มีน้อยคนมากๆ บนโลกนี้ที่จะได้รางวัลโนเบลสองครั้ง

เพราะนี่หมายความว่า คนคนนั้นดึงความสนใจจากวงการวิชาการในหมวดหมู่วิทยาศาสตร์หลักได้ถึงสองหมวด

ตั้งแต่ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา วงการและขอบเขตย่อยต่างๆ ของการศึกษาศาสตร์เหล่านี้ก็เริ่มแตกแขนงยิบย่อยลงไปหลายระดับมากกว่าที่นักวิชาการบนโลกจะทำได้ มันมี ‘ปัญหาระดับโลก’ ในแต่ละวงการย่อย

อย่าว่าแต่การได้รางวัลในสองศาสตร์หลักเลย มันก็ยังมีคนอายุราว 90 ปีที่กำลังรอให้ได้รางวัลของศาสตร์เพียงศาสตร์เดียวอยู่…

ณ สถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูง

ผู้อำนวยการคาร์สันยืนอยู่หน้าออฟฟิศของผู้อำนวยการ ใบหน้าเขาฉายแววกังวล พนักงานต้อนรับที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาคิดว่ามีอะไรบางอย่างผิดพลาดจึงเตือนเขาเป็นภาษาอังกฤษอีกรอบว่า

“ออฟฟิศนักวิชาการลู่อยู่ตรงนี้นะคะ”

“ผมรู้แล้วครับ ขอบคุณนะ”

ในแววตาของเขามีวี่แววของความรำคาญ แต่ก็เป็นเพียงแค่วี่แววเล็กๆ เท่านั้น ผู้อำนวยการคาร์สันหลับตาและหายใจเข้าลึกๆ เขาเดินหน้าไปคว้าลูกบิดประตู

ครืด

ประตูถูกผลักเปิดออก

เขามองผู้ชายที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาพยายามแกล้งยิ้มในขณะที่เดินเข้าไปในออฟฟิศ

“ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ! ผมได้ยินว่าคุณได้รางวัลโนเบลอีกแล้ว! ครั้งนี้เป็นสาขาฟิสิกส์สินะ?”

ลู่โจวจึงตอบ “ใช่ครับ”

“วิเศษไปเลย! คนสุดท้ายที่ได้รางวัลโนเบลสองสาขาที่ต่างกันก็ มารี คูรี นั่นเลยนะ ซึ่งมันก็ผ่านมาตั้งศตวรรษนึง”

เห็นได้ชัดว่าผู้อำนวยการคาร์สันไม่พูดถึงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพของไลนัส พอลิงเลย แต่สาขาสันติภาพก็ไม่จำเป็นต้องเอามาพูดอยู่แล้ว

หลังจากได้ยินคำชม ลู่โจวก็ยิ้มขึ้นมาแล้วพยักหน้าเบาๆ

“ขอบคุณครับ”

ทั้งการเดินทางมาประเทศจีนของคาร์สันในครั้งนี้และการที่เขาต้องเดินทางต่อมาจากปักกิ่งเป็นพิเศษ ผู้อำนวยการคาร์สันไม่ได้เดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกมาเพื่อมาชมเขาอย่างเดียวแน่ๆ

ก็เหมือนกับผู้อำนวยการหลี่นั่นแหละ ทุกครั้งที่เขาอยากจะขอความช่วยเหลือ ผู้อำนวยการคาร์สันจะพูดสุภาพเป็นพิเศษ

ลู่โจวบอกให้เลขาฯ ของเขารินน้ำชาให้ เขามองคาร์สันที่กำลังนั่งอยู่ที่โซฟาด้วยรอยยิ้ม แล้วเขาก็รอเงียบๆ ให้คาร์สันเป็นฝ่ายพูดก่อน

“เอาจริงๆ ผมคิดเรื่องความเป็นไปได้หลายอย่างก่อนจะเดินทางมาที่นี่นะ”

“ความเป็นไปได้เหรอครับ?”

“ใช่แล้วล่ะ” ผู้อำนวยการคาร์สันถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถึงแม้พวกเราจะไม่เต็มใจยอมรับเรื่องนี้นัก แต่พวกเราก็แพ้ในครั้งนี้จริงๆ ”

ลู่โจวประหลาดใจ

ผู้อำนวยการคาร์สันกล่าวต่อไป “ความแข็งแกร่งทางการบินและอวกาศของประเทศคุณมีมากพอ มันทำให้พวกเราเลียนแบบความสำเร็จที่พวกคุณประสบไปแล้วได้ยาก ผมสงสัยว่า…เมื่อไรกันที่พวกคุณถึงจะพอใจ?”

ลู่โจวยิ้มบางๆ แล้วตอบว่า “จะให้พอใจมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ต่อให้ปราสาทจันทราตั้งตระหง่านอยู่บนดาวโลก มันก็ยังมีขนาดเล็กมากอยู่ดีเมื่อเทียบกับจักรวาล”

“นอกจากนี้การที่พวกเราจะไปได้ไกลแค่ไหนในด้านการบินและอวกาศก็ส่งผลกับอนาคตของพวกเราทั้งหมดด้วย”

ผู้อำนวยการคาร์สันเอ่ย “ผมอยากจะรู้ว่าอนาคตที่คุณพูดถึงนี้รวมประเทศอื่นๆ เข้าไปด้วยหรือเปล่า”

ลู่โจวตอบ “รวมอยู่แล้วครับ แต่ผมไม่ได้อยากจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะเท่าไร คุณคาร์สัน คุณเป็นนักการเมือง ส่วนผมเป็นนักวิชาการ ความสนใจของพวกเราต่างกัน และความเข้าใจในอนาคตของพวกเราก็ยังต่างกันอีกด้วย คุณโฟกัสอยู่ที่ว่าการบินและอวกาศจะสร้างอาชีพได้มากเท่าไร และคุณจะได้พลังอำนาจมามากแค่ไหนจากสภาคองเกรส แต่สำหรับผมที่เป็นนักวิชาการแล้ว…ผมไม่สนเรื่องอะไรพวกนั้นเลย”

ผู้อำนวยการคาร์สันเลิกคิ้วแล้วถามต่อ “แล้วอย่างนั้นคุณสนเรื่องอะไรล่ะ?”

ลู่โจวถอนหายใจ

“เรื่องมันยาวน่ะครับ”

ข้างในห้องกิจกรรมของห้องสมุดที่มหาวิทยาลัยจินหลิง

หานเมิ่งฉีนั่งอยู่ที่โต๊ะยาว เธอมองสคริปต์ในมือของเธอแล้วเลิกคิ้วเบาๆ หลังจากพลิกหน้ากระดาษแผ่นหลังๆ อยู่หลายรอบเธอก็วางสคริปต์ในมือของเธอลงแล้วเริ่มประเมินผลเอง

“ฉันรู้สึกเหมือนมันยังมีบางอย่างหายไปจากในสคริปต์นะ”

นักเขียนบทสาวที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะยาวรีบยืนขึ้นแล้วเดินมาใกล้หานเมิ่งฉีทันที เธอถามอย่างจริงจังว่า “อะไรหายไปเหรอ?”

“ความรู้สึกน่ะ”

“ความรู้สึกเหรอ? เธอช่วยบอกชี้ชัดกว่านี้ได้ไหม?”

“อืมม…” หานเมิ่งฉีเหมือนจะลังเล ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้แล้วพูดออกมาว่า “ถ้าให้ชี้เฉพาะเลยมันคือความรักน่ะ”

“ความรักเหรอ?” นักเขียนบทสาวเหมือนจะอึ้งไปนิดหนึ่ง แล้วเธอก็ยิ้มขึ้นมาและเอ่ยว่า “ถึงจะมีดาราคนดังที่มีชื่อเสียงมากๆ บางคนในโชว์นี้ แต่จุดขายของสารคดีไม่ใช่ความรักนะ”

พวกเขาต้องทำให้ผู้ชมทุกวัยสามารถเข้าถึงภาพยนตร์สารคดีนี้ได้ เพราะพ่อแม่ก็อาจจะพาลูกไปโรงภาพยนตร์เพื่อดูภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ถ้ามีความรักกับอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง มันอาจจะดูไม่เหมาะสมเท่าไร

อีกอย่างพวกเขาก็อยากทำให้ตรงกับความเป็นจริงด้วย

จากคำบอกเล่าของนักวิชาการลู่ เขาไม่เคยมีความรักมาก่อนในช่วงมหาวิทยาลัย และจากการสัมภาษณ์เพื่อนร่วมรุ่นเขาหลายคน รวมถึงอาจารย์และรูมเมทของเขา พวกเขาต่างก็พูดเหมือนกันว่าลู่โจวใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่ในห้องสมุด

“แต่มันต้องมีอะไรบางอย่างสิ…ไม่อย่างนั้นแล้วทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนมีอะไรหายไปล่ะ” หานเมิ่งฉีกัดริมฝีปาก แก้มของเธอร้อนผ่าวเมื่อเธอพูดขึ้นว่า “แล้วฉันก็รู้สึกว่า…พี่ของฉันชอบเขาด้วย”

หลังจากได้ยินเธอพูดแบบนี้ นักเขียนบทสาวก็มีใบหน้าจริงจังขึ้นมาทันที เธอหยิบสคริปต์ไปจากมือของหานเมิ่งฉีแล้วเริ่มอ่าน อ่านไปได้พักหนึ่ง เธอก็พูดขึ้นว่า “อันที่จริงเรื่องนี้น่ะ…พวกเราก็คุยกับทีมเขียนบทของพวกเราแล้วนะ พวกเรายังเชิญคนคนนั้นมาแล้วให้เธอกรอกแบบสอบถามแล้วด้วย”

หานเมิ่งฉีตกใจ

“คุณ…สัมภาษณ์พี่ด้วยเหรอ?”

“อยู่แล้วล่ะ ก็นี่เป็นภาพยนตร์สารคดีนี่นา ถึงจะเกินเรื่องจริงไปบ้าง แต่มันก็มีเค้าโครงมาจากความจริงนะ” นักเขียนบทสาวยิ้มแล้วเล่าต่อ “พวกเราคุยเรื่องนี้กับหลายครั้งตอนประชุมแล้วล่ะ ตอนแรกพวกเราก็มีปัญหาว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเป็นอย่างไรกันแน่ แต่สุดท้าย…”

“สุดท้าย?”

หานเมิ่งฉีรู้สึกแปลกๆ ที่ทักขึ้นมา

“สุดท้ายพวกเราก็ตกลงกันว่าความรู้สึกระหว่างพวกเขาอาจจะไปในทางการเติบโตร่วมกันและมิตรภาพมากกว่า อันที่จริงพวกเขาทั้งสองคนต่างก็กลายเป็นคนที่ดีขึ้นจากการที่พวกเขามีกันและกันนะ สิ่งนี้มันค่อนข้างต่างจากความรัก หรือมองในอีกมุมหนึ่ง เธอลองจินตนาการภาพพวกเขาคบกันได้ไหมล่ะ?”

หานเมิ่งฉีนึกภาพทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้องสมุดด้วยกันได้

แต่จะให้พวกเขาคบกันน่ะเหรอ…

หานเมิ่งฉีนึกภาพไม่ออกเลย

“แต่…ฉันก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายกับผู้หญิงจะมีความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับแบบไม่มีอะไรจริงๆ น่ะ”

จู่ๆ นักเขียนบทสาวก็ถามเธอขึ้นมาว่า “คุณหาน คุณเคยมีแฟนไหม?”

หานเมิ่งฉีหน้าแดง

“คุณถามทำไมน่ะ?”

“ฉันแค่สงสัยน่ะ หวังว่าคุณจะไม่โกรธอะไรนะ”

หานเมิ่งฉีรีบโบกไม้โบกมือไปมาขณะตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไรน่ะ บางทีคุณอาจจะพูดถูกแล้วก็ได้ บางที…พี่ฉันอาจจะคิดกับลู่โจวเป็นแค่อาจารย์ก็ได้”

เธอเกาหัวตัวเองแล้วพูดต่อ “ไม่อย่างนั้นป่านนี้เธอน่าจะสารภาพรักไปแล้วล่ะ”

ใช่แน่นอนเลย พี่ของฉันเป็นคนตรงไปตรงมาจะตายไป

เมื่อเห็นว่าหานเมิ่งฉีดูลังเลแค่ไหน นักเขียนบทสาวก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “จะว่าไป…คุณลองเล่นบทนี้ดูไหม?”

หานเมิ่งฉีตัวแข็งทื่อขณะที่เธอเอานิ้วชี้ไปที่ตัวเอง

“ฉันเหรอ?”

“ใช่!” นักเขียนบทสาวพยักหน้าแล้วคว้ามือของหานเมิ่งฉี ดวงตาของเธอเป็นประกายขณะที่พูดขึ้นว่า “จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่า มีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นเลยที่จะสามารถถ่ายทอดอารมณ์จากบทนี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ!

ฉันจะไปบอกผู้กำกับนะ ฉันจะขอให้เขาให้โอกาสคุณไปออดิชัน! ขอเถอะนะ! ไปลองออดิชันเถอะ!”

ให้ฉันเล่นบทเป็นพี่เนี่ยนะ?!

หานเมิ่งฉีบอกนักเขียนบทสาวที่ดูตื่นเต้นขึ้นมา เธอไม่เคยคิดเลยว่าเหตุการณ์มันจะลงเอยแบบนี้

แต่…

เธอกลืนน้ำลายและอยากจะตอบปฏิเสธไป แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างเธอก็เปลี่ยนใจ

“ถ้าอย่างนั้น…ฉันจะลองดูก็แล้วกัน”

วินาทีที่เธอพูดคำนั้นออกมา เธอก็เริ่มเสียใจในสิ่งที่เธอพูด

แต่เธอก็ไม่ได้แก้คำพูดของเธอ

อย่างไรมันก็แค่ออดิชัน เธออาจจะไม่ได้ถูกเลือกด้วยซ้ำ

หานเมิ่งฉีพูดกล่อมตัวเอง

แต่เธอก็ไม่รู้ตัวเลยว่า มันมีเสียงเล็กๆ ในใจของเธอที่อยากให้เธอได้รับเลือกให้เล่นบทนี้…