บทที่ 1361 ต้นเหตุของความโกลาหล

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,361 ต้นเหตุของความโกลาหล

เกิดความวุ่นวายโกลาหลอย่างนั้นหรือ?

“ท่านกำลังหมายความว่าเกิดสงครามใช่หรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมา

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพยักหน้าและอธิบายต่อ “ถูกต้องแล้ว เกิดสงครามขึ้นทั่วทุกจักรวรรดิ ระบบความศรัทธาของมนุษย์ที่มีต่อเทพเจ้าล่มสลาย จักรวรรดิจำนวนมากเผชิญหน้ากับภัยสงครามจนเกิดความเสียหายใหญ่หลวง ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก วิหารถูกทำลายล้าง… นั่นจึงส่งผลมาถึงความตายของบรรดาเทพเจ้าในดินแดนทวยเทพ”

“แล้วจักรวรรดิเป่ยไห่…”

หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าวิตกกังวล

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบว่า “วางใจเถอะ… ข้ายังไม่ตายไม่ใช่หรือ? ถึงพวกเขาจะไม่สงบสุขเหมือนเดิม แต่บัดนี้ จักรวรรดิของเจ้าก็ยังไม่ถึงกับล่มสลายลงไป”

“อ้อ จริงด้วยสินะ… เอ๊ะ ท่านหมายความว่าอย่างไร? แสดงว่าเป่ยไห่ก็เข้าร่วมสงครามด้วยเช่นกันหรือ?”

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตและกล่าวต่อ “นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้วนะ”

“เจ้าจะตกใจทำไม? มนุษย์อย่างเจ้าเกิดมาครั้งเดียวก็ตายครั้งเดียวอยู่แล้วนี่”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงซดสุราจากไห ก่อนยิ้มกว้างและเรอเอื๊อกออกมาใส่หน้าหลินเป่ยเฉิน “ตราบใดที่จักรวรรดิยังไม่ล่มสลาย เจ้าก็ยังคงมีความหวังเสมอ อีกไม่นานเจ้าก็จะกลับไปแล้ว รอจนถึงตอนนั้นเสียก่อนเถอะ ไม่ใช่แต่เพียงเจ้าจะช่วยทำให้เป่ยไห่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นนะ แม้แต่ทั่วทั้งแผ่นดินตงเต้าก็จะต้องตกเป็นของเป่ยไห่ด้วยซ้ำ”

“เรื่องนี้ก็จริงอยู่”

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับ

ทุก ๆ ปัญหาย่อมมีโอกาสดีงามซ่อนอยู่เสมอ

เท่าที่เขารับทราบมา แผ่นดินตงเต้ามีศรัทธาความเชื่อในระบบเทพเจ้าแรงกล้า และยามที่เกิดสงครามสร้างความระส่ำระสายไปทั่วทุกหย่อมหญ้าเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จักรวรรดิเป่ยไห่จะก้าวขึ้นมาเรืองอำนาจ

หืม?

เดี๋ยวก่อนนะ

ทำไมเขาต้องคิดถึงเรื่องนี้ด้วย?

เขาไม่สมควรกระตือรือร้นเรื่องอำนาจในโลกแห่งวรยุทธ์ไม่ใช่หรือ?

หลินเป่ยเฉินรีบบอกตนเองให้ตั้งสติและถามออกมาว่า “ถ้าอย่างนั้น บรรดาสหายของข้า…”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยกมือขึ้นบอกให้เขาหยุดพูดและกล่าวตอบ “ในฐานะที่เป็นตัวแทนเทพีกระบี่ ข้าฟังคำสวดภาวนาของสาวกทั้งหมดแล้ว แต่ข้าไม่ได้ยินคำอธิษฐานของพวกเขาเลย ดังนั้น ข้าจึงไม่ทราบว่าบรรดาสหายของเจ้าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง”

หลินเป่ยเฉินอยากจะกระโดดถีบขาคู่ใส่เทพธิดาขี้เมาผู้นี้เหลือเกิน

แต่แล้วเด็กหนุ่มก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงรีบนำโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดดูแอปเวยป๋อทันที

ให้ตายเถอะ

เมื่อเปิดขึ้นมา เขาก็ต้องเลิกคิ้วสูงด้วยความเหลือเชื่อ

เพราะยอดผู้ติดตามของเขาเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาล

จากเดิมที่มีผู้ติดตามเพียง 6.5 ล้านคน ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินมียอดผู้ติดตามถึงสิบสองล้านคนแล้ว

หลินเป่ยเฉินกดดูบรรดาข้อความที่กลุ่มผู้ติดตามส่งมาหาตนเอง

‘ท่านเทพเจ้า เกิดสงครามระหว่างจักรวรรดิเจิ้งหลงกับจักรวรรดิต้าเกี๋ยนแล้วขอรับ’

‘กลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางส่งตัวแทนเข้าไปเจรจาไกล่เกลี่ย แต่คนของพวกเขากลับถูกสังหารอย่างโหดร้ายทารุณหลายร้อยคน…’

‘ให้ตายเถอะ จักรวรรดิต้าเกี๋ยนยกกองทัพบุกตะลุยแดนตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งหน้ามาตีจักรวรรดิเป่ยไห่…’

‘จักรวรรดิจี้กวงถูกจักรวรรดิต้าเกี๋ยนตีแตกไปแล้ว บัดนี้ มีสภาพน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง’

‘ท่านเทพเจ้าหลินเป่ยเฉินผู้ศักดิ์สิทธิ์ บัดนี้ ไฟสงครามกำลังลุกลามเข้ามาสู่ชีวิตของพวกเรา ขอได้โปรดท่านช่วยแสดงอภินิหารเพื่อมอบความมั่นใจและความหวังให้แก่พวกเราด้วย’

‘เจียงเยวียนหลง แม่ทัพใหญ่แห่งจักรวรรดิต้าเกี๋ยน ได้บุกถล่มจักรวรรดิหลิวซาจนย่อยยับไปแล้ว’

‘ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานกองทัพของจักรวรรดิต้าเกี๋ยนได้อีกต่อไป ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าเหตุไฉนเจียงเยวียนหลงจึงได้มีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้’

‘บางครั้งพวกเราก็พบเหตุการณ์แปลกประหลาดพิสดาร บนท้องฟ้าปรากฏก้อนเมฆดำเคลื่อนผ่าน และไม่ว่าก้อนเมฆดำเหล่านั้นเคลื่อนผ่านบริเวณใด ทุกสรรพสิ่งในรัศมีห้าพันลี้ก็จะอันตรธานหายไปกับตา ไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือสัตว์ป่า แม้แต่บรรดาผู้คนในเมืองใหญ่ก็ไม่อาจหนีรอด’

‘เมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มเมฆดำได้ปรากฏตัวอยู่เหนือจักรวรรดิฉางซง และทำให้ผู้คนกว่าหกสิบล้านชีวิตหายตัวไปในชั่วข้ามคืน’

‘ระหว่างที่พวกเราเดินทางข้ามชายแดนมานั้น ประชากรชาวจักรวรรดิซานถูกว่าสองร้อยล้านคนก็ได้หายตัวไป’

‘บัดนี้ กองทัพของพวกเรากำลังต้านทานกองทัพศัตรูอยู่ที่หุบผาดาวตก นายทหารของพวกเราต้องเสียชีวิตระหว่างการต่อสู้ไปแล้วถึงสามล้านคน… เราต้องเสียเมืองใหญ่ทางแดนพายัพไปแล้วถึงสามเมือง และเกิดข่าวลือว่าบรรดาแม่ทัพใหญ่ในกองทัพต่างก็สร้างเครื่องบูชายัญมนุษย์ เพื่อส่งคำสวดภาวนาของเราไปให้ถึงบรรดาเทพเจ้าบนฟากฟ้า…’

ยิ่งหลินเป่ยเฉินอ่านข้อความเหล่านี้มากเท่าไหร่ หัวใจของเขาก็เต้นรัวเร็วด้วยความตื่นกลัวมากเท่านั้น

เพียงอ่านข้อความจากสาวกของตนเอง หลินเป่ยเฉินก็สามารถสรุปได้แล้วว่าสถานการณ์ในแผ่นดินตงเต้าขณะนี้เป็นอย่างไร

นี่ไม่สมควรเรียกว่าเกิดความวุ่นวายโกลาหล

สมควรเรียกว่าเป็น ‘จุดสิ้นสุดของโลก’ ต่างหาก

โดยเฉพาะข้อมูลบางส่วนที่ทำให้หลินเป่ยเฉินแทบนั่งไม่ติด

การก่อสงครามแย่งชิงดินแดนไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่มันจะเป็นเรื่องผิดปกติทันทีหากเกิดสงครามทั่วทุกหย่อมหญ้าเช่นนี้

จักรวรรดิใหญ่ทำลายล้างจักรวรรดิเล็ก

มิหนำซ้ำ ยังเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด

กลุ่มก้อนเมฆดำที่คอยกลืนกินผู้คนนับล้านชีวิตในพริบตาเดียว

“นี่ท่านปิดบังอะไรข้าอยู่หรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินมองหน้าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงด้วยความสงสัย “ก่อนที่ข้าจะเดินทางจากมา แผ่นดินตงเต้ายังสงบสุขดี แล้วเหตุไฉนบัดนี้ถึงได้มีสภาพตกอยู่ท่ามกลางสงครามล้างโลกเช่นนี้เล่า?

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเรอกลิ่นสุราออกมาอีกครั้ง ก่อนตอบ “ข้ายังอธิบายไม่จบ แม้โลกมนุษย์จะเกิดความวุ่นวายโกลาหล แต่ดินแดนทวยเทพเราก็เกิดความวุ่นวายโกลาหลเช่นกัน เจ้าคิดว่าทั้งหมดจะตกอยู่ในสภาพนี้ไปอีกนานอย่างนั้นหรือ? เฮอะ อีกไม่นานหรอก รอให้ผู้ที่ถูกเลือกปรากฏตัวออกมาเสียก่อนเถอะ เดี๋ยวทุกอย่างก็เรียบร้อยเองนั่นแหละ”

“ท่านหมายความว่า…”

ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายวาวโรจน์ “สิ่งที่เกิดขึ้นในแผ่นดินตงเต้าขณะนี้ เป็นการบงการจากเทพเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรวบเส้นผมไปไว้ด้านหลัง ยิ้มตอบว่า “ยังจะมีคำอธิบายอื่นอีกหรือ?”

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“ทำไมพวกเทพเจ้าถึงต้องทำอย่างนี้ด้วย?”

เขาถามเสียงแผ่วเบา

“บัดนี้ บรรดาเทพเจ้าระดับสูงต่างก็ต่อสู้แย่งชิงเพื่อโอกาสเป็นใหญ่ของตนเอง… ที่ดินแดนทวยเทพเราเกิดความวุ่นวายใช่จะไม่มีเหตุผล เรื่องนี้ต้องมีผลประโยชน์มหาศาลแอบแฝงอยู่แล้ว มิเช่นนั้น บรรดาห้าใต้เท้าใหญ่จะกล้าละเมิดกฎของท่านมหาเทพเชียวหรือ? หากไม่มีผลประโยชน์ ทำไมพวกเขาถึงไม่จำศีลตามกฎข้อบังคับ? และผลประโยชน์เหล่านี้เองก็ทำให้บรรดาใต้เท้าใหญ่ยินดีเสี่ยงชีวิตของตนเอง”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงของผู้รู้แจ้ง

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วถามกลับไป “ผลประโยชน์อันใด?”

“ผลประโยชน์ของการเปิดประตูปิดกั้นเขตแดน เพื่อนำพาตนเองออกไปสู่ดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ไงล่ะ”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบโดยไม่ปิดบัง ก่อนจะยกไหสุราขึ้นกระดกดื่ม หลังจากนั้น นางก็ยกมือขาวผ่องข้างหนึ่งของตนเองปาดคราบสุราที่ติดอยู่ใต้คาง และหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ “เมื่อประตูปิดกั้นเขตแดนถูกเปิดออก มีใครบ้างจะไม่อยากออกไปเยี่ยมชมดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์นั้น?”

“แต่ดินแดนทวยเทพก็มีความสุขอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมพวกเขาถึงต้องไปแสวงหาดินแดนอื่นด้วย?”

หลินเป่ยเฉินถาม

“ใครบอกเจ้าว่าอยู่ที่นี่แล้วมีความสุข? เจ้าก็ทราบแล้วไม่ใช่หรือว่าช่วงหลังมีเทพเจ้าตกตายเป็นว่าเล่น ในเมื่อเราไม่สามารถควบคุมความตายของตนเองได้ แล้วจะเรียกว่าอยู่อย่างมีความสุขได้อย่างไร?”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบกลับมา

หลินเป่ยเฉินถึงกับพูดอะไรไม่ออก

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวต่อไป “แต่ที่สำคัญก็คือเทพเจ้าจำนวนมากในดินแดนแห่งนี้ไม่สามารถเลื่อนสถานะของตนเองได้อีก เพราะทุกคนต่างก็ถูกเทพเจ้าระดับสูงกดขี่ข่มเหงและขัดขวางเส้นทาง… มิหนำซ้ำ ชีวิตของพวกเขายังถูกควบคุมด้วยบุคคลเพียงหนึ่งเดียวซึ่งก็คือท่านมหาเทพ การมีชีวิตที่ไม่ใช่ชีวิตของตนเอง เจ้าคิดว่าบรรดาเทพเจ้าอยากจะยอมรับนักหรือ?”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด

อยู่ดี ๆ ทำไมเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถึงได้ดูฉลาดขึ้นมาอย่างนี้นะ?

“แล้วท่านมหาเทพไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือไง?”

หลินเป่ยเฉินถาม “เห็นว่ากำลังเข้าจำศีลไม่ใช่หรือ การจำศีลอย่างไรก็ต้องมีสิ้นสุด ไม่ทราบว่าเขาจะกลับออกมาจากการจำศีลเมื่อไหร่?”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถอนหายใจออกมา

นางมองหน้าหลินเป่ยเฉิน แววตามีความเคร่งขรึมจริงจังมากกว่าเคย สุดท้ายก็กล่าวออกมาอย่างช้าๆ ว่า “เพื่อให้เจ้ารู้สึกสบายใจมากขึ้น ข้าจะบอกความลับสำคัญให้เจ้ารู้”

“ความลับสำคัญอันใด?”

หลินเป่ยเฉินโน้มตัวไปข้างหน้า จนหน้าผากของเขาแทบชนกับจมูกของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง

กลิ่นกายหอมหวนลอยเข้ามาเตะจมูก

เกิดเป็นความรู้สึกเคลิบเคลิ้ม

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่ได้ขยับหนี แต่กลับโน้มตัวเข้ามาใกล้ ริมฝีปากสีแดงของนางกระซิบใส่ข้างหูหลินเป่ยเฉินจนแทบจะขบกัดใบหูของเขาอยู่รอมร่อ “ท่านมหาเทพน่ะตายไปแล้ว!”