บทที่ 646.1 ดึงเอาโอสถทอง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเห็นภาพนี้ก็ไม่ทันได้ตื่นตะลึง เพราะผู้ฝึกกระบี่เฒ่าได้เก็บท่าหมัด ยืนนิ่งอย่างสง่างาม เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งลูบหนวดหัวเราะ กล่าวอย่างลำพองใจว่า “ปราณกระบี่ทั่วร่างช่างไร้ศัตรูทัดทานจริงๆ”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มอึ้งตะลึงอยู่พักใหญ่ สนามรบตรงจุดนี้ว่างเปล่าไปหมดแล้ว พวกเผ่าปีศาจที่ห่างไปไกลซึ่งพอเห็นว่าท่าไม่ดี ต่อให้ส่วนใหญ่สติปัญญาจะยังไม่เปิดออก แต่ก็รู้ว่าอะไรดีอะไรร้าย จึงพากันวิ่งอ้อมไปยังตำแหน่งอื่น

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่ากวาดตามองสนามรบแวบหนึ่ง ในบรรดานี้มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ขอบเขตไม่สูงหลายตนที่ทั้งเรือนกายและอาวุธล้วนแตกสลายไปพร้อมกันไม่เหลืออะไรสักอย่าง ค่อนข้างจะน่าเสียดาย

ลงมือคราวหน้าคงต้องระวังให้มากกว่านี้ เพราะขายุงก็ยังเป็นเนื้อนี่นา

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มพุ่งตัวมาหยุดอยู่ข้างกายผู้ฝึกกระบี่เฒ่า “ผู้อาวุโสเฒ่า?”

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าลูบหนวดยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เรียกข้าว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่ก็พอ ข้าอายุไม่มาก คำว่าเฒ่านี้รับไม่ไหว รับไม่ไหวจริงๆ”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มอึ้งตะลึงไร้คำพูด

แต่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่ากลับทะยานลมออกไปแล้ว กระบี่ยาวแนบติดพื้นดิน ทะลวงขบวนรบไปอย่างว่องไวประดุจปลาที่แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางกอพืชน้ำ เพียงแค่เล่นงานพวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เรียกกระบี่บินออกมาเท่านั้น หากฆ่าได้ก็ฆ่า ทำให้บาดเจ็บได้ก็ทำ

อีกทั้งยังเลือกช่วงเวลาในการโจมตีได้อย่างเหมาะเจาะ ไม่มีทางถ่วงเวลาการออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เด็ดขาด

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มชำเลืองตามองเงาร่างและการออกกระบี่ของ ‘ผู้อาวุโสเซียนกระบี่’ ท่านนั้น แต่ก็ยังมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายมีขอบเขตสูงต่ำ หรือมีตบะตื้นลึก จึงสะกดความสงสัยในใจเอาไว้ ถือดาบมุ่งลงใต้ กระโจนเข้าสู่สนามรบแห่งถัดไป

ออกจากเมืองมาเข่นฆ่าศัตรูครั้งนี้ ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางถึงหกพันกว่าคน ฟังดูเหมือนเป็นจำนวนที่มากอย่างถึงที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับสนามรบพันลี้ ก็ยังคงทำให้ทุกคนตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่ถูกรายล้อมไปด้วยกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจอยู่ดี บวกกับผู้ฝึกกระบี่ถ้ำสถิตและชมมหาสมุทรจำนวนมากที่ออกมาเพื่อขัดเกลาคมกระบี่ ทำความคุ้นเคยกับสนามรบ ซึ่งจำเป็นต้องฆ่าศัตรูพร้อมกับฝึกกระบี่ไปด้วย จึงต้องมีผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตสูงยิ่งกว่าคอยให้การดูแลอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตามกฎที่สายอิ่นกวานตั้งไว้ ผู้ฝึกกระบี่สองขอบเขตนี้ต้องให้มีชีวิตรอดก่อน แล้วค่อยหวังให้ฝ่าทะลุขอบเขต สุดท้ายถึงหวังให้สามารถสังหารปีศาจได้มากกว่าเดิม ส่วนผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่ขอบเขตสูงที่สุด พลังการสังหารมากที่สุดนั้น สังหารปีศาจเพื่อสร้างคุณความชอบคือภารกิจสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ปกป้องชีวิตผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิตและขอบเขตชมมหาสมุทรจึงจะเป็นอันดับสอง

บนหัวกำแพงเมืองมีผู้ฝึกกระบี่เฝ้าพิทักษ์ ขอแค่แนวเส้นจากเหนือจรดใต้ไม่ถึงขั้นแตกพ่าย ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีเผ่าปีศาจอ้อมผ่านผู้ฝึกกระบี่ไปถึงหัวกำแพงเมืองได้

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรที่อยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย เมื่อเทียบกันแล้วนับว่าตรงไปตรงมาสบายใจมากที่สุด เพราะสามารถพกกระบี่ฝ่าค่ายกลสังหารปีศาจก็ได้ หรือจะจับกลุ่มกับเพื่อนสนิทขอบเขตเดียวกัน ก็ได้หมด ไม่ได้มีพันธนาการหรือกฎเกณฑ์อะไรมากนัก

ระหว่างนี้ก็มีผู้ฝึกกระบี่จับกลุ่มกันกลุ่มละสองสามคน ซึ่งค่อนข้างจะเป็นกลุ่มที่พิเศษ เพราะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่วิชาอภินิหารของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามารถผนวกรวมเข้าด้วยกัน ออกจากเมืองมาสังหารศัตรูในครั้งนี้ก็พยายามที่จะให้กระบี่บินร่วมมือกันบนสนามรบได้อย่างคุ้นเคยมากขึ้น ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหรือก่อกำเนิดท่านหนึ่งที่ช่วยปกป้องผู้ฝึกกระบี่กลุ่มนี้ ส่วนใหญ่แล้วหน้าที่ปกป้องฝ่ายแรกจะมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่สังหารปีศาจสร้างคุณความชอบกลับเป็นอันดับที่สอง หากชีวิต มหามรรคาหรือกระบี่บินของฝ่ายแรกได้รับความเสียหาย ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินเหล่านี้ก็จะต้องเจอกับโทษทัณฑ์ที่ใหญ่หลวง หากคิดจะสร้างคุณความชอบทางการสู้รบชดใช้ความผิด กลับเป็นการกระทำที่ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง

หากออกนอกเมือง กฎชั่วคราวที่สายอิ่นกวานสร้างขึ้นมา อันที่จริงก็มีไม่มากนัก ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่จึงใส่ใจกฎทุกข้อมากเป็นพิเศษ

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าผ่านสนามรบแห่งหนึ่งที่ห่างจากหัวกำแพงเมืองไปไกล ตรงจุดนั้นการเข่นฆ่ารุนแรงมากเป็นพิเศษ

สามารถสังหารเผ่าปีศาจที่ขยับมาใกล้หัวกำแพงเมืองได้อย่างสะอาดเอี่ยม ผลักสนามรบออกไปทางทิศใต้สิบกว่าลี้ เดิมทีก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าพลังพิฆาตของผู้ฝึกกระบี่กลุ่มนี้ไม่น้อย และจิตสังหารก็ยิ่งมากกว่า

เพียงแต่ว่าผู้ฝึกกระบี่เจ็ดคนในเวลานี้ได้ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจมีมากหลายสิบคน กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็ยิ่งมีมากหลายพันตน ลำพังเพียงแค่ ‘ปีศาจใหญ่’ โอสถทองก็มีมากถึงสามคน

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่ามองเห็นคนคุ้นเคยสองคน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรเริ่นอี้ ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองผู่อวี๋ ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เฝ้าสามด่านบนถนนใหญ่ ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าชำเลืองตามองผู่อวี๋แล้วก็ถอนหายใจ ไอ้หมอนี่ยังคงแต่งตัวขัดหูขัดตาเหมือนคนเขียนคำว่าอยากโดนเตะแปะไว้บนหน้าผากอยู่เหมือนเดิม

ก็โชคดีที่คุณชายผู้หล่อเหลาสง่างามคนนี้ไม่ใช่คนกันเอง ไม่อย่างนั้นป่านนี้ก็คงถูกผู้ฝึกกระบี่เฒ่าด่าจนไม่เหลือชิ้นดีไปนานแล้ว สวมชุดขาวพลิ้วไสว หากนั่งดื่มเหล้าอยู่ในนครหรือประมือกับคนอื่นก็ช่างเถิด มาอยู่บนสนามรบยังจะโอ้อวดมาดเจ๋อเซียนเช่นนี้อีก ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย ชุดคลุมอาคมของหอภูษาไม่ได้เก็บเงินเจ้าแม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว สวมทับไว้ด้านนอกแล้วจะเป็นอย่างไร หากไม่เป็นเพราะกฎบอกไว้ว่ามอบชุดคลุมอาคมให้ผู้ฝึกกระบี่แบบไม่คิดเงินแค่คนละชุด ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็นึกอยากจะสวมสักเจ็ดแปดชุด บวกกับแบกกระบี่ยาวมาด้วยอีกเจ็ดแปดเล่ม แล้วค่อยมาเยือนสนามรบ

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่บอกให้คนอื่นเรียกเขาว่า ‘·ผู้อาวุโสเซียนกระบี่’ ผู้นี้ แน่นอนว่าต้องเป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไปทั่ว

หลังจากได้เป็น ‘เถ้าแก่รองที่ทำการค้าอย่างเป็นธรรม’ ตามมาด้วย ‘เฉินผิงอันที่ล้มคว่ำด้วยหมัดเดียว’ ทุกวันนี้ก็มีอีกฉายาเพิ่มขึ้นมาว่า ‘อิ่นกวานตัวจริงที่เห็นคนตายแล้วไม่ยอมช่วยเหลือ’

บนหัวกำแพงเมือง ก่อนหน้านี้หลังจากที่ใต้เท้าอิ่นกวานถูกเซียนกระบี่เลี่ยจี่ผู้ทรยศ ‘ลอบฆ่า’

ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานย้ายไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อน ตำแหน่งอิ่นกวานถูกเว้นว่างอยู่นาน กระทั่งกระบี่บินที่สลักสองคำว่า ‘อิ่นกวาน’ ส่งข่าวมาที่หัวกำแพงเมือง อันที่จริงผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็พอจะเข้าใจกันได้แล้ว เพราะถึงอย่างไรในสงครามใหญ่ทั้งสองครั้งที่เผ่าปีศาจเรียกกระแสสมบัติอาคมออกมาและการถามกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่จากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง น้ำตกปราณกระบี่ที่หัวเมืองนั้นมีการเปลี่ยนแปลงค่ายกลเยอะมาก สังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจก่อกำเนิดไปได้มาก หลังจากวิธีการเหล่านี้ถูกปล่อยออกมาเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง พวกผู้ฝึกกระบี่ลองขบคิดดูก็พอจะได้รสชาติของร้านเหล้าร้านนั้น

หากไม่เป็นเพราะเรื่องที่ปีศาจใหญ่ยอดเขาหย่างจื่อสังหารเซียนกระบี่อย่างโหดเหี้ยม กระบี่บินของอิ่นกวานขัดขวางไม่ให้ช่วยเหลือผู้ฝึกกระบี่ ป่านนี้ชื่อเสียงของคนหนุ่มต่างถิ่นที่เป็นเถ้าแก่รองแล้วได้เป็นอิ่นกวานก็คงเปลี่ยนจากแย่อย่างถึงที่สุดมาเป็นดีอย่างถึงที่สุดไปแล้ว

เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนลงมือ ในฐานะที่ผู่อวี๋เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง เขาก็น่าจะเป็นอาจารย์กระบี่ที่คุ้มครองผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มนี้ ส่วนเริ่นอี้ที่เป็นขอบเขตประตูมังกรซึ่งสามารถไปมาได้ตามใจชอบในสนามรบก็น่าจะต้องการทำความคุ้นเคยกับการร่วมมือผู่อวี๋ทำลายขบวนรบ ทั้งได้ดูแลตัวเองแล้วก็สามารถสังหารปีศาจได้มากกว่าเดิม เพราะ ‘ม่านฝน’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู่อวี๋มีวิชาในการอำพรางตาเป็นอย่างดี กระบี่บินมีการเปลี่ยนแปลงหลากหลาย ยามอยู่บนสนามรบจึงตบตาคู่ต่อสู้ได้ง่าย แล้วนับประสาอะไรกับที่กระบี่บินจริงและปลอมสลับสับเปลี่ยนกันได้อย่างว่องไว พลังพิฆาตก็ไม่ถือว่าน้อย

เฉินผิงอันมองสนามรบอย่างละเอียดแล้วก็ไม่รีบร้อน วางท่าว่าอยากจะปรี่ขึ้นไปช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีความมั่นใจมากพอ แล้วยังเดินอ้อมวนไปหลายรอบ เพื่อดักเผ่าปีศาจบางส่วนที่พยายามจะอ้อมผ่านตลอดทั้งสนามรบมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังหัวกำแพง เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ขอแค่สามารถไต่ปีนขึ้นไปบนตัวกำแพงได้ก็จะถือว่าเป็นคุณความชอบครั้งหนึ่ง หากสามารถขึ้นไปเหยียบบนหัวกำแพงเมืองได้ก็คือคุณความชอบใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ต่อให้สุดท้ายจะตาย ไม่มีผลงานใดๆ แต่คุณความชอบทางการสู้รบน้อยใหญ่สองครั้งนี้ก็ยังจะถูกกระโจมทัพของใต้หล้าเปลี่ยวร้างจดลงบัญชีเอาไว้ แล้วมอบของรางวัลให้แก่คนในชนเผ่า ผู้สืบทอดหรือคนในครอบครัว

คนที่เฉินผิงอันหมายหัวคือผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ไม่สะดุดตาคนหนึ่ง ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายปล่อยปราณของปีศาจใหญ่ออกมา แต่เป็นเพียงแค่ความรู้สึกจากสัญชาตญาณว่าอีกฝ่าย ‘ขวางหูขวางตา’ โดยเฉพาะการที่อีกฝ่ายมั่นใจว่าจะต้องคว้าชัยชนะจากสนามรบแห่งเล็กๆ เอาไว้ได้ ไร้กังวลกับความเป็นความตายไม่ว่าจะยามรุกหรือยามถอย แต่กระนั้นกลับมีใจที่คิดว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอน ซึ่งนี่ไม่สมเหตุสมผล ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจตนนั้นที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าขอบเขตสูงเท่าไร มองดูเหมือนว่ายามลงมือจะลงมืออย่างเต็มที่ไม่ออมแรงเก็บไว้ อาวุธวิเศษที่ใช้โจมตีชิ้นหนึ่งถูกเขานำมาใช้ด้วยลูกเล่นหลากหลาย แต่พอมาเจอกับคนบนเส้นทางเดียวกันอย่าง ‘ผู้ฝึกกระบี่เฒ่า’ ก็ถือว่ามันโชคไม่ดีแล้ว

ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจโอสถทองตนหนึ่งที่นั่งบัญชาการณ์สนามรบก็รู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่อ้อมไปอ้อมมาไม่ยอมขยับเข้ามาใกล้เสียทีผู้นั้นขวางหูขวางตามากเหมือนกัน จึงบอกให้ผู้ฝึกตนใต้บังคับบัญชาสามคนไปหยั่งเชิงอีกฝ่าย

คนที่เฉินผิงอันสนใจไม่ใช่ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจสามคนที่ออกมาจากสนามรบ ถึงขั้นไม่ใช่การบัญชาการณ์ของ ‘ปีศาจใหญ่’ โอสถทองตนนั้น แต่เป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ และมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะอำพรางตบะเอาไว้ด้วย ดังนั้นจึงยิ่งแน่ใจในตัวผู้ฝึกตนที่เตือนเผ่าปีศาจโอสถทองให้มากำจัดเรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ อย่างตน หลีกเลี่ยงไม่ให้ตนทำเรื่องใหญ่อย่างการสังหารผู้มีสวรรค์อายุน้อยสองคนอย่างผู่อวี๋และเริ่นอี้ให้เสียเรื่อง

เพราะถึงอย่างไรขอบเขตของผู่อวี๋และเริ่นอี้ก็ไม่ต่ำ แล้วก็เคยเข้าร่วมศึกโจมตีและป้องกันสองครั้งก่อนหน้านี้ หากพวกเขาสองคนยอมสละชีวิตของผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คนอื่นจริงๆ ก็มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะถอนตัวออกจากสนามรบ

ผู่อวี๋กับเริ่นอี้คือผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างไม่ต้องสงสัย จะรู้สึกว่าเริ่นอี้ ผู่อวี๋เป็นบุคคลเล็กๆ เพียงเพราะภูเขาลูกเล็กที่พวกเขาอยู่มีคนที่โดดเด่นสะดุดตาอย่างฉีโซ่ว เกาเหย่โหวไม่ได้

แม้ว่าต่งถ่านดำจะเคยวิจารณ์ผู้ฝึกกระบี่ที่เฝ้าด่านสองคนนี้เป็นการส่วนตัว ซึ่งกลับกลายเป็นว่าพูดดีๆ ถึงเริ่นอี้ที่มีขอบเขตต่ำกว่ามากกว่า บอกว่าในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร เริ่นอี้นั้นอายุน้อย แต่กระบี่บินเร็ว กลับกลายเป็นว่าประเมินผู่อวี๋ไม่สูงนัก บอกว่าเป็นชั้นวางดอกไม้มากที่สุดในบรรดาขอบเขตโอสถทอง แต่คำวิจารณ์ประเภทนี้ สำหรับการจับคู่เข่นฆ่า การถามกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่แล้ว คือเรื่องจริง แต่กลับไม่ใช่ทั้งหมด คำวิจารณ์ที่สายอิ่นกวานมีต่อผู่อวี๋และกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขานั้นสูงมาก เพราะยามที่อยู่บนสนามรบ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขามีประสิทธิผลที่มหัศจรรย์ ดังนั้นจึงถูกประเมินให้เป็นอันดับสาม หากว่ากันด้วยเรื่องของระดับขั้นก็เป็นรองแค่ ‘เที่ยวจู’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของฉีโซ่วที่ถูกสายอิ่นกวานประเมินว่าเป็น ‘ระดับสอง’ ส่วนอันดับหนึ่งนั้นคือ ‘น้ำค้างหวาน’ ของอู๋เฉิงเพ่ย อันดับสองอีกคนยังมีน้ำพุร้อยจั้ง กระจอกเมฆบนฟ้าของเยว่ชิง และกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหยวนชิงสู่จากทักษินาตยทวีปก็อยู่ในอันดับนี้ด้วย กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่ส่วนใหญ่ที่มีพลังพิฆาตสูงมาก เมื่ออยู่ในสายตาของคนจากคฤหาสน์หลบร้อนกลับกลายเป็นว่าระดับขั้นไม่สูง

แน่นอนว่าการแบ่งประเภทเช่นนี้เป็นแค่คำประเมินที่ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานประเมินอย่าง ‘หน้าเลือด’ เพราะดูแค่ประโยชน์ที่เกิดขึ้นในสนามรบเท่านั้น

ในเมื่อแน่ใจในทางหนีทีไล่ที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้แล้ว เฉินผิงอันก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ไม่มัวเอาแต่เดินเตร็ดเตร่ เท้าเหยียบอยู่บนกระบี่ยาวเล่มนั้น เป็นการขี่กระบี่ของผู้ฝึกกระบี่อย่างแท้จริง กระโจนเข้าหาผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจสามคนที่พยายามจะหยั่งเชิงเขา กระบี่ที่เลียบพื้นวาดเป็นวงโค้งขนาดใหญ่ ‘ผู้ฝึกกระบี่เฒ่า’ สามารถหลบลำแสงจากอาวุธวิเศษซึ่งเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ใช้ในการโจมตีมาได้พอดี ปลายเท้าดีดลงบนกระบี่ยาว กระบี่ยาวพุ่งเข้าหาผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้า กระบี่ยาวจากหอกระบี่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเล่มนั้นไปมารวดเร็วราวกับกระบี่บินเล่มหนึ่ง

ส่วนตัวของผู้ฝึกกระบี่เฒ่ากลับออกมาจากกระบี่ยาว เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘เล่มหนึ่ง’ ที่ตั้งชื่อว่า ‘จ้างปู้(สมุดบัญชี)’ ออกมารับมือกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรเผ่าปีศาจอีกตนหนึ่ง กระบี่บินแทงทะลุศีรษะของอีกฝ่าย แล้วเขาก็ยื่นมือไป ‘ประคองจับ’ ศพนั้น ป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามระเบิดช่องโพรงแห่งชะตาชีวิต ถือโอกาสกระชากเอากระพรวนทองแดงที่อีกฝ่ายห้อยไว้ตรงเอวมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วค่อยกระชากร่างของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ตายกะทันหันมา ขว้างใส่เวทอาคมพร่างพราวสายหนึ่งที่ออกมาจากผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนที่สาม

ทุกอย่างนี้ทำสำเร็จในรวดเดียว ดั่งเมฆคล้อยน้ำไหล ช่างคล่องแคล่วคุ้นมือยิ่งนัก

ยื่นมือออกไปคว้า บังคับกระบี่ยาวจากหอกระบี่เล่มนั้นกลับมา ครั้นจึงเดินออกไปหนึ่งก้าว เหยียบลงบนกระบี่ยาว สละผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ขอบเขตไม่สูงสองคนนั้นไม่สนใจ พุ่งตรงไปยังปีศาจใหญ่นักรบเดนตายที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ ผู้นั้น ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้งหลบเลี่ยงการกระแทกโจมตีจากเวทคาถาและสมบัติวิเศษทั้งหลายมา เหยียบกระบี่ยาวของหอกระบี่ให้จมลงไปในดิน ร่างทั้งร่างกระโจนตัวขึ้นสูง สองนิ้วทำมุทรา กระบี่บินจ้างปู้เล่มนั้นเหมือน ‘ม่านฝน’ ของผู่อวี๋อย่างไม่มีผิดเพี้ยน พริบตาเดียวก็แยกตัวออกเป็นสิบกว่าเล่ม เพียงแต่บนกระบี่บินเล่มที่แตกต่างกันกลับมีปณิธานกระบี่ที่หนาบางต่างกัน ปลายกระบี่ชี้ไปยังเผ่าปีศาจเดนตายผู้นั้น พริบตาเดียวก็หายวับไป

เฉินผิงอันใช้เสียงในใจบอกกล่าวแก่ผู่อวี๋และเริ่นอี้ด้วยน้ำเสียงแหบพร่าของคนแก่ “อย่าละโมบในคุณความชอบ ระวังจะถูกซุ่มโจมตี”

ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เข่นฆ่าอยู่ในสนามรบซึ่งมองดูเหมือนว่าอย่างมากสุดก็มีขอบเขตแค่ชมมหาสมุทร เห็นว่าหลบเลี่ยงไปก็ไร้ประโยชน์จึงพลันเปลี่ยนสถานะใหม่ ไม่เพียงแต่เป็นผู้ฝึกกระบี่ อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทอง

แสงกระบี่เปล่งวาบตรงหว่างคิ้ว ความลี้ลับของวิชาอภินิหารจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตทำให้แสงสีทองเป็นจุดๆ ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ปกป้องอยู่รอบกายได้พอดี หลังจากเสียงใสกังวานระลอกหนึ่งผ่านไปก็สามารถโจมตีกระบี่บินสิบกว่าเล่มที่มาจากผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไม่ทราบชื่อจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้นให้ถอยไปได้ทั้งหมด

ผู้ฝึกกระบี่เดนตายเผ่าปีศาจที่ซ่อนหัวซ่อนหางไว้ตลอดผู้นี้ก็ใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนเผ่าปีศาจโอสถทองสามคนนั้นเหมือนกัน “อย่างน้อยก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง กระบี่บินแปลกประหลาด ทุกเล่มล้วนเป็นของจริง ไม่เหมือนกับกระบี่ ‘ม่านฝน’ ของผู่อวี๋เล่มนั้น พวกเจ้าไม่ต้องออมแรงเอาไว้แล้ว พยายามสังหารเริ่นอี้ ทำร้ายผู่อวี๋ให้บาดเจ็บ จะได้ล่อให้คนผู้นี้หยุดอยู่ที่นี่ แล้วพวกเราค่อยล้อมสังหารคนผู้นี้อีกที”

แสงสีทองแต่ละจุดที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจคนนี้แผ่ออกมาพุ่งมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลายเป็นเม็ดเล็กๆ ที่ประกายแสงยิ่งเจิดจ้าพร่างพราว ก่อนกลายเป็นเส้นยาวเส้นหนึ่งที่พุ่งตรงไปตัดหัวของศัตรู

ร่างของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่สายตาเฉียบคมมองทะลุมาเห็นสถานะของปีศาจใหญ่พลันดิ่งฮวบลงมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะผลัดเปลี่ยนเส้นทางกระโจนไปข้างหน้าต่ออีกครั้งด้วยเรือนกายที่คล่องแคล่วปราดเปรียว

นักรบเดนตายเผ่าปีศาจเอื้อมมือไปคว้าจับ เรียกกระบี่ยาวของหอกระบี่ที่หล่นอยู่บนพื้นของสนามรบมาไว้ในมือ เบี่ยงตัวน้อยๆ แล้วเงื้อกระบี่ฟันออกไป