ฤดูใบไม้ผลิปีที่สามสิบสามในแคว้นใหม่ เกิดหลายสิ่งหลายอย่างขึ้น
ก่อนอื่นองค์จักรพรรดิแห่งต้าโจวทรงประกาศราชโองการออกมาฉบับหนึ่ง ขอให้พระราชวังหลีเสนอชื่อสังฆราชองค์ใหม่โดยเร็ว เรื่องนี้ทำให้เกิดความโกลาหลยกใหญ่ โดยมีไม่กี่คนที่รู้ว่า หลังจากทรงประกาศพระราชโองการฉบับนี้ องค์จักรพรรดิก็นั่งนิ่งบนราชบัลลังก์อยู่นาน ค่อยให้ศิษย์น้องเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
ถนนไท่ผิงก็คึกคักมากเหมือนกัน จงซานอ๋องกำลังด่าว่าพ่อครัวคนใหม่อย่างสาดเสียเทเสีย เนื่องจากรสชาติของบะหมี่ผัดเครื่องปรุงไม่ถูกต้อง ส่วนจวนสกุลเซวียที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เซวียเย่จิ่นผู้สอบได้ลำดับที่สองในการสอบใหญ่ พอออกจากสุสานเทียนซู เรื่องแรกคือ ถูกบิดามารดาพาไปดูตัวหาคู่ทั่วเมือง จนต้องทอดถอนใจทุกคืน
ด้านม่ออวี่ก็แอบถูกใจบ้านลับของโจวทงที่อยู่ข้างจวนสกุลเซวีย โดยระยะนี้ พอเสร็จจากการประชุมขุนนาง เรื่องที่นางชอบทำมากที่สุดก็คือ อยู่ที่นี่กับหลัวหยางอ๋อง คิดค้นว่าจะหมักหัวไชเท้าอย่างไรถึงจะอร่อย เห็นทีนางตั้งครรภ์แล้วจริงๆ
เฟิ่งกุยจวินแห่งเมืองสวินหยางที่ก่อนหน้านี้เอาแต่อยู่ในเมืองเสวี่ยเหล่า ว่ากันว่ากำลังเรียนการแสดงละครร้อง ความสำเร็จของอารยธรรมเผ่ามารถูกราชวงศ์ต้าโจวนำมาแบ่งปันให้คนทั้งโลกได้ซึมซับอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย บันทึกงานวิจัยอันล้ำค่าที่สุดของนักวิชาการทงกู่ซือก็ปล่อยให้ราชสำนักกับเขาหลีซานเอาไปคนละครึ่ง จนถึงตอนนี้ ก็สามปีแล้วที่โก่วหานสือมิได้ออกจากยอดเขา ด้วยมีบันทึกงานวิจัยอยู่เป็นเพื่อนทั้งวันทั้งคืน
ทว่าชิวซานจวินกลับอ่านเพียงสามวัน ก็จากไปเพียงลำพัง เพื่อไปยังทุ่งหิมะอันหนาวเหน็บและห่างไกล โดยไม่สนใจคำขอร้องอ้อนวอนของบิดา รอจนกวนเฟยไป๋รู้ข่าวแล้วรีบเร่งเดินทางจากเวิ่นสุ่ยกลับมา ก็ไม่เจอเขาแล้ว จึงไม่มีโอกาสถามศิษย์พี่แล้วว่า จดหมายฉบับที่เขียนให้เหลียงปั้นหูในตอนนั้น มีใจความว่าอย่างไร
ไม่มีใครรู้ว่าชิวซานจวินไปทะเลเหนือ ที่นั่นเขาได้พบกับคนบรรพตอีชุนและคนบรรพตจิ้งพัว โดยมิได้ปิดบังจุดประสงค์ของตนเอง บอกคนบรรพตทั้งสองท่านตรงๆ ว่า เขาเตรียมจะใช้ชีวิตอยู่ในทะเลเหนือนานหลายปี รอจนฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิตตามธรรมชาติด้วยโรคชรา ค่อยนำร่างของพวกเขามาวิจัยทางกายวิภาคตามบันทึกของนักวิชาการทงกู่ซือ โดยหวังว่าจะสามารถหาวิธีทำให้ชนเผ่ามารสืบสายพันธุ์ได้อย่างต่อเนื่อง คนบรรพตทั้งสองมิได้โมโห และมิได้รู้สึกว่าเขาเป็นคนบ้า ยิ้มแย้มและเห็นด้วยกับคำขอของเขา
เช้าวันรุ่งขึ้น ชิวซานจวินก็เห็นหนานเค่อ ค่อยรู้ว่านางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว เพียงแต่ดูๆ ไปอาการป่วยของนางยังไม่หายดี กลับแย่ลงกว่าเดิมอีก
เขายิ้มเล็กน้อย แล้วว่า “บังเอิญนัก ล่าสุดข้าหัดลำนำกระบี่ได้เพลงหนึ่ง เจ้าอยากฟังไหม”
……
……
โลกเรียบร้อยดีทุกอย่าง แต่ถังซานสือลิ่วรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ที่เมืองเวิ่นสุ่ย ต่อให้เขาหยิ่งยโสอย่างไร ก็แสดงความสามารถไม่ออก พอกลับเมืองหลวง ก็รับไม่ได้กับการแสดงความรักของคู่รักหนุ่มสาวเจ๋อซิ่วกับชีเจียน ส่วนท่านปู่ก็ร่างกายแข็งแรง เห็นชัดว่าภายในสิบปีนี้ ไม่มีทางจากโลกนี้ไปแน่ ส่วนพิษในร่างท่านพ่อถูกถอนจนหมด อย่างน้อยก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายร้อยปี แล้วเขาล่ะ สามารถทำอะไรได้บ้าง
เขาไปยังเขาดอกท้อที่อยู่นอกเมือง เข้าไปในกระท่อมดอกท้อของบ้านหลังนั้น สั่งชาดอกท้อมาหนึ่งถ้วย พอได้นั่งก็นั่งยาวไปสามฤดูใบไม้ร่วง แต่อย่างไรก็ไม่ได้ยินเสียงสะท้อนอีก
ชีวิตของลั่วลั่วก็ผ่านไปได้ไม่ดีเช่นกัน ช่วงฤดูใบไม้ผลิ นางถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชาทายาท แต่นั่นมิได้ส่งผลต่อชีวิตของนางมากนัก นอกจากอ่านหนังสือ ฝึกวรยุทธ์ วาดดอกสาลี่แล้ว สิ่งที่นางมักทำเป็นประจำก็คือ มองดูทะเลเมฆ แล้วใช้นิ้วถูก้อนหินโดยไม่รู้ตัว ท่าทางเหงาๆ
เซวียนหยวนผ้อมิได้เป็นหัวหน้าทหารต่อ และมิได้ติดตามจินอวี้ลวี่ไปทำไร่ เขาเป็นองครักษ์ของลั่วลั่ว
ขณะลั่วลั่วยืนเหม่อมองทะเลเมฆอยู่ริมหน้าต่างวงกลม เขาก็ยืนเหม่อมองนางเช่นเดียวกัน เขารู้ว่าองค์หญิงจะไม่อยู่ที่นี่นานจนเกินไป เพราะขั้นบำเพ็ญเพียรขององค์หญิงยากลำบากจริงๆ และเมื่อถึงวันที่ผ่านขั้นนี้ไปได้ องค์หญิงต้องไปหาเฉินฉางเซิงที่โลกใบนั้น
แม่น้ำถงเจียงในยามพลบค่ำ สวยงามราวกับเข็มขัดสีทอง
ชีวิตในเมืองเล็กๆ ยังคงสงบและผ่อนคลายกระไรเช่นนั้น
ไพ่นกกระจอกไม้ไผ่สีเขียวถูกแบลงบนโต๊ะ นำมาซึ่งเสียงดังฮือฮา
ชิงอี๋เส้อ[1]
สวีโหย่งหรงจ้องมองไพ่ไม้ไผ่เงียบๆ แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้น “รู้สึกไม่เลว”
สตรีที่แต่งงานแล้วกับผู้เล่นอีกสองคนกำลังจะขานรับสองประโยค พลันรู้สึกมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
คำพูดประโยคนี้ของนาง คล้ายมิได้พูดถึงไพ่
……
……
เมฆหมอกซึ่งรายล้อมเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ตลอดปีพลันกระจายออก สัตว์ปีกและนกหายากจำนวนนับไม่ถ้วนบินมาจากที่ต่างๆ ของดินแดนต้าลู่ ราวกับมาแสวงบุญก็มิปาน
หนึ่งฝนในฤดูใบไม้ร่วงชะล้างแม่น้ำถงเจียง ทั่วทุกแห่งหนในโลกล้วนสนองตอบ
หวังผ้อยืนอยู่ใต้ต้นอู๋ถง มองไปยังทิศที่ตั้งของสถานศึกษาหนานซี ทอดถอนใจแล้วว่า “ไม่ธรรมดา”
เขาชัดเจนดีว่า ที่สวีโหย่งหรงมิได้จากไปพร้อมกับเฉินฉางเซิงในปีนั้น มิไช่เป็นเพราะสถานศึกษาหนานซีมีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย หรือเป็นเพราะสถานการณ์โดยรวมยังไม่แน่นอน
นางเพียงไม่ยอมศิโรราบให้ นางต้องการจากไปด้วยตัวเอง
ตอนที่เฉินฉางเซิงบรรลุเข้าอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ในเมืองเสวี่ยเหล่า ประกอบไปด้วยสาเหตุหลายประการ โดยกระบวนการนี้ไม่สามารถกระทำซ้ำได้
ซึ่งถ้านับกันจริงๆ ขึ้นมา สวีโหย่วหรงจึงจะเป็นผู้บรรลุเข้าอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อายุน้อยที่สุด
……
……
ก่อนจากไป สวีโหย่วหรงได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากเมืองหลวง
ลายมือสะอาดหมดจด ค่อนข้างคล้ายกับเฉินฉางเซิง และค่อนข้างคล้ายกับอวี๋เหรินเช่นกัน
ใจความในจดหมาย ลอกมาจากคำพูดเดิมของอวี๋เหริน
“หลังจากนี้สามปี ข้าจะสละบัลลังก์ พาเขากลับมาแทนที่ข้า”
……
……
มีผู้ที่ไปจากโลกใบนี้ก่อนสวีโหย่วหรง นางก็ไปตามหาเฉินฉางเซิงเช่นเดียวกัน
สาวน้อยชุดดำก้าวออกจากหุบเหว มองไปยังป้อมปราการหิมะน้ำแข็งอันใหญ่โตมโหฬารที่อยู่ข้างหน้า พอได้ยินเสียงตะโกนจากบนกำแพงเมือง ใบหน้านางก็เต็มไปด้วยความงุนงง
ถ้านางฟังไม่ผิด คนเหล่านั้นกำลังตะโกนคำว่าอัศวินมังกร แต่สิ่งที่บินมาในพายุหิมะเป็นกิ้งก่าฝูงหนึ่งมิใช่หรือ
……
……
เฉินฉางเซิงนั่งยองๆ อยู่ริมลำธาร ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหยดน้ำตามเนื้อตัวให้สะอาดสะอ้าน แล้วจึงลุกขึ้นยืน เดินผ่านป่า ผ่านรั้ว มุ่งหน้าไปยังสิ่งก่อสร้างที่อยู่ห่างไกล
ผมที่ดกและดำขลับของเขาถูกตัดสั้น จึงม้วนเล็กน้อย ไม่มีทางมวยผมแบบนักพรตได้ แต่ดูๆ ไปก็สดชื่นดีเหมือนกัน
เขาสวมเสื้อผ้าที่ซักอย่างไม่เปื้อนฝุ่นแม้แต่น้อย จึงดูสดใสแตกต่างจากนักศึกษาเวทมนตร์คนอื่นๆ
อาจเพราะสาเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ในวิทยาลัย หรือป้าๆ ในไร่ปศุสัตว์เหล่านั้น ก็ล้วนชื่นชอบเขายิ่ง
เฉินฉางเซิงในตอนนี้เป็นนักศึกษาเวทมนตร์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง
ในดัชชี่[2]แห่งเกรย์ฟอร์ต (The Duchy of Greyfort) นี้ นักศึกษาเวทมนตร์อย่างเขามีมากมายหลายหมื่นคน
เขาไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครรู้ความลับเรื่องที่ว่าเขามาจากอีกโลกหนึ่ง แม้ว่าวิทยาลัยแห่งนี้จะมีนักเวทเก่งๆ อยู่มาก กระทั่งมีผู้วิเศษชื่อเสียงโด่งดังอยู่สองคน
——
[1] ชิงอี๋เส้อ วิธีชนะอย่างหนึ่งในการเล่นไพ่นกกระจอก โดยมีตัวเลขที่ระบุอยู่บนหน้าไพ่ประเภทเดียวกันเรียงกัน
[2] ดัชชี่ (Duchy) คือ เป็นอาณาเขตการปกครองหรือบริเวณที่ปกครองโดยดยุก (Duke) หรือดัชเชส (Duchess)