บทที่ 1360 เจ้าควรแสดงความยินดีต่างหาก

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,360 เจ้าควรแสดงความยินดีต่างหาก

ท่านมหาเทพคือเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนทวยเทพ

เป็นราชันย์แห่งราชาเทพทั้งมวล

เป็นผู้สร้างเมืองเยี่ยเฉิง

เป็นผู้ควบคุมเทพเจ้าทั้งหมด

ทุกสิ่งทุกอย่างในดินแดนทวยเทพล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของท่านมหาเทพ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือสัตว์อสูร

หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปแตะหน้าผากของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง

“เจ้า…”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรีบเอียงศีรษะหนี “เจ้าคิดจะทำอะไร? ขอเตือนไว้ก่อนนะว่าอย่าคิดทำมิดีมิร้ายกับข้าเด็ดขาด มิฉะนั้น เจ้าจะตายไม่รู้ตัว”

“ก็ไม่มีไข้นี่นา”

หลินเป่ยเฉินทำสีหน้าประหลาดใจ “งั้นทำไมถึงได้เพ้อเจ้อเช่นนี้… หรือว่าท่านจะดื่มสุราจนเมามายแล้ว?”

“ข้ากำลังพูดจริงต่างหาก”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “และข้าก็ยังไม่เมาสักหน่อย”

หลินเป่ยเฉินโบกมืออำลา “งั้นข้าน้อยขอลาก่อน”

เขาลุกขึ้นเตรียมตัวเดินออกมา

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงต้องการจะก่อกบฏในดินแดนทวยเทพ เขาอยู่กับนางไม่ได้อีกแล้ว

นางคิดว่าจะจัดการท่านมหาเทพได้โดยง่ายหรือ?

ไม่ใช่ว่าหลินเป่ยเฉินจะไม่ซื่อสัตย์หรือไม่มีความกล้าหาญมากพอ แต่เป็นเพราะช่องว่างของขั้นพลังยังแตกต่างกันมากเกินไป

และเขาก็กลัวตายมากเกินไป

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินจึงเลือกที่จะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่เห็นด้วยกับแผนการของนาง ดังนั้น หากเรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยออกมาในภายหลัง เขาก็จะได้ไม่ต้องพลอยติดร่างแหรับความเดือดร้อนตามไปด้วย…

เอ๊ะ หรือเขาจะเอาเรื่องนี้ไปรายงานต่อสภาเทพเจ้าดีนะ?

“กลับมาก่อน”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ เอื้อมมือออกมาคว้าจับแขนของหลินเป่ยเฉินเอาไว้ “น้องชาย เจ้ากลัวอย่างนั้นหรือ? สายเกินไปแล้ว เจ้ามีสถานะเป็นลูกศิษย์ของข้า เท่ากับเจ้าเป็นคนของข้า ต่อให้หนีตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์”

“ท่านเป็นใคร? ข้าไม่รู้จักท่าน”

หลินเป่ยเฉินพยายามสะบัดแขน

“ข้าเก็บหลักฐานระหว่างพวกเราเอาไว้หมดแล้ว”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงแยกเขี้ยวคำรามด้วยความดุร้าย “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ามีสถานะเป็นลูกศิษย์ของข้า หากข้าถูกจับกุม เจ้าก็ต้องถูกจับเช่นกัน”

“จิตใจของท่านชั่วร้ายเกินไปแล้ว”

หลินเป่ยเฉินไม่มีทางเลือกนอกจากต้องนั่งกลับลงไปอีกครั้ง “พี่สาว หากท่านยังพอมีสติอยู่บ้าง ข้าขอแนะนำให้ท่านช่วยใจเย็น ๆ ลงหน่อยเถอะ อย่าได้ประพฤติตนเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเลย”

“น้องชาย สมองของเจ้าทำงานผิดปกติหรืออย่างไร? เหตุไฉนถึงได้พูดจาเช่นนี้?” เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงแสดงสีหน้าโกรธเคืองอย่างชัดเจน “ยิ่งมีความเสี่ยงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ผลตอบแทนสูงเท่านั้น ตราบใดที่เราทำเรื่องนี้สำเร็จ เจ้าก็จะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่อยู่ในห้องลับของวิหารต้องห้าม ไม่ต้องยากจนอยู่ในดินแดนอันต่ำต้อยนี้อีกต่อไป”

“ท่านเรียกดินแดนทวยเทพว่าเป็นดินแดนอันต่ำต้อยอย่างนั้นหรือ?”

หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยงและถามว่า “เท่ากับว่ายังมีดินแดนที่สูงส่งมากกว่านี้อยู่ด้วยงั้นสิ?”

“เจ้านี่มันเป็นกบในกะลาจริง ๆ”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอดเหน็บแนมไม่ได้ “เจ้าคิดว่าดินแดนทวยเทพเป็นดินแดนที่สูงส่งมากนักหรือ? ข้าจะบอกให้นะ หากเปรียบดังภพภูมิเทพเจ้าเป็นเสาต้นหนึ่ง ดินแดนทวยเทพก็ถือเป็นพื้นที่บริเวณฐานเสาเท่านั้น เจ้าไม่รู้หรือว่ายังมีดินแดนที่อยู่เหนือเสาต้นนั้นอีกมากมายนัก?”

เชี่ย

หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ

นี่เขากำลังจะได้เปิดแผนที่ใหม่อีกแล้วใช่ไหม?

อย่าบอกนะว่าเขาจะทะลุมิติไปอยู่โลกอื่นอีก?

“ถ้าอย่างนั้นพวกมันคือดินแดนอะไร?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย

“เรื่องนั้นเจ้ายังไม่ต้องสนใจหรอก”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดด้วยสีหน้ากระตือรือร้น “สิ่งที่เจ้าควรสนใจในตอนนี้คือทรัพย์สมบัติมหาศาลของท่านมหาเทพที่เก็บอยู่ในห้องลับของวิหารต้องห้ามต่างหาก ข้ามีกุญแจที่สามารถไขเข้าไปได้ หากเจ้าชนะการแข่งขันได้สำเร็จ เจ้าก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่วิหารต้องห้ามเพื่อเลือกตำแหน่งเทพเจ้าของตนเอง และเจ้าก็เพียงต้องใช้โอกาสนี้แอบเข้าไปในห้องเก็บสมบัติ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในนั้นก็จะเป็นของเจ้า… เป็นอย่างไร แผนการของข้าสมบูรณ์แบบดีหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินแทบพูดอะไรไม่ออก

“สมบูรณ์แบบกับผีน่ะสิ”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “นี่ท่านกำลังส่งข้าไปตายชัด ๆ”

“มนุษย์อย่างเจ้าเกิดมาก็ต้องตายอยู่แล้ว…” เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยกมือที่ขาวผ่องของนางปาดคราบสุราที่ติดอยู่ปลายคางออกไป “เจ้าก็รู้ นี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น…”

“ขอปฏิเสธ”

หลินเป่ยเฉินยืนกรานอย่างหนักแน่น

เรื่องอื่นเขาอาจจะยอมได้ แต่เรื่องนี้หลินเป่ยเฉินยอมไม่ได้เด็ดขาด

“งั้นข้าก็คงต้องไปหาคนอื่น”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถอนหายใจและพึมพำ “น่าเสียดายนัก นี่เป็นโอกาสที่ท่านมหาเทพกำลังหลับใหลไม่สนใจผู้ใด ต่อให้มีผู้คนขโมยสมบัติไปหมดคลังท่านก็คงไม่รู้ตัว หรือถึงรู้ตัวท่านก็ไม่สนใจด้วยซ้ำ เพราะทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไม่ได้มีค่าในสายตาของท่านมหาเทพเลย แต่ในเมื่อเจ้าคิดปฏิเสธ ข้าก็ไม่บีบบังคับเจ้าหรอก”

เดี๋ยวก่อนนะ?

ท่านมหาเทพไม่สนใจในทรัพย์สมบัติของตนเองอย่างนั้นหรือ?

หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบขณะถามว่า “แน่ใจหรือว่าองค์มหาเทพจะไม่สนใจจริง ๆ? สิ่งที่ท่านได้ยินมาสามารถเชื่อถือได้หรือไม่?”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบว่า “ย่อมสามารถเชื่อถือได้แน่นอน เจ้าไม่เห็นหรือว่าการแข่งขันที่ผ่านมาเกิดความวุ่นวายและไม่ชอบมาพากลมากเพียงใด? บรรดาใต้เท้าใหญ่จำนวนมากกล้ายื่นมือเข้ามาแทรกแซงการแข่งขัน นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เกรงกลัวท่านมหาเทพอีกแล้ว…”

“หรืออย่างกฎที่ท่านมหาเทพได้เคยประกาศิตเอาไว้ว่า ใต้เท้าใหญ่ทั้งห้าแห่งสภาเทพเจ้าเมื่อมีผู้หนึ่งขึ้นรับตำแหน่งผู้ดูแล อีกสี่คนที่เหลือก็ต้องเข้าจำศีลหลับใหล แต่นี่พวกเขากลับยังตื่นกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา หากท่านมหาเทพไม่ได้หลับใหลลึกจริง ๆ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะกล้าทำหรือ?”

เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้น จิตใจก็เริ่มคล้อยตาม

เขาคำนึงถึงเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง สุดท้ายก็กล่าวว่า “ความจริง นับตั้งแต่ที่ข้าพบเจอกับท่าน ท่านก็ช่วยเหลือข้าไว้มากมาย ข้าไม่ได้สนใจในทรัพย์สินเงินทองของท่านมหาเทพที่อยู่ในห้องลับนั้นหรอก แต่ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านมากกว่า พี่สาว ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ เผชิญหน้าคมกระบี่มากมายนับไม่ถ้วน ข้าก็พร้อมจะช่วยเหลือท่านเสมอ”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยกนิ้วโป้งให้หลินเป่ยเฉินด้วยความชื่นชม “ประเสริฐ นับว่าข้าดูคนไม่ผิดจริงๆ ไม่เสียทีที่ได้รับฉายาว่าเจ้าปีศาจน้อย… นี่คือการตัดสินใจที่ชาญฉลาดนัก”

อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก อึก

แล้วนางก็ดื่มสุราหมดไปสามไหรวดในลมหายใจเดียว ไม่ต่างจากดื่มน้ำเปล่าอย่างไรอย่างนั้น

“ขอถามอะไรหน่อยสิ”

หลินเป่ยเฉินเอ่ย “ทำไมท่านถึงชอบดื่มสุรานัก?”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถอนหายใจและตอบว่า “ข้าป่วยเป็นโรคประหลาด หากไม่ดื่มสุราก็จะตาย”

หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ

หากคิดจะโกหกกัน ช่วยหาเหตุผลที่มันน่าเชื่อถือกว่านี้หน่อยได้หรือไม่?

หรือไม่ตอบยังจะดีเสียกว่า

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าในช่วงหลังนี้ มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นมากมายในดินแดนทวยเทพ?”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวต่ออีกครั้งด้วยเสียงกระซิบกระซาบ “มีเทพเจ้าตายไปหลายคนทีเดียว”

“จริงหรือ?”

หลินเป่ยเฉินอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อ “แต่ข้าแค่ฆ่าขุนนางอวิ๋นอิงไปเพียงคนเดียวเองนะ”

“ไม่ใช่ฝีมือของเจ้า”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงแอบกระซิบบอกความลับต่อไป “แต่เป็นเพราะพวกเขาขาดแคลนพลังศรัทธา”

“ขาดแคลนพลังศรัทธา?”

หลินเป่ยเฉินฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกระซิบตอบเสียงแผ่วเบา “เพราะว่าสาวกของพวกเขาบนโลกมนุษย์ได้ตายหมดแล้ว วิหารของพวกเขาในโลกมนุษย์ได้ถูกทำลายล้าง นักบวชของพวกเขาในโลกมนุษย์ได้หายสาบสูญ คำสอนของพวกเขาถูกลืมเลือน และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องตายอย่างน่าอนาถ”

สุดท้าย เทพธิดาสาวก็บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในย่านชานเมืองเยี่ยเฉิงออกมา

“ตอนแรกคนที่ตายก็มีแค่ท่านเทพกู่ ทว่าหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยท่านเทพซาง ท่านเทพฉุย ท่านเทพฝู ท่านเทพหลิว ท่านเทพเปียว รวมไปถึงท่านเทพคนอื่น ๆ อีกสิบหกคน ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียงสี่วันเท่านั้น”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถอนหายใจด้วยความเศร้าสลด “สองคนในนั้นเป็นสหายที่ดีของข้าเหลือเกิน”

“ข้าขอแสดงความเสียใจด้วยนะ”

หลินเป่ยเฉินพูดปลอบใจ

แต่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกลับยิ้มให้เขาอย่างแปลกประหลาด “เจ้าควรแสดงความยินดีออกมาต่างหาก”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวต่อ “เทพเจ้าสองคนนั้นครอบครองตำแหน่งมานานเกินไปแล้ว ตายได้เสียก็ดี ตำแหน่งของพวกเขาจึงได้ว่างลง และเมื่อเจ้าเข้าสู่วิหารต้องห้าม เจ้าก็จะได้มีตัวเลือกตำแหน่งเทพเจ้าเพิ่มขึ้นไงล่ะ”

หลินเป่ยเฉินอ้าปากค้าง

จริงด้วยสินะ

ทันใดนั้น คำถามใหม่ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวใจ

พอจะมีวิธีใดสามารถทำให้อาจารย์ฉู่กับพี่ใหญ่ไต้ของเขารับตำแหน่งเทพเจ้าเหล่านี้ได้หรือไม่?

และยิ่งไปกว่านั้น

หลินเป่ยเฉินพลันนึกถึงสิ่งที่สำคัญขึ้นมาได้หนึ่งอย่าง

“ท่านบอกว่าเทพเจ้าเหล่านั้นเสียชีวิตเพราะขาดพลังศรัทธา เนื่องจากสาวกบนโลกมนุษย์ตกตาย วิหารถูกทำลาย… แต่พวกเขาเป็นสมาชิกในระบบเทพเจ้าไม่ใช่หรือ? เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินพบว่านี่คือความไม่ชอบมาพากล

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเอื้อมมือมาลูบศีรษะของเขาแผ่วเบาและกล่าวว่า “อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าไปเสียสนิทเลย ฟังจากคำภาวนาของบรรดาสาวกข้า บัดนี้ แผ่นดินตงเต้ากำลังตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวายโกลาหล แม้แต่จักรวรรดิเป่ยไห่ก็ไม่สงบสุขอีกต่อไปแล้ว”