บทที่ 2118 เสียงสะท้อนจากแดนสุขาวดี

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ซ่างกวนชิงแทบจะเก็บกดตายกับคำตอบนี้ ทำไมบอกว่าข้ามีอิทธิพลต่อพวกเขามากเกินไปล่ะ ทำเหมือนข้าจะเข้าไปสมคบกันให้การเท็จอย่างนั้นแหละ

คำพูดแต่ละคำคมกริบราวกับมีดจริงๆ ต้องอดทนข่มความคิดที่จะเข้าไปดูเอาไว้ ซ่างกวนชิงโกรธจนหน้าเขียว “ฆ่าเอาศพไปได้หรือเปล่า?”

“เรื่องศพเชิญตามสะดวก แต่สิ่งของบนร่างกายไม่สะดวกจะให้ผู้การใหญ่เอาไป บางทีในนั้นอาจจะมีหลักฐานอะไรอยู่บ้าง” เกาก้วนตอบเสียงเรียบ

ซ่างกวนชิงตะคอกสั่ง “หามไป!”

ผู้ติดตามสองคนเข้ามาเก็บศพของเซี่ยงจง แล้วก้าวยาวเดินตามหลังซ่างกวนชิงออกไป

“ผู้การใหญ่!” จู่ๆ เกาก้วนก็เรียนอีก

ซ่างกวนชิงหยุดเดิน หันกลับมามองอย่างเยียบเย็น

เกาก้วนถอนหายใจแล้วบอกว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ข้าขอคำสั่งจากฝ่าบาทมาสืบคดี ไม่อาจเห็นแก่อามิสสินจ้าง ควรจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น! ข้ากับผู้การใหญ่ไม่มีความแค้นส่วนตัวต่อกัน เรื่องบางเรื่องผู้การใหญ่อย่าเก็บมาใส่ใจ!”

ไม่รู้จะฟังเข้าใจหรือเปล่า อย่างไรเสียซ่างกวนชิงก็หันหน้าเดินไปแล้ว ไม่พูดอะไรมากอีก

ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงพี่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาววางแผ่นหยกในมือ ถอนหายใจเบาๆ แล้วถามว่า “เซี่ยงจงตายแล้วเหรอ? เขาติดตามอารักขามาหลายปีแล้วใช่ไหม?”

ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ ก้มหน้าตอบ “ทนทรมานไม่ไหวจนเอาศีรษะโขกกำแพงตายแล้วขอรับ!”

จากนั้นก็รีบเดินลงมา เดินมาตรงหน้าโต๊ะยาวแล้วหันตัวมาคุกเข่าลง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกทรมาน “ฝ่าบาท! สืบต่อไม่ได้แล้วขอรับ! อย่างน้อยก็สุดต่อไปแบบนี้ไม่ได้! คุกใหญ่ของหน่วยตรวจการขวาเป็นสถานที่แบบไหน? เป็นนรกที่ทุกคนต่างรู้จักดี คนปกติทนการทรมานในนั้นไม่ไหว แต่ไหนแต่ไรมาคนที่เข้าไปก็มีไม่กี่คนที่ได้รอดออกมา คนที่เคยเข้าไปมีใครบ้างที่ไม่โดนถลกหนัง? เกาก้วนสืบคดีแบบไหน ฝ่าบาทเองก็ทราบ ถ้าไม่มีบัญชาจากฝ่าบาท เขาก็สืบคดีอย่างเลือดเย็นที่สุด มีคนตั้งเท่าไหร่แล้วที่ตายด้วยน้ำมือเขา? องครักษ์เงาคือหน่วยกล้าตาย ถ้าถูกเกาก้วนทรมานอย่างนี้ต่อไป เกรงว่าจะใช้งานไม่ได้อีกแล้ว! ฝ่าบาท ถ้าปล่อยให้เกาก้วนสืบแบบนี้ต่อไป องครักษ์เงาก็จะพัง แบบนั้นไม่สู้ประหารชีวิตทั้งหมดแล้วเริ่มฝึกเลี้ยงใหม่อีกชุด สืบอีกไม่ได้แล้วจริงๆ ครับ อย่างน้อยก็ให้เกาก้วนสืบต่อไปไม่ได้แล้ว!”

อาศัยการตายของเซี่ยงจงทำให้ประมุขชิงสะเทือนใจ เขารีบฉวยโอกาสดำเนินการ

ปัญหานี้ใช่ว่าประมุขชิงจะไม่เคยพิจารณามาก่อน ถามอย่างลังเลว่า “อย่าบอกนะว่าจะให้องครักษ์เงาสืบกันเอาเอง?”

“หากฝ่าบาทไม่วางใจ ก็ดึงตัวคนที่ไว้ใจได้จากหน่วยตรวจการซ้ายกับกองทัพองครักษ์มาร่วมมือกันสืบ ไม่ควรให้เกาก้วนสืบต่อไปอีกแล้วขอรับ!” ซ่างกวนชิงตอบ

ประมุขชิงลังเลซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วจู่ๆก็ถอนหายใจ “อนุญาต! ซ่างกวน ทีหลังอย่าก่อปัญหาให้ใครอีก!”

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงโขกศีรษะกับพื้นพลางกล่างเสียงสะอื่น “ขอบพระทัยที่ฝ่าบาทเชื่อใจ!”

หลังจากซ่างกวนชิงออกไปแล้ว ประมุขชิงก็ลุกขึ้นและหันตัวเดินเข้าไปในชั้นหนังสือ หยิบม้วนตำราโบราณขึ้นมาพลิกอ่าน เงาคนสวมชุดคลุมดำด้านหลังชั้นหนังสือแวบเข้ามาหยุด แล้วถ่ายทอดเสียงรายงานเรื่องลับบางอย่าง

ประมุขชิงเริ่มขมวดคิ้ว “คำพูดของเกาก้วนสื่อว่าสงสัยซ่างกวนเหรอ?”

“ทั้งสองทะเลาะกันต่อหน้าฝูงชน เกาก้วนเพียงบอกอย่างนั้น แต่ฟังดูแล้วก็มีเหตุผลอยู่บ้าง” เสียงนั้นตอบอย่างรวดเร็ว

ประมุขชิงเงียบงันพูดไม่ออก…

ตระกูลหวงฝู่ ในตึกร้านค้า ผู้ช่วยแต่ละเขตของร้านค้าสมาคมวีรชนทยอยกันมาถึง มารวมตัวกันในโถง

หวงฝู่จวินโหรวนั่งสง่าอยู่ด้านบน นี่คือการเรียกผู้ช่วยเขตมาประชุมครั้งแรกหลังจากนางรับตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ร้านค้าสมาคมวีรชนอย่างเป็นทางการ หวงฝู่ตวนหรงมารดาของนางเคยมีประสบการณ์ด้านนี้ คอยชี้แนะอยู่ข้างๆ เป็นระยะ

เมื่อการประชุมจบลง ผู้ช่วยแต่ละเขตบ้างก็อยู่บ้างก็ไป คนที่อยู่ก็พูดคุยกับหวงฝู่จวินโหรวต่อไป นับว่าเป็นลูกน้องเก่าของหวงฝู่ตวนหรง หลังจากหวงฝู่ตวนหรงออกจากตำแหน่งแล้ว ฝั่งนี้ก็เปลี่ยนคนไม่ทัน ตอนนี้หวงฝู่ตวนหรงนับว่าช่วยแนะนำให้ลูกสาว ให้ลูกน้องเก่าเหล่านี้ตั้งใจช่วยเหลือลูกสาวของนางต่อไป

หลังจากพูดคุยกันจบแล้ว ตอนที่สองแม่ลูกกลับมาที่บ้านตัวเอง กลับเห็นบรรดาภรรยาและลูกๆ ของหวงฝู่เยี่ยนมารวมตัวกันเกือบหมด อู่หนิงที่อยู่บนตึกข้างๆ กำลังพิงหน้าต่าง ยักไหล่ให้แม่ลูกที่เดินเข้ามา แสดงออกว่าจนปัญญา

โดยปกติเขตร้านบ้านนี้ไม่ชอบให้คนนอกบุกเข้ามา แต่คนพวกนี้ดึงดันจะมาให้ได้ อู่หนิงก็ไม่สะดวกจะห้ามเช่นกัน อย่างไรเสียในจำนวนนี้ก็มีไม่น้อยที่เป็นญาติผู้ใหญ่ของหวงฝู่ตวนหรง

สองแม่ลูกงงงวย แต่กลับเห็นบรรดาภรรยาและลูกๆ ของหวงฝู่เยี่ยนหลีกทางให้สองฝั่ง พากันยิ้มแสดงไมตรีต่อหวงฝู่จวินโหรว ไม่ได้ยิ้มให้หวงฝู่ตวนหรง แต่ยิ้มให้หวงฝู่จวินโหรว คนนั้นตะโกนเรียก “โหรวโหรว” คนนี้ตะโกนเรียก “พี่สาว”

ในตอนนี้สองแม่ลูกเพิ่งจะเข้าใจกระจ่างอย่างฉับพลัน ว่าหลังจากหวงฝู่เยี่ยนตายแล้ว อำนาจมากมายตกอยู่ในมือคนอื่น คนพวกนี้ก็สิ้นอำนาจตามไปด้วยเช่นกัน เท่ากับสูญเสียที่พึ่งพิง ตอนนี้หวงฝู่จวินโหรวได้ตำแหน่งสำคัญในตระกูลอีกครั้ง กุมอำนาจมหาศาลและช่องทางรายได้จำนวนมากของตระกูลหวงฝู่ หมายความว่าค่อนข้างมีอำนาจในการพูด ตั้งแต่นี้ไป สมาชิกตระกูลสายของหวงฝู่เยี่ยนก็จะมองหวงฝู่จวินโหรวเป็นม้าจ่าฝูงแล้ว ตั้งแต่นี้ไปจะต้องพึ่งพาหวงฝู่จวินโหรวให้ช่วงชิงผลประโยชน์ให้พวกเขา เพื่อให้ยืนหยัดในตระกูลได้

หวงฝู่จวินโหรวที่หยาดเยิ้มภูมิฐานเดินพยักหน้าอมยิ้มให้ฝั่งซ้ายและขวาตลอดทาง ไม่ถ่อมตัวและไม่เยอะหยิ่ง เดินผ่านกลางกลุ่มคนไป…

จวนอ๋องสวรรค์หนิว บนตึกศาลาที่สูงตระหง่าน เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนพิงระเบียง ทอดสายตามองไปไกล

อวิ๋นจือชิวขึ้นมาบนตึก เดินเนิบนาบมาข้างหลังเขาแล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “ท่านอ๋องกำลังคิดอะไรอยู่?”

ลักษณะท่าทางเปลี่ยนไปแล้วไม่น้อย ความองอาจห้าวหาญที่เคยมีแฝงด้วยความเคร่งขรึม เผด็จการ! มีความน่าเกรงขามในตัวเอง!

แต่หลังจากเผยรอยยิ้มอ่อนๆ ลักษณะแข็งกร้าวก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนในชั่วพริบตาเดียว “ได้ยินว่าทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขา “เนี่ยอู๋เยี่ยนนั่นทำให้คนปวดหัวจริงๆ แค่โดนคนด่าว่าไม่เหมือนผู้หญิง ก็วิ่งไปด่ากลับแล้ว ทั้งยังดึงอีกฝ่ายมาท้าสู้ตัวต่อตัวด้วย เจ้าไม่สนใจสักหน่อยเหรอ?”

เหมียวอี้หัวเราะลั่น “ข้าไม่ยุ่ง! พวกเราคุยกันไว้เรียบร้อยแล้ว เรื่องของเรือนชั้นในเจ้าเป็นคนดูแล!”

“แหม! เวลาแอบไปผ่อนคลายทำไมไม่พูดอย่างนี้บ้างล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถาม

เหมียวอี้หัวเราะแห้งกลบเกลื่อนความอับอาย “เจ้ามาที่นี่เพื่อพูดเรื่องนี้เหรอ?”

อวิ๋นจือชิววังสองมือบนระเบียง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ใต้ซือศีลเจ็ดจะมาที่พิภพใหญ่”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “อยู่ที่พิภพเล็กก็ดีอยู่แล้ว จะมาทำอะไรที่นี่ เขาไม่รู้หรอกว่าตัวเองไม่ควรโผล่หน้ามาอยู่ฝั่งนี้”

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “เขาได้ยินมาจากอวี้หลัวช่า เรื่องที่ประมุขพุทธะจะเปิดพลับพลาเทศนาธรรม ทนไม่ไหวอยากจะไปเข้าร่วมฟังธรรม”

“ไม่ได้! ทำไมต้องหาเรื่องใส่ตัว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำยังไง?” เหมียวอี้ส่ายหน้า

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจอีก “เขาบอกประมาณว่าฟังเสียงพุทธธรรม ต่อให้ตายก็ไม่เสียดาย เขาเองก็อยากจะหาด้วยว่าวิชาศีลเกิดปัญหาตรงไหนกันแน่ จะได้ถ่ายทอดให้คนรุ่นหลัง บอกว่าตัวเองทำเรื่องอันพึงปฎิบัติ! พอเขาเอ่ยปาก อวี้หลัวช่าก็ตอบตกลงทันที รับประกันว่าจะเตรียมให้เขาอย่างเหมาะสม ตอนนี้ก็เหลือแค่เรื่องต้องมาจากพิภพเล็กแล้ว เจ้าจะให้ข้าห้ามยังไงล่ะ? เอาเป็นว่าข้าไม่สะดวกจะว่าเขา ถ้าจะปฏิเสธเจ้าก็ไปปฏิเสธเอง ข้าไม่รับบทเป็นคนเลวหรอก”

“อวี้หลัวช่ารับประกันได้จริงเหรอว่าจะไม่เป็นอะไร?” เหมียวอี้ลังเล

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ฟังจากที่อวี้หลัวช่าบอก ตามหลักแล้วไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไร ถึงตอนนั้นคนที่ไปฟังธรรมมีเยอะมาก ไม่มีใครเคยเจอใต้ซือศีลเจ็ดมาก่อนด้วย เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของใต้ซือศีลเจ็ดนิดหน่อย เวลาปะปนอยู่ในกลุ่มคน ก็น่าจะไม่มีใครจำได้”

“เจ้ายืนยันกับอวี้หลัวช่าอีกสักหน่อย ถ้ารับประกันได้จริงๆ ว่าจะไม่เป็นอะไร…จะมาก็มาเถอะ ถึงยังไงก็เป็นอาจารย์ของเจ้ารอง พวกเราก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรด้วย” เหมียวอี้ถอนหายใจอย่างจนใจ เจอกับคนดื้อดึงอย่างใต้ซือศีลเจ็ด เขาก็หมดหนทางจริงๆ อยากจะด่าก็ไม่สะดวกใจ

“ใช่!” อวิ๋นจือชิวพยักหน้า แล้วถามอีกว่า “เจ้าจะไปจริงหรอ? จะไม่มีอันตรายใช่ไหม?”

เหมียวอี้วางมือบนระเบียง “ถ้าไม่ไปจะไม่เหมาะสม ถ้าพวกอ๋องสวรรค์ไม่ไปร่วมงาน จะไม่ถือว่าไม่ไว้หน้าประมุขพุทธะหรอกเหรอ งานบุญที่นานๆ ทีประมุขพุทธะจะจัดสักครั้ง ถ้าไม่ไปเป็นเกียรติ ก็เท่ากับล่วงเกินทั้งสองฝั่งแล้ว ประมุขชิงอยากกำจัดข้า ถ้าประมุขพุทธะสอดมือเข้ามาแทรก มันก็จะยุ่งยากนิดหน่อย ด้วยศักยภาพของพวกเราตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาที่จะแตกหัก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็อนุญาตให้พวกเรานำกำลังพลไปด้วย ถ้าเกิดเรื่องขึ้น อาศัยกำลังพลของพวกเราหลายฝ่ายร่วมมือกัน ยังไม่ต้องพูดถึงเอาชนะ อีกฝ่ายจัดการพวกเราไม่ได้ภายในเวลาสั้นๆ แน่ ถ้าประมุขพุทธะทำซี้ซั้วจริงๆ อย่างมากข้าก็แค่รวบรวมกำลังพลจากหลายฝ่ายเข้าไปทางลับ โจมตีเข้าไปในแดนพุทธะโดยตรง ข้าจะคอยดูว่าเขาจะจบเรื่องนี้ยังไง! วางใจเถอะ ประมุขพุทธะก็ไม่อยากให้ประมุขชิงครองใต้หล้าคนเดียวอยู่แล้ว ไปครั้งนี้ไม่น่าจะเป็นอันตราย พวกโค่วหลิงซวีเคยถูกประมุขพุทธะ ‘รั้งไว้’ ครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไปอยู่ดี”

อวิ๋นจือชิวกล่าวเสียงต่ำ “เจ้ามีแผนการในใจแล้วก็ดี ข้าก็แค่อยากจะเตือนเจ้า ว่าตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว มีคนมากมายฝากความหวังไว้ที่เจ้า เจ้าอย่าทำเรื่องมุทะลุดุดันเหมือนคนเลือดร้อนอีก!”

“รู้แล้วๆ!” เหมียวอี้ตบหลังมือนางเบาๆ แล้วกุมมือไว้

ลมหนาวพัดวูบเข้ามาในถ้ำน้ำแข็ง หนานโปนั่งขัดสมาธิ ไม่แสดงสีหน้าท่าทาง ราวกับเป็นไม้แกะสลัก

“มีคนจากอีกหลายจุดที่ไม่ได้ข่าวคราว อำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเราจินตนาการจริงๆ ถ้าให้พวกเราสืบต่อไปทีละขั้นแบบนี้ ช้าเร็วพวกเราก็จะไม่มีคนให้ใช้งานข้างนอก สักวันก็จะกลายเป็นคนตาบอด ถึงตอนนั้นถ้าไม่มีเบื้องล่างส่งมอบกำลังทรัพย์ให้ คนฝั่งเราก็จะจิตใจว้าวุ่น เส้นทางของพวกเราอาจจะอยู่ในมือพวกเขานานแล้วก็ได้” จั่วเอ๋อร์ถอนหายใจอยู่ข้างๆ

เกล็ดหิมะที่ตกลงมาบนตัวหนานโปพลันปลิวออกไป หนานโปค่อยๆ ลุกขึ้น “ได้ยินว่าแดนสุขาวดีจะจัดงานบุญ ไปดูสักหน่อยเถอะ”

จั่วเอ๋อร์ยิ้มเจื่อย “อารามแปดทิศทางเข้าแดนสุขาวดีตรวจสอบเข้มงวดมาก หลังจากผู้อาวุโสออกมาแล้วก็ยิ่งสอบสวนเข้มงวดขึ้น เกรงว่าผู้อาวุโสคงจะไม่มีโอกาสเข้าไป” นางพึมพำในใจว่า เจ้ายังมีกะจิตกะใจจะไปดูงานบุญอีกเหรอ

หนานโปกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า”ตัดขาดการติดต่อกับเบื้องล่างเถอะ ตอนนี้รักษากำลังทางนี้เอาไว้ก่อน ไปเริ่มต้นใหม่ที่แดนสุขาวดีแล้วกัน! ไม่ไปทางอารามแปดทิศ ข้ารู้ทางลับที่ใช้เข้าออกแดนสุขาวดีอีกทาง!”

จั่วเอ๋อร์งุนงง คิดในใจว่า ทำไมเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้?

เป็นเรื่องยากเช่นกันที่หนานโปจะตัดสินใจทำแบบนี้ เขาอยากได้บัวโลหิตในมือเหมียวอี้มาตลอด ถึงได้วุ่นวายอยู่ที่นี่ แต่ดูจากแนวโน้มสถานการณ์ตอนนี้ ฝั่งตำหนักสวรรค์ป้องกันเขาทั่วทุกหนแห่ง ไม่ให้โอกาสเขาได้ลงมือเลย โดยเฉพาะการกดดันทุกฝีก้าวจากตระกูลเซี่ยโห้ว ทำให้เขาตระหนักได้ถึงอันตราย ถ้าอยากจะได้บัวโลหิตมาง่ายๆ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว ส่วนทางเข้าแดนสุขาวดีแม้จะป้องกันเข้มงวด แต่ในแดนสุขาวดีกลับผ่อนปรนมากกว่าเยอะ เพราะทุกคนต่างก็คิดว่าเขายังอยู่ในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ จะไปแล้วก็จะเติบโตได้สะดวก ยามเผชิญหน้ากับอันตรายที่อาจจะมาเยือน เขาจำต้องตัดสินใจทิ้งเรื่องบัวโลหิตชั่วคราว แฝงตัวเข้าไปเริ่มต้นใหม่ที่แดนสุขาวดี หาวิธีที่เหมาะสมในการหลอมสร้างกายหยาบขึ้นมาใหม่ แม้โอกาสสำเร็จจะต่ำมาก อาจจะต้องใช้เวลานานมาก แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ถ้าไม่ได้บัวโลหิตเพื่อใช้เป็นทางลัด ก็ทำได้เพียงพยายามทีละก้าว คาดว่าทุกคนก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเขาไปซ่อนตัวในแดนสุขาวดีแล้ว จึงปลอดภัยกว่าฝั่งนี้

………………