ตอนที่ 1967 แก่นแท้แห่งเต๋า

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ตอนที่ 1967 แก่นแท้แห่งเต๋า

 

หลังจากที่ขึ้นเขามาถึงความสูงระดับนี้ ตลอดเส้นทางก็ไม่พบอุปสรรคอีกต่อไปพวกหลิงฮัน ใช้เวลาราวๆ ครึ่งวันเศษ ในการขึ้นมาถึงยอดเขา ณบริเวณนี้ถูกเมฆหมอกปกคลุมไปทั่วพื้นที่ราวกับดินแดนในเทพนิยาย

 

ที่ด้านหน้า กลุ่มคนจํานวนหนึ่งกําลังยืนออกันอยู่ซูหย่าหรงกับเอี้ยนเซียนลู่เองก็อยู่ที่นี่เช่นกัน

 

หลิงฮันก้าวเดินเข้าไปและกล่าว “พี่ชายเอี้ยนเหตุใดถึงได้มาหยุดยืนอยู่ตรงนี้งั้นรึ?”

 

“น้องหลิง หากข้าบอกเจ้าไป เกรงว่าเจ้าจะตื่นเต้นจนหัวใจระเบิดออกจากอก!”เอี้ยนเซียนลู่ส่ายหัว

 

หลิงฮันยิ้ม “แบบนั้นข้ายิ่งสงสัยกว่าเดิมเสียแล้วสิ”

 

เอี้ยนเชียนลู่พยักหน้า และชี้ไปที่ด้านหน้า “ตรงนั้นมีแผ่นหินบางอย่างตั้งอยู่”

 

ยิ้ม!

 

“ไอ้หน้าปลวก ลีลาอยู่ได้ อยากตายรึไง!” ฮูหนิวส่งเสียงคํารามออกมาคนผู้นี้กล้าหยอกล้อพวกนางงั้นรึ?

 

เอี้ยนเซียนสู่ชะงักทันที กับฮูหนิวแล้ว เขาไม่กล้าหยอกล้อด้วยเลยแม้แต่น้อยจึงรีบกล่าวออก มา “แผ่นหินที่ว่าไม่ใช่แผ่นหินทั่วไปแต่เป็นแผ่นหิน… ที่สลักแก่นแท้แห่ง เต๋ต้นเกิดสวรรค์และปฐพี่เอาไว้!”

 

“แก่นแท้แห่งเต๋างั้นรึ?”

“แก่นแท้แห่งเต่ํา!”

 

หลิงฮันกับจักรพรรดินี้รู้สึกสับสน ในขณะที่ซูหนิวเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมาอย่างปิดไม่มิด และรีบกล่าวด้วยใบหน้าละโมบ “ไหนมันอยู่ไหนสิ่งนั้นต้องเป็นของหนิว!”

 

“มันคืออะไรงั้นรึ?” หลิงฮันถามเอี้ยนเซียน

 

“น้องหลิง การบ่มเพาะพลังของพวกเราคือการทําความเข้าใจอํานาจแห่งกฎเกณฑ์ เพียงแต่อํานาจแห่งกฎเกณฑ์เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ทุกคนจึงรู้แจ้งในวิถีแห่งเต๋ด้วยวิธีของตนเองและไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่ตนเองรู้แจ้งนั้นผิดหรือถูก”เอียนเซียนสู่กล่าว

 

หลิงฮันพยักหน้า อีกฝ่ายพูดถูกแล้วต่อให้เขาจะครอบครองแก่นกําเนิดสวรรค์และปฐพีอย่างเพลิงเก้าสวรรค์หรือวารีพลังหยินเร้นรับ แต่หากพูดถึงการรู้แจ้งแห่งเต๋แล้ว อย่างมากความได้เปรียบของเขาก็มีมากกว่าคนทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

“แต่แก่นแท้แห่งเต๋นั้น” เอี้ยนเซียนลู่แน่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ“มันคือสิ่งเร้นลับ ที่ถือกําเนิดขึ้นโดยสวรรค์และปฐพีซึ่งสามารถช่วยให้จอมยุทธเข้าถึงวิถีแห่งเต๋ที่แท้จริงได้!”

 

“จริงอยู่ที่อํานาจแห่งเต๋คือสิ่งพื้นฐานที่สุด แต่ในการบ่มเพาะพลังของพวกเราสิ่งสําคัญที่ สุดก็คือพื้นฐาน”

 

หลิงฮันเห็นด้วยกับอีกฝ่ายดูอย่างก่อนหน้านี้ที่เขาให้คําชี้เกี่ยวกับศาสตร์ปรุงยาใน เมืองผนึกแปรผันสิ่งเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นพื้นฐานทั้งนั้น แต่มันก็ทําให้นักปรุงยาสามดาวเกิดความเลื่อมใสได้

 

“เพียงแต่ในยุทธภพนั้นมีอํานาจแห่งกฎเกณฑ์อยู่มากมายไม่ว่าใครก็ไม่อาจรู้ได้ว่าวิถีแห่งเต๋ ที่ตนเองรู้แจ้งไปนั้นเป็นเส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่” เอี้ยนเซียนอู่กล่าวเสริม

 

“แล้วตรงหน้ามีคูน้ําขวางอยู่ ผู้คนถึงได้มายืนออหยุดกันตรงนี้ว” หลิงฮันยิ้มสมบัติล้ําค่าที่ ทําให้ดวงตาทุกคนลุกวาวตั้งอยู่ตรงหน้าแท้ๆเป็นไปได้อย่างไรที่ทุกคนจะทําเพียงหยุดมองกันอยู่ตรงนี้

 

“ไม่ใช่คน แต่เป็นสุนัขชั่ว!” เอี้ยนเซียนลูกล่าว

 

“สุนัข? หนิวอยากกินเนื้อสุนัข!” ฮูหนิวรีบวิ่งผ่านฝูงชนไปตรงหน้าทันที

 

ถึงแม้ผู้คนมากมายจะถูกนางผลักออก แต่ทุกคนก็ทําได้เพียงเหล่ตามองและไม่กล้ากล่าวอะ ไรออกมา

 

“อี้ ช่างเป็นคางคกยักษ์ที่น่าเกลียดอะไรอย่างนี้!” ฮูหนิวเค้นเสียงสบถก่อนจะรีบวิ่งกลับมาค ํารามใส่อู่เซียนลู่ “ไหนเจ้าบอกว่ามีสุนัขอยู่ไง?”

 

เอี้ยนเซียนสู่กลายเป็นไร้คําพูด “ที่ข้าพูดคือคําเปรียบเปรยที่ว่าสุนัขดีย่อมไม่ยืนขวางทาง!”

 

“หนิวไม่สน เอาเนื้อสุนัขมาให้หนิวเดี๋ยวนี้!” ฮูหนิวตะโกน

 

หลิงฮันก้าวเดินขึ้นไปที่ด้านหน้า และพบเห็นแผ่นหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนลานเวที แผ่นหินนี้ ถูกสร้างขึ้นจากหยกสีขาวที่มีตราประทับมากมายสลักเอาไว้แต่ด้วยเมฆหมอกของสถานที่แห่งนี้ต่อให้เป็นสายตาของเขาก็สามารถมองเห็นได้แค่ข้อความส่วนแรกอย่างเลือนรางเท่านั้น

 

เพียงแต่แค่การมองไม่กี่วินาที ภายในห้วงจิตวิญญาณของเขาก็ราวกับเกิดพายุโหมกระหน่ําและปราณพิฆาตได้ส่องสว่างจากภายในดวงตาของเขา

 

อํานาจแห่งกฎเกณฑ์สังหาร!

 

แผ่นหินตรงหน้า คือแก่นแท้แห่งเต๋ของอํานาจแห่งกฎเกณฑ์สังหาร

 

คนอื่นที่ไม่ได้บ่มเพาะอํานาจแห่งกฎเกณฑ์สังหารอาจจะสัมผัสไม่ได้แต่สําหรับหลิงฮัน ที่ฝึกฝนอํานาจแห่งกฎเกณฑ์สังหารมาแล้วสักพักทันทีที่มองไปยังตราประทับบนแผ่นหินจึงสัมผัสถึงอํานาจแห่งเต๋ได้ในทันที

 

ที่ด้านข้างแผ่นหิน มีคางคกร่างมหึมาร่างหนึ่งกําลังนอนอยู่ทําให้ตราประทับส่วนอื่นๆ ถูกบัง เอาไว้

 

คางคกตนนี้ไม่ได้ต่างจากสัตว์ประหลาดที่เคยพบเจอมาก่อนหน้านี้ร่างของมันถูกปกคลุมไปด้วยแท่งหนามซึ่งทําให้รูปลักษณ์ของมันดูอัปลักษณ์ยิ่งไปกว่าเดิม

 

“คางคกนั่นแข็งแกร่งมากงั้นรึ?” หลิงฮันเอ่ยถาม

 

“มันมีพลังอยู่ในระดับตัดวิญญาณสวรรค์ เจ้าคิดว่ามันแข็งแกร่งหรือเปล่าล่ะ?”จักรพรร ดคนหนึ่งของอาณาเขตสวรรค์กว่างลังกล่าวด้วยท่าที่เหยียดหยามราวกับตนเองเป็นตัวตนที่สูงส่ง กว่า

 

หลิงฮันยิ้มและสวนกลับ “แล้วเจ้าล่ะทําอะไรได้บ้าง?ข้าเอาชนะตัวตนระดับตัดวิญญาณ สวรรค์ไม่ได้ก็จริง แล้วเจ้าล่ะเอาชนะได้งั้นรึ? ข้าล่ะไม่รู้จริงๆว่าเจ้าไปเอาความรู้สึกว่าตนเองสูงส่ง มาจากไหน”

 

จักรพรรดิผู้นั้นใบหน้าขึ้นสีและถลึงตาเปิดกว้าง แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรกลับมา

 

“น้องชายหลิง สัตว์ประหลาดระดับตัดวิญญาณสวรรค์แข็งแกร่งเกินความสามารถของพวก เรา ทางดีที่แทนที่จะสู้กับมันคนเดียวพวกเรามาทิ้งความบาดหมางของสองอาณาเขตสวรรค์เอาไว้ชั่วคราว และร่วมมือต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตนนั้นดีกว่า”ซูหย่าหรงก้าวเดินเข้ามาและกล่าวเชื้อเชิญหลิงฮัน

 

“สตรีอัปลักษณ์ เจ้าคิดจะทําอะไรกับหลิงฮันของหนิว?”ฮูหนิวรีบตั้งท่าขู่ราวกับพยัคฆ์ และจดจ้องไปยังซูหย่าหรงด้วยแววตาเหี้ยมโหด

 

ซูหย่าหรงยิ้ม “เจ้าทั้งงดงาม และมีรากฐานพลังบ่มเพาะที่สูงส่งกว่าข้าเหตุใดถึงต้องห วาดกลัวข้ากัน หรือเจ้าไม่มั่นใจในตัวเอง?”

 

ซูหนิวกล่าว “แน่นอนว่าหนิวมั่นใจในตัวเองอยู่แล้วแต่เพราะตัวอัปลักษณ์เช่นพวกเจ้าเอาแต่ ปรากฏตัวไม่หยุดนั่นล่ะหนิวถึงได้รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก!”

 

ประโยคที่กล่าวอย่างไม่เจาะจงนี้ ส่งผลให้ธิดาโร่วกระแอมเสียงเบาและมีท่าที่ร้อนรน

 

ซูหย่าหรงยังคงยิ้มและกล่าว “สบายใจได้ ข้าเพียงแค่เชิญชวนพวกเจ้าให้มาช่วยกันจัดการ คางคกตนนั้นเท่านั้นเอง”

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี แต่แก่ที่เจ้ารู้จุดยืนของตัวเอง หนิวจะยอมไม่ให้ความสนใจกับเจ้าเท่าที่จะทํา ได้” ซูหนิวคว้าแขนคว้าของหลิงฮันเอาไว้ราวกับต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ

 

หลิงฮันมองไปที่ด้านหน้าและกล่าว “ตัวตนระดับตัดวิญญาณสวรรค์นั้นแข็งแกร่งกว่าระดับ ตัดวิญญาณปฐพี่ไม่รู้เท่าไหร่ต่อให้พวกเราร่วมมือกันก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดนั้นได้

 

“หากไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร?” ซูหย่าหรงกล่าว “สําหรับการบ่มเพาะนั้นยิ่งรากฐานในช่ วงล่างมั่นคงเท่าไหร่ก็ยิ่งดีไม่เช่นนั้นหากเปรียบวรยุทธเป็นการสร้างหอคอย เมื่อใดก็ตามที่ฐานอิฐ ด้านล่างไม่เสถียรหอคอยก็จะล้มพังลงมาอย่างแน่นอน”ซูหย่าหรงพยายามกล่าวโน้มน้าวถึงแม้เป้าหมายในคําพูดของนางจะเป็นหลิงฮัน แต่คนอื่นๆ รอบข้างต่างก็พยักหน้าไปตามๆกันซึ่งเอียนเซียนอู่เองก็ไม่มีข้อยกเว้น

 

หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ก็ได้งั้นมาลองดูกัน”