บทที่ 646.2 ดึงเอาโอสถทอง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่างอเข่าสองข้างเล็กน้อยแล้วพลันเพิ่มพละกำลัง ฝุ่นผงใต้ฝ่าเท้าตลบคละคลุ้ง ใต้ดินเกิดเสียงอื้ออึงสะเทือนไหวดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง ร่างของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขยับรวดเร็วราวกับกลุ่มควันกลุ่มหนึ่ง หลบกระบี่บินเล่มหนึ่งมาได้ก็หลบแสงกระบี่ของกระบี่ยาวอีกครั้ง ร่างขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ฝึกกระบี่เดนตายของเผ่าปีศาจมั่นใจแล้วว่ากระบี่บินของอีกฝ่ายแปลกประหลาด สามารถควบคุมได้อย่างพอเหมาะพอดี แต่พลังพิฆาตกลับธรรมดา ไม่ถือว่าโดดเด่น มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่ากระบี่บินยังซ่อนแฝงวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่ยังไม่รู้เอาไว้ อันที่จริงนี่ต่างหากถึงจะยุ่งยากที่สุด แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายถึงขั้นกล้าขยับเข้ามาต่อสู้ประชิดตัว ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจจึงไม่รู้สึกถูกมัดมือมัดเท้าอีกต่อไป ไอ้แก่นี่ไม่รู้จักกลัวตาย คิดจะมาแข่งประชันเรื่องเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทาน เนื้อหนังมังสาที่หนากับข้าอย่างนั้นหรือ?!

ชั่วพริบตานั้นกระบี่บินของทั้งสองฝ่ายก็มาพบเจอกันบนทางแคบอีกครั้ง จากนั้นก็จำแลงออกมาเป็นกระบี่บินสิบกว่าเล่ม แสงสีทองแต่ละจุดรวมตัวกันแล้วแผ่ขยายออกไป ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันสิบกว่าจั้ง ประกายไฟสาดกระเซ็นไปสี่ทิศ

รอกระทั่งทั้งสองฝ่ายห่างกันไม่ถึงห้าจั้ง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของแต่ละฝ่ายปะทะชนกันอีกครั้ง คราวนี้สะเก็ดไฟและริ้วคลื่นปราณกระบี่พลันระเบิดออก ปราณวิญญาณยุ่งเหยิงวุ่นวาย ประกายไฟจำนวนมากที่อาบย้อมด้วยเศษซากปราณกระบี่ซัดกระจายออกไป แสงไฟที่มองดูเหมือนเล็กเท่าเมล็ดงา แต่พอเผ่าปีศาจจำนวนมากโดนเข้ากลับเจ็บปวดเสียดลึกเข้าไปถึงกระดูก พอมองอีกครั้งก็เห็นบาดแผลใหญ่เท่าถ้วย เนื้อหนังเหวอะหวะเลือดโชกไปเรียบร้อยแล้ว

ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจยิ่งเยือกเย็น กระบี่บินของทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกัน ตนรับมือได้อย่างสบายๆ แต่อีกฝ่ายกลับต้องออกแรงเต็มกำลัง ระยะห่างห้าลี้ รูปโฉมหน้าตาของทั้งสองฝ่ายล้วนเห็นกันอย่างชัดเจน แล้วก็จริงดังคาด เมื่อผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเห็นว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เร็วพอและเยอะมากพอไม่อาจทำให้สมใจปรารถนา ในใจก็คิดอยากจะถอยหนี สายตาฉายแววตื่นตระหนกวูบหนึ่ง ฝีเท้าที่ก้าวมาข้างหน้าช้าลงไปเสี้ยวหนึ่ง แต่กลับยังแสร้งทำท่าสุขุม จากนั้นก็หยุดเดิน ถอยหลังกรูดออกไป ขณะเดียวกันก็พยายามโคจรกระบี่บินอย่างสุดกำลัง ความสามารถก้นกรุล้วนเอามาใช้หมดแล้ว เพราะในที่สุดกระบี่บินก็ยอมร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต ไม่กักเก็บไว้อีกแม้แต่น้อย คือค่ายกลกระบี่แห่งหนึ่งที่เชื่อมโยงถึงกัน สกัดขวางอยู่ระหว่างผู้ฝึกกระบี่สองคนพอดี

ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจไม่เหลือเรื่องให้ต้องกังวลอีกแล้ว แม้ว่าผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่อยู่เบื้องหน้าจะไม่ใช่คนที่มีชื่อบันทึกอยู่ในสมุด แต่การที่สังหารผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของกำแพงเมืองปราณกระบี่เพิ่มได้คนหนึ่งก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน เป็นคุณความชอบครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง!

ใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตฝ่าค่ายกลกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจก็ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ถอยหนีออกห่าง พุ่งร่างกระโจนออกไป ติดตามผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่มีสีหน้าร้อนรน เงื้อกระบี่ฟันแสกหน้าอีกฝ่าย

กล้าช่วยคนอื่นก็ต้องกล้าเอาชีวิตมาเดิมพันด้วย!

ด้วยความตระหนกลนลาน ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าจึงได้แต่เบี่ยงศีรษะหลบ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาสกัดขวางกระบี่ยาวเล่มนั้น ไม่อย่างนั้นก็คงยากที่จะหนีจุดจบที่ร่างถูกฟันออกเป็นสองท่อนไปได้

ครู่หนึ่งต่อมา

ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจมีสีหน้าเลื่อนลอย ก้มหน้าลงมอง จิตวิญญาณสั่นสะท้าน หัวใจเจ็บปวดราวกับถูกบีบเค้น

ใบหน้าของผู้ฝึกกระบี่เฒ่ายังคงกระวนกระวายไม่เป็นสุข แต่มือซ้ายของอีกฝ่ายกลับกุมกระบี่ยาวไว้อย่างมั่นคง ไม่เพียงเท่านี้ มือขวายังเหมือนกองทัพม้าเหล็กทะลวงขบวนรบที่ทะลุทะลวงหน้าอกของคู่ต่อสู้ แต่กลับไม่ทะลุออกไปด้านหลัง กำหมัดไว้หลวมๆ คว้าจับโอสถทองที่เป็นมายาเลื่อนลอยได้พอดี ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ใช้ปณิธานหมัดที่เปี่ยมล้นระเบิดช่องโพรงลมปราณใกล้เคียงช่องโพรงแห่งชะตาชีวิต เหมือนสร้างฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งเอามาสกัดกั้นไว้อย่างสิ้นเชิง ไม่ให้โอกาสให้ผู้ฝึกกระบี่นักรบเดนตายได้ระเบิดโอสถทองแม้แต่น้อย

ก่อนจะตาย ผู้ฝึกกระบี่เดนตายเผ่าปีศาจเห็นว่าไอ้ระยำผู้ฝึกกระบี่เฒ่านั่นยังมีอารมณ์แสดงละครไม่เลิก สีหน้าหวาดผวาไม่คลายนั่นช่างดูจริงใจนัก จากนั้นยังคลี่ยิ้มกว้าง พูดอย่างคนละอายใจว่า “ชนะเล็กๆ ชนะเล็กๆ เท่านั้น บังเอิญโชคดี บังเอิญโชคดี”

……

กองทัพใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างบุกโจมตีเมือง แม่น้ำสีทองเส้นที่อริยะสามลัทธิร่วมมือกันสร้างขึ้นมาแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน

เซียนกระบี่ถือกระบี่เฝ้าพิทักษ์แม่น้ำสายยาว เผ่าปีศาจที่อยู่ด้านหลังพวกเซียนกระบี่เป็นได้แค่สัตว์ถูกกักขังที่ต้องต่อสู้เอาชีวิตรอด ไม่มีกองกำลังเสริมมาช่วย ต้องเปิดฉากสังหารกับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ออกมาจากหัวกำแพงเมืองอย่างอุตลุด

แต่เซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลุ่มนี้คิดจะเฝ้าพิทักษ์แม่น้ำสายยาวเอาไว้ สะบั้นขบวนทัพเผ่าปีศาจให้ขาดกลาง ขัดขวางการเคลื่อนหน้าของกองทัพใหญ่ที่ตามมาภายหลัง ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน

เซียนกระบี่ทุกคนต่างก็ต้องเจอกับกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่บุกกระโจนเข้าใส่อย่างดุร้าย

นอกสนามรบ

กระโจมเจี่ยเซิน

ในกระโจมทัพหลังนี้แม้ว่าจะมีแต่เด็กที่อายุไม่มาก แต่กลับเข้มงวดและมีกฎระเบียบมากอย่างถึงที่สุดในบรรดากระโจมใหญ่หกสิบกระโจม หากคนนอกคิดจะเข้ามาก็หนีไม่พ้นต้องมีภารกิจสำคัญทางการทหาร ต่อให้เป็นปีศาจใหญ่เซียนกระบี่ หากกล้าบุกเข้ามาในกระโจมโดยพลการก็ล้วนต้องถูกตัดสินด้วยโทษประหารในทันที

วันนี้กระโจมเจี่ยเซินมีแขกผู้มีเกียรติสองท่านที่สถานะพิเศษอย่างถึงที่สุดมาเยือน

คนหนึ่งคือผู้เฒ่าร่างกำยำสวมชุดสีแดงสด ชุดคลุมอาคมสีแดงฉานที่สวมอยู่บนร่างนั้นมีเปลวเพลิงสีแดงเหมือนสีท้องฟ้ายามสายัณห์ไหลริน เดี๋ยวดับเดี๋ยวเกิด เคลื่อนที่ไม่แน่นอน นี่คือชุดคลุมอาคมที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง เล่าลือกันว่าเคยเป็นวัตถุพิทักษ์รากฐานของแม่น้ำใหญ่อย่างแม่น้ำเย่ลั่วซึ่งเป็นหนึ่งในทางเข้าสายน้ำใหญ่ในอดีต ลำดับศักดิ์ของผู้เฒ่าสูงมาก เทียบเท่าได้กับพวกหย่างจื่อ หวงหลวน เพียงแต่ว่าแต่ละคนมีบุญคุณความแค้นต่อกัน ความสัมพันธ์จึงซับซ้อนอย่างยิ่ง

ผู้เฒ่าคือหนึ่งในปีศาจใหญ่ตัวสำรองที่จะได้นั่งบัลลังก์ของตำหนักอิงหลิงแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เมื่อเทียบกับปีศาจใหญ่ฉงกวงแล้วพลังการสู้รบยังสูงกว่า เพียงแต่ว่าชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ชื่อเสียงจึงไม่โด่งดังเท่าฉงกวง ช่วงนี้มีครั้งหนึ่งที่เขาเปิดเผยตัวอย่างเป็นทางการ ก็คือครั้งที่เล่าลือกันว่า ปีนั้นอาเหลียงที่อยู่ระหว่างเดินทางเกิด ‘คันไม้คันมือทนไม่ไหว’ เลยใช้กระบี่ฟันให้รังของตาเฒ่าพังถล่มลงมาเกินครึ่ง ผู้เฒ่าถึงได้ร่วมมือกับฉงกวงไล่ฆ่าอาเหลียงอย่างดุดันเป็นระยะทางไกลหลายแสนลี้ กระทั่งไล่ฆ่าอาเหลียงไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้ยอมหยุด แล้วก็ ‘ถือโอกาสนี้’ ลิ้มรสกระบี่หนึ่งของต่งซานเกิงที่ออกมาจากหัวกำแพงเมืองด้วย

ข้างกายผู้เฒ่าคือปีศาจใหญ่อายุน้อยที่ด้านหลังสะพายกระบี่ยาวถึงห้าเล่มยืนอยู่ บนร่างอีกฝ่ายสวมชุดคลุมอาคมสีเขียวมรกต ‘ซู่เจียวเลี่ยน’ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้กัน รูปโฉมหล่อเหลาทั้งยังเยาว์วัย เพียงแต่ว่าลูกตาข้างหนึ่งกลับเป็นสีขาวซีดไร้ชีวิตชีวา และเซียนกระบี่ใหญ่อายุน้อยผู้นี้ก็ไม่คิดจะปิดบังอำพราง ถึงขั้นคร้านจะร่ายเวทอำพรางตาด้วยซ้ำ หากไม่เป็นเพราะถูกลูกตาข้างนี้ทำลายรูปโฉม คาดว่าก็คงสามารถเปรียบเทียบด้านเนื้อหนังมังสาที่โดดเด่นกับหมี่อวี้เซียนกระบี่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เลย

เพียงแต่ว่ามีอยู่ข้อหนึ่งที่ไม่เหมือนกับหมี่อวี้เซียนกระบี่หยกดิบผู้นั้นมากที่สุด นั่นก็คือปีศาจใหญ่เซียนกระบี่ผู้นี้มีเวทกระบี่สูงมาก คือคนที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนของเผ่าปีศาจ ในศึกสิบสามครั้งนั้น เขาได้เอาชนะจางลู่เซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานไปอย่างผึ่งผาย เป็นเหตุให้ฝ่ายหลังสิ้นชื่อ ต้องไปเฝ้าประตูใหญ่ของภูเขาห้อยหัวพร้อมโทษทัณฑ์ที่ติดตัว ได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับนักพรตน้อยที่ชอบนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเบาะรองนั่งผู้นั้น เล่าลือกันว่าจางลู่ผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับคู่สามีภรรยาเซียนกระบี่จากจวนหนิง เพียงแต่ว่าดูเหมือนจุดจบของสหายทั้งสามคนกลับไม่ดีไปยังไง สองคนรบตาย คนหนึ่งมีชีวิตรอด แต่ต้องกลายเป็นตัวตลกของผู้คน

หลิวป๋ายผู้ฝึกกระบี่หญิงแห่งกระโจมเจี่ยเซินเดินออกจากประตูมาต้อนรับเซียนกระบี่ทั้งสองพร้อมกับเด็กหนุ่มมู่จีผู้นำที่อยู่ในกระโจมเดียวกัน

มู่จีเอ่ยอย่างนอบน้อม “คารวะบรรพจารย์กวานเซี่ยง เซียนกระบี่โซ่วเฉิน”

เมื่อเทียบกับเขาแล้วคำพูดของหลิวป๋ายกลับผ่อนคลายตามแต่ใจ เผยความสนิทสนมชิดเชื้อมากกว่า นางยิ้มเอ่ยว่า “คารวะผู้เฒ่ากวานเซี่ยง ศิษย์พี่โซ่วเฉิน”

ปีศาจใหญ่กวานเซี่ยงยิ้มพลางพยักหน้ารับ “แม่หนูหลิวป๋ายงดงามขึ้นอีกแล้ว วันหน้าเมื่อไปถึงใต้หล้าไพศาล ข้าจะช่วยจับเอาตัวนักปราชญ์และวิญญูชนทั้งหลายของสำนักศึกษามาให้เจ้าเลือกเอง”

นี่ก็คือข้อดีของการสืบทอดจากสำนัก

อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดมรรคาให้หลิวป๋ายก็คือผู้ที่มีตำแหน่งเป็นอันดับสองของบัลลังก์ราชาซึ่งใช้นามแฝงว่าโจวมี่ เรียกตัวเองว่าหนอนหนังสือเฒ่า ถูกใต้หล้าเปลี่ยวร้างขนานนานว่า ‘มหาสมุทรความรู้’ ส่วนเซียนกระบี่โซ่วเฉินก็คือศิษย์พี่ใหญ่ของหลิวป๋ายพอดี และในบรรดาลูกศิษย์มากมายของโจวมี่ ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ โซ่วเฉิน ไฉ่อิ๋ง ถงเสวียน ถงอิน อวี๋จ่าว บวกกับหลิวป๋าย ทุกคนล้วนเป็นเมล็ดพันธ์บนมหามรรคาร้อยเซียนกระบี่ที่ภูเขาทัวเยว่คัดเลือกตัวมา

ร้อยเซียนกระบี่แห่งใต้หล้าที่ภูเขาทัวเยว่เป็นผู้คัดตัวไม่แบ่งระดับก่อนหลังตามขอบเขตสูงต่ำ ศิษย์พี่โซ่วเฉินของหลิวป๋ายผู้นี้ไม่เพียงแต่มีขอบเขตสูง ลำดับยังอยู่สูงมากอีกด้วย อยู่ติดๆ กับจู๋เชี่ยผู้สืบทอดของหลิวชา และหลีเจินลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่

หลิวป๋ายเห็นท่าทีผิดปกติของโซ่วเฉินจึงถามอย่างเป็นกังวล “ศิษย์พี่โซ่วเฉิน?”

ไม่เข้าใจว่าไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี เหตุใดศิษย์พี่โซ่วเฉินถึงได้บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ จากลากันคราวก่อน ว่ากันว่าศิษย์พี่โซ่วเฉินได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้ออกเดินทางไกล

โซ่วเฉินชี้ไปที่ลูกตาที่เอามาใส่เพิ่มภายหลังของตัวเอง เรือนกายของปีศาจใหญ่แข็งแกร่งทนทาน แล้วนับประสาอะไรกับปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนตนหนึ่ง แต่เขากลับไม่ได้สร้างให้ลูกตาใหม่ถือกำเนิด แล้วก็ไม่ยอมหลอมลูกตาที่เอามาใส่เพิ่มภายหลัง ราวกับจงใจจะให้คนสังเกตเห็นว่าเขาตาบอดอย่างไรอย่างนั้น เขายิ้มเอ่ยว่า “ถูกเจ้าเฒ่าตาบอดผู้นั้นควักตาไปข้างหนึ่ง โยนให้หมาเฝ้าประตูตัวนั้นกิน ความอัปยศอย่างใหญ่หลวงก็หนีไม่พ้นแบบนี้เอง แค้นนี้หากไม่ชำระจิตใจคงยากจะสงบ แต่หากคิดจะแก้แค้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงได้แต่ให้คนนอกมองเห็นเพื่อเป็นการเตือนตัวเอง หลีกเลี่ยงไม่ให้เวลาผ่านไปนานแล้วตัวเองจะลืม”

ในใจของมู่จีตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด

ไม่พูดถึงผู้เฒ่าตาบอดที่ชอบบงการให้หุ่นเชิดเกราะทองเคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หลายแสนลูกผู้นั้น ลำพังเพียงแค่ ‘หมาเฝ้าประตู’ ตัวนั้นก็ว่ากันว่าเป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่ฝ่าคอขวดไปหาเรื่องเขา ผลคือหาเรื่องไม่สำเร็จ กลับต้องกลายเป็นสุนัขอย่างสมชื่ออยู่ที่นั่น

ปีนั้นปีศาจใหญ่กวานเซี่ยงพาเซียนกระบี่โซ่วเฉินไปคุยธุระกับเฒ่าตาบอด หวังว่าเฒ่าตาบอดจะออกแรงร่วมกันบุกฆ่าไปยังใต้หล้าไพศาล คิดไม่ถึงว่าจะแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์

สิบสองตีกับสิบสาม ขอบเขตเซียนเหรินคุมเชิงกับขอบเขตบินทะยาน ต่อให้เอาชนะไม่ได้ ไม่มีโอกาสที่จะชนะได้เลย แต่จะดีจะชั่วก็ใช่ว่าจะหนีมาไม่ได้

แต่หากเป็นขอบเขตสิบสองกับสิบสามที่คุมเชิงกับขอบเขตถัดไป ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผลให้พูดกันแล้ว แน่นอนว่าเซียนกระบี่ขอบเขตบินทะยานยังพอจะมีพลังในการต่อสู้อยู่บ้าง ขอแค่กระบี่เร็วมากพอจนสามารถฝ่าฟ้าดินที่เกิดจากการแสดงตัวของมหามรรคาแห่งนั้นมาได้ เล่าลือกันว่าขอบเขตสิบสี่ คนอยู่ที่ไหนฟ้าดินอยู่ที่นั่น การสยบกำราบจากมหามรรคามีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างการที่ใช้ฟ้าดินขนาดเล็กกั้นอำพรางไว้เท่านั้น เมื่อร่างของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตบินทะยานซึ่งไม่ใช่เซียนกระบี่อยู่ในฟ้าดินที่ว่านี้ จะรู้สึกอึดอัดทรมานเป็นที่สุด ดังนั้นการที่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินอย่างโซ่วเฉินเสียเปรียบครั้งใหญ่ก็ไม่ใช่ว่าเพราะวิถีกระบี่ของโซ่วเฉินไม่ได้ความ แต่เป็นเพราะเฒ่าตาบอดแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ว่าทั้งๆ ที่เป็นคนนอก แต่พอมาอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับยังคงเป็นเทพเทวาในอาณาเขตขุนเขากว้างใหญ่หลายแสนลูกนั้นได้ อาเหลียงเคยเอ่ยคำเปรียบเทียบที่น่าสนใจอย่างถึงที่สุดบอกว่า เฒ่าตาบอดก็คือ ‘นายท่านผู้เฒ่ารอง’ ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เว้นเสียจากว่า ‘นายท่านผู้เฒ่าใหญ่’ ที่หายตัวไปนานนับหมื่นปีผู้นั้นไม่สบอารมณ์จึงลงมือกำราบเขาด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นวิชาอภินิหารทั้งหมดที่เอามาใช้กับเฒ่าตาบอดก็เป็นแค่เมฆล่องลอยน้ำไหลริน ล้วนเป็นเพียงความเพ้อฝันเท่านั้น

ปีศาจใหญ่กวานเซี่ยงยิ้มกล่าว “มาพูดเรื่องเป็นการเป็นงานกันก่อน ทางฝั่งของกระโจมเจี่ยจื่อกลัวว่าเด็กๆ อย่างพวกเจ้าจะอัดอั้น จากบันทึกของกระโจมทัพ นี่คือคำแนะนำใหญ่สองครั้งที่ทางกระโจมเจี่ยจื่อมีต่อกระโจมเจี่ยเซินแล้ว ดังนั้นข้าเลยเดินทางมาเล่าเรื่องวงในบางอย่างกับพวกเจ้าด้วยตัวเอง อีกเดี๋ยวพอเข้าไปในกระโจมเจี่ยเซินและข้าบอกเล่าสถานการณ์ทั้งหมดให้รู้แล้ว พวกเจ้าแค่รู้กันเองก็พอ อย่าได้เอาไปแพร่งพรายภายนอก”

ทุกคนในกระโจมเจี่ยเซินพากันลุกขึ้นยืนต้อนรับผู้อาวุโสสองคน คนหนึ่งอายุขัยยืนยาว ขอบเขตบินทะยานวางให้เห็นกันอยู่ตรงนั้น ปฏิทินเหลืองเล่มนั้นของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีอยู่หลายหน้าที่บันทึกถึงนามแฝงและเรื่องราวที่เกี่ยวกับผู้เฒ่า

อีกคนหนึ่งอายุยังน้อย ผลงานทางการสู้รบเหี้ยมหาญ แล้วยังเป็นเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง

ผู้เฒ่าพยักหน้ายิ้มให้ บอกเป็นนัยให้ทุกคนนั่งลง ไม่ต้องมัวเกรงใจกันอยู่

เซียนกระบี่โซ่วเฉินกวาดตามองไปรอบด้าน คนรุ่นเยาว์ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เขาแค่กวาดตามองเท่านั้น ส่วนพวกที่เป็นผู้ฝึกกระบี่จะจ้องอยู่นานหน่อย

หลีเจิน จู๋เชี่ย อวี่ซื่อ จวิ้นทาน บวกกับศิษย์น้องหญิงหลิวป๋าย กระโจมเจี่ยเซินก็มีตัวอ่อนเซียนกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอยู่ถึงห้าคน

ปีศาจใหญ่กวานเซี่ยงเอ่ยว่า “ตามแผนการของพวกเจ้า ขอบเขตบินทะยาน ขอบเขตเซียนเหรินทั้งหมดซึ่งรวมถึงข้าและฉงกวาง หากลงมือกันทุกคน จะสามารถตัดหัวเซียนกระบี่ได้มากสุดกี่หัว?”

มู่จีเอ่ย “หากอิงตามกลยุทธของพวกเรา ให้สังหารแค่เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อน อีกทั้งจำเป็นต้องฆ่าเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่มีพวกหยวนชิงสู่ ผู่เหอเป็นหนึ่งในนั้นให้ได้ก่อน หากตายไปสักสองคน เซียนกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ย่อมไม่มีทางถอยร่นอย่างแน่นอน แล้วก็ไม่มีโอกาสให้พวกเขาได้ถอนตัวออกจากสนามรบด้วย ถ้าอย่างนั้นผลลัพธ์ในท้ายที่สุด สถานการณ์ที่ดีที่สุดก็คือพวกเราสามารถสังหารเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบสี่ห้าคน บวกกับเซียนกระบี่ใหญ่อีกสองคน ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดก็คือขอบเขตหยกดิบสามคนกับเซียนกระบี่ใหญ่อีกหนึ่งคน หลังจากนี้ไม่ว่าพวกเซียนกระบี่ที่ออกกระบี่เฝ้าแม่น้ำสายยาวจะคิดอย่างไร ก็ควรต้องถอยทัพแล้ว”