ตอนที่ 1259 นายพาฉันไปด้วยได้ไหม?

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

ฉัน…

ได้รางวัลเหรอ?!

ลู่โจวรู้สึกงงนิดหน่อย

ไม่ใช่เพราะว่าตื่นเต้นนะ…

มันก็แค่ว่า…

เขาไม่ได้คาดคิดจะเจอสิ่งนี้

เขาไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไวขนาดนี้

นี่อาจจะฟังดูอวดดี แต่ลู่โจวคิดว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์มาแน่นอน แต่การคิดถึงเรื่องนั้นก็ยังเร็วเกินไป

เพราะท้ายที่สุดแล้ว…

มันก็เพิ่งผ่านมา 5 ปีเอง ตั้งแต่ที่เขาได้รางวัลไปครั้งที่แล้ว…

หลัวเหวินเซวียนใช้สองมือจับไหล่ลู่โจวไว้แน่น แล้วเขาก็พูดด้วยความตื่นเต้น

“ขอสัมภาษณ์ได้ไหม? ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

ลู่โจวมองเขาแล้วตอบคำถาม “เอาจริงๆ ก็รู้สึกปกติดีมากๆ เลย”

หลัวเหวินเซวียนอึ้งไป

“ปกติดีเหรอ?”

“อ่าฮะ” ลู่โจวเงยหน้าขึ้นแล้วทำท่าคิดนิดหนึ่ง แล้วเขาก็พูดด้วยท่าทางไร้ความรู้สึกว่า “ตอนแรกฉันก็คิดว่าตัวเองจะตื่นเต้นนะ หรืออย่างน้อยก็รู้สึกมีอารมณ์ร่วมสักหน่อย แต่กลายเป็นว่า…ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย”

เพราะเขาได้เหรียญรางวัลสองเหรียญมาจากอารยธรรมของเอเลี่ยนแล้ว

แล้วเมื่อไม่นานมานี้เขาก็ยังได้เหรียญเกียรติยศแห่งชาติมาแล้วด้วย

เขาได้เหรียญรางวัลมามากกว่าจะเอามาคล้องคอไหวแล้ว

หลัวเหวินเซวียนจ้องเขม็งไปที่ลู่โจว ตามด้วยคำพูด “ไม่เลวนี่นา…แสร้งทำตัวถ่อมตนได้ดี”

รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เป็นความฝันชั่วชีวิตของเขาเลยนะ

ไม่ ไม่ใช่แค่ของเขาคนเดียวสิ

นี่เป็นเป้าหมายชั่วชีวิตของคนส่วนใหญ่ที่ทำงานในสาขาฟิสิกส์เลย

การได้รับรางวัลนี้หมายถึงการเป็นที่รู้จักในวงการฟิสิกส์ทั้งวงการ มันหมายความว่า คนที่ได้รางวัลจะไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทุนเพื่อวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ซับซ้อน จากจุดนี้เป็นต้นไปคนคนนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นนักวิชาการที่คิดว่า ‘เงินไม่มีความหมายอะไรกับฉัน’

อันที่จริงลู่โจวก็ได้ยกระดับขึ้นมายังตำแหน่งนี้ตั้งแต่ที่เขากลับมาที่ประเทศจีนแล้ว รางวัลโนเบลเป็นเหตุผลอย่างน้อย 60% ของการที่เกิดโปรเจกต์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้ขึ้นมา

เพราะแค่มีความสามารถอย่างเดียวก็ยังไม่พอ นอกจากจะมีความสามารถแล้ว เขายังต้องทำให้คนอื่นเชื่อด้วยว่าตัวเองมีความรู้ความสามารถจริง เพื่อที่ผู้มีสิทธิ์ในการตัดสินใจจะได้เลือกให้ทั้งเงินและพลังอำนาจให้แก่คนคนนั้น

เมื่อเห็นหลัวเหวินเซวียนใจเย็นได้ในที่สุด ลู่โจวก็ถามขึ้นมา “แล้วใครได้รางวัลร่วมกับฉันล่ะ?”

“ไม่มีนะ ปีนี้นายได้รางวัลคนเดียว…เพราะการค้นพบอนุภาคซีของนายนั่นแหละ บ้าจริง ฉันก็ตีพิมพ์งานวิจัยในเรื่องนี้ไปตั้งหลายงาน ทำไมพวกเขาถึงไม่สนใจนะ…”

ลู่โจวไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาทำเพียงพยักหน้า

เข้าใจแล้ว

ดูเหมือนว่าในสายตาของคณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบล อนุภาคจะควรค่าแก่การได้รางวัลโนเบลมากกว่าอะไรบางอย่างที่ต้องใช้เวลาในการทดสอบอย่าง ‘ปฏิกิริยาไฟฟ้าแก่’ สินะ

อันที่จริงเรื่องนี้ก็เหมือนกับตอนค้นพบอนุภาคฮิกส์เหมือนกัน

หลังจากค้นพบอนุภาคนั้น ก็มีการมอบรางวัลให้ภายในหนึ่งปีต่อมาเลย

มีทฤษฎีมากเกินไปที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ คณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบลเริ่มระมัดระวังมากขึ้นเรื่อยๆ กับการตั้งเกณฑ์ให้รางวัล

ยิ่งกับวงการฟิสิกส์อนุภาคด้วยแล้ว มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำการทดลองขึ้นมา ทฤษฎีหลุมดำของฮอว์กิงยังไม่ได้รางวัลโนเบลเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าในสายตาของเพื่อนร่วมงานหลายคนของเขา ทฤษฎีนี้ของฮอว์กิงควรค่าแก่การได้รางวัลโนเบลเป็นอย่างยิ่ง

อย่างน้อยมันก็ฟังดูน่าเชื่อมากกว่าทฤษฎีสตริงกับทฤษฎีเอ็มของวิทเทน

แต่ก็นั่นแหละ เพราะกฎอันเข้มงวดนี้ทำให้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จึงเป็นรางวัลที่เชื่อถือได้มากที่สุดและมีพลังมากที่สุดในหมู่รางวัลโนเบลทั้งหมด

ส่วนรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพกับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม…

รางวัลแรกเป็นรางวัลที่มีก็เหมือนไม่มี ส่วนรางวัลหลังก็มีเรื่องอื้อฉาวเยอะเหลือเกินช่วงนี้ ขนาดรายชื่อผู้มีสิทธิ์ได้รับรางวัลยังมีหลุดออกมาทุกปีเลย

เหมือนกับราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดนเลิกสนใจรางวัลพวกนี้แล้ว

“นายช่วยพาฉันไปสตอกโฮล์มด้วยได้ไหมได้ไหม?”

“แล้วถ้าฉันตอบปฏิเสธ นายก็จะไม่ไปเหรอ?”

หลัวเหวินเซวียนยิ้มเจื่อนๆ

เขาต้องไปแน่ๆ อยู่แล้ว

เขาจะไม่ได้ไปยืนอยู่ที่โพเดียมหรอก แต่เขากับเจ้านายสามารถเข้าร่วมดินเนอร์ประจำงานมอบรางวัลที่ห้องโถงสีน้ำเงินได้

“จะว่าไปแล้ว นายอยากให้ฉันบอกข่าวนี้กับทางรัฐบาลไหม? สำหรับนายแล้วการเดินทางไปต่างประเทศก็นับเป็นการติดต่อกับต่างประเทศเหมือนกันใช่ไหม?”

“ไม่ต้องหรอก” ลู่โจวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ “ถ้าขนาดนายยังรู้ข่าวนี้ เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมง ตาเฒ่าแซ่หลี่ก็มาหาฉันเองนั่นแหละ”

ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีการจัดแถลงข่าวประกาศเรื่องรางวัลโนเบลและการโทรศัพท์ติดต่อผู้ได้รางวัลพร้อมๆ กัน

ในขณะที่หลัวเหวินเซวียนไปแจ้งข่าวให้ลู่โจวรับรู้ คณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบลก็ได้ประกาศชื่อผู้ได้รางวัลมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน

หลังจากมีการประกาศรายชื่อออกมา ทุกคนในปักกิ่งก็รู้ว่านักวิชาการลู่ได้รางวัลโนเบล

หลัวเหวินเซวียนนั่งรถไฟแม็กเลฟมาจินหลิง

หลังจากที่รถไฟสายจินหลิงได้เปิดใช้งานเมื่อสิ้นปี การเดินทางจากเซี่ยงไฮ้ไปจินหลิงก็ไวขึ้นมาก

ที่ลู่โจวเดาไว้ว่าครึ่งชั่วโมง แท้จริงแล้วเป็นการกะเวลามากเกินไปด้วยซ้ำ หลังจากที่เขาเชิญหลัวเหวินเซวียนไปนั่งในห้องนั่งเล่นแล้วดื่มกาแฟหมดไปหนึ่งแก้ว กริ่งหน้าประตูบ้านของเขาก็ดังอีกรอบ

และก็เหมือนกับที่ลู่โจวคาดไว้ ผู้อำนวยการหลี่คือคนที่ยืนอยู่ที่บันไดหน้าประตู

เมื่อลู่โจวเปิดประตูรับ เขายังไม่ทันจะได้กล่าวทักทาย ผู้อำนวยการหลี่ก็พูดขึ้นมาว่า

“คุณได้รางวัลเหรอ?!”

“ประมาณนั้นครับ” ลู่โจวยิ้มแล้วมองไปทางผู้อำนวยการหลี่ที่กำลังตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ดูสิว่าคุณตื่นเต้นแค่ไหน”

“ผมก็ต้องตื่นเต้นสิ! นี่รางวัลโนเบลเลยนะ!”

“เข้ามาข้างในสิครับ”

ลู่โจวหยิบรองเท้าแตะหนึ่งคู่ออกมาจากตู้เก็บรองเท้าแล้วยื่นให้ผู้อำนวยการหลี่

ผู้อำนวยการหลี่ใส่รองเท้าแตะแล้วเดินมาที่ห้องนั่งเล่นกับลู่โจว ผู้อำนวยการหลี่เห็นชายวัยกลางคนนั่งอยู่ที่โซฟาก่อนแล้ว อีกฝ่ายยิ้มแล้วกล่าวทักทายเขา

“สวัสดีครับ ผู้อำนวยการหลี่!”

“สวัสดี สวัสดี…”

ผู้อำนวยการหลี่จำไม่ได้หรอกว่าคนคนนี้เป็นใคร ผู้อำนวยการหลี่ข้ามเรื่องการถามสารทุกข์สุกดิบไปแล้วถามลู่โจวตรงประเด็นเลยว่า “คุณจะรับรางวัลนี้หรือเปล่า?”

ลู่โจวถามกลับ “นี่ยังต้องถามเรื่องนี้อีกเหรอครับ?”

ผู้อำนวยการหลี่นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มออกมา

“ก็ถูกของคุณ”

รางวัลประเภทนี้เป็นรางวัลที่เพิ่มความแข็งแกร่งของการวิจัยวิทยาศาสตร์ในประเทศให้ไปสู่ระดับสำคัญ

ถึงแม้ความแข็งแกร่งของการวิจัยวิทยาศาสตร์ในประเทศจีนจะไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยจำนวนรางวัลโนเบลที่ได้ แต่การทำให้คนในโลกวิชาการจดจำได้ก็เป็นเรื่องดีเสมอ เพราะสุดท้ายแล้วการวิจัยวิทยาศาสตร์ก็เกิดขึ้นมาจากทีมเวิร์ก

ลู่โจวก็จะยังรับรางวัลนี้อยู่ดี ต่อให้มันจะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรก็ตาม

“ถ้าอย่างนั้นเรื่องการเดินทาง…เดี๋ยวพวกเราจะจัดการให้คุณเลยแล้วกัน ถ้าคุณโอเค”

ลู่โจวกล่าว “โอเค ขอบคุณครับ”

ผู้อำนวยการหลี่โบกมือไปมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับยิ้มร่า “ไม่ต้องขอบคุณพวกเราหรอก นี่เป็นการเน้นย้ำวงการฟิสิกส์ของประเทศเราให้โลกเห็นนะ! ทุกคนกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคุณคว้ารางวัลนี้กลับมาสตอกโฮล์ม”

ทันใดนั้นโทรศัพท์ในกระเป๋าลู่โจวก็เริ่มส่งเสียง

ลู่โจวลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินลงบันไดที่พาขึ้นไปชั้นสอง

พอเขารับสาย เขาก็ได้ยินเสียงคนอารมณ์ดีดังมาจากปลายสาย

อย่างที่คิดไว้ คนที่โทรมาก็คือเฉินยู่ซานนั่นเอง

“นายได้รางวัลเหรอ?!”

“เธอเป็นคนที่สามแล้วนะที่พูดคำนั้นกับฉันในวันนี้”

“อ้อ…เดี๋ยวนะ แล้วอีกสองคนนี่ใคร?”

ลู่โจวตกใจเล็กๆ เมื่อเห็นว่าเสียงเฉินยู่ซานกระวนกระวายแค่ไหน เขาพูดด้วยเสียงแปลกๆ ว่า

“ผู้อำนวยการหลี่กับหลัวเหวินเซวียนน่ะ…ทำไมเหรอ?”

“อ๋อ เปล่า ไม่มีอะไร…”

ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ลู่โจวรู้สึกว่าเฉินยู่ซานรู้สึกโล่งใจขึ้น

เขากำลังจะถามหญิงสาวว่ามีอะไรหรือเปล่า แต่เฉินยู่ซานก็พูดขึ้นมาก่อน

“เอ่อ…”

ลู่โจวถาม “เป็นอะไรหรือเปล่า?”

โทรศัพท์เงียบไปพักหนึ่ง

เป็นเวลานาน

ลู่โจวเริ่มสงสัยว่าสายจะหลุดหรือเปล่า แต่ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงเธอพูดขึ้นมา

“นายพาฉันไปด้วยได้ไหม?”