของเขาในตอนนี้สามารถสังหารเทพมารระดับสูงสุดได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันกับตาเฒ่าประหลาดตวนมู่อีกครั้ง ก็จะไม่ยากลำบากเหมือนเมื่อก่อนอย่างแน่นอน

แม้ว่าจะใช้พลังการต่อสู้เช่นนี้ ก็ยังทำให้เขารู้สึกถึงกลิ่นอายของอันตรายอย่างใหญ่หลวงอยู่ดี เห็นได้ชัดว่าคู่ต่อสู้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“ส่วนจะเป็นใครกันนะ? และรู้ได้อย่างไรว่าข้าปิดขังตัวอยู่ ใกล้กับบริเวณนี้

ความคิดต่าง ๆ นานา ผ่านเข้ามาในใจของหลัวซิว สายตาของเขามองไป ยังจุดจุดหนึ่งในอากาศ ความรู้สึกอันตรายได้มาจากทางนั้นนั่นเอง

“จิตญินว่องไวไม่น้อย ไม่นึกว่าจะสัมผัสถึงพวกเราได้”

ปริภูมิที่คาด เงาร่างมนุษย์ได้ปรากฏขึ้นมาสายแล้วสายเล่า วินาทีที่หลัวซิวเห็นคนพวกนี้ หัวใจของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที

ในนั้นมีเทพมารระดับสูงสุดที่ไม่สมบูรณ์แบบนักเจ็ดคน แต่ที่ด้านหน้าของเทพมารระดับสูงสุดทั้งเจ็ดคนนี้ มีอยู่สามคนที่เป็นผู้นำ

คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีเขียวที่มีหน้าตาเคร่งขรึม คนหนึ่งเป็นชายชราที่มีรูปร่างผมเล็ก ส่วนอีกคนนั้นเป็นเผาปีศาจที่มีเกล็ดงูสีม่วงอยู่ตรงกลางระหว่างคิ้ว

เห็นได้ชัดว่า คนเผ่าปีศาจผู้นี้ได้มาจากชนเผ่าเทพปีศาจเก้าหัวที่มีสายเลือดอันแข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปีศาจงูสายเลือดระดับมารม่วงนับเป็นสายเลือดที่สูงส่งที่สุดของเผ่าปีศาจ ภายในร่างกายของผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจผู้นี้มีกระแสพลังอันแข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวไหลทะลักอยู่

ชายร่างกายผอมเล็กผู้นั้นดูไม่เป็นที่สะดุดตาเลยสักนิด แต่ที่รอบกายของเขากลับมีปราณปีศาจอันเย็นยะเยือกรายล้อมอยู่ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ที่เป็นเหมือนดั่งอสรพิษ เลือกกลืนกินผู้คน

ส่วนชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีเขียวที่มีหน้าตาเคร่งขรึมผู้นั้นไม่ได้มีกลิ่นอายพิเศษอะไรแผ่ซ่านออกมา แต่ความรู้สึกที่ให้กับหลัวซิวนั้น กลับอันตรายกว่าอีกสองคนที่เหลือมากนัก

“เทพฟ้าสามคน!”

หลัวซิวมีท่าทางเคร่งขรึม เขามองออกในทันทีว่า ยกเว้นเผ่าปีศาจผู้นั้น ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ล้วนเป็นนักยุทธ์จากเขาปีศาจนรก