บทที่ 1365 มาหาเองถึงที่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,365 มาหาเองถึงที่

ใต้เท้าหมิงรั่วถึงกับตกตะลึง

เขาคิดไม่ถึงว่าเจี๋ยนเซียวเหยาผู้โด่งดังจะเสียสติถึงขั้นไม่กลัวตาย ดังนั้น เจี๋ยนเซียวเหยาถึงกล้าพูดคำว่า ‘ข้าไม่ไป’ ออกมาด้วยความหนักแน่นและมั่นคง

“เจ้ากลัวหรือ?”

ใต้เท้าหมิงรั่วยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ถูกต้อง”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบรับด้วยความจริงจัง “มีใครบ้างไม่หวาดกลัวเทพเจ้าระดับสูง?”

ใต้เท้าหมิงรั่วพูดอะไรไม่ออก

ที่เด็กหนุ่มกล่าวมาก็มีเหตุผล

“หากข้าบอกว่านี่เป็นคำเชิญของใต้เท้าฉาง เจ้าจะกล้าขัดคำสั่งหรือไม่?”

ใต้เท้าหมิงรั่วไม่มีทางเลือกนอกจากใช้คำข่มขู่ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการปฏิเสธคำเชิญของใต้เท้าฉางจะนำมาสู่สิ่งใด?”

หลินเป่ยเฉินสีหน้าแปรเปลี่ยนไป แต่ก็พยายามควบคุมตนเองให้เป็นปกติมากที่สุด “ข้าไม่ใช่สมาชิกของสภาเทพเจ้า จึงไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของท่านใต้เท้าใหญ่… อีกอย่าง เลิกข่มขู่ข้าเสียที ข้านั้นเป็นพวกที่ขี้ตกใจเสียด้วย หากข้ามือลั่นฆ่าเจ้าตายขึ้นมา เดี๋ยวจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมาเสียเปล่า ๆ”

ใต้เท้าหมิงรั่วเบิกตาโตขึ้นมาในทันใด

หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นเขาคงไม่สนใจ

แต่บัดนี้ ใต้เท้าหมิงรั่วไม่กล้าพูดจาข่มขู่เจี๋ยนเซียวเหยาอีกแล้ว

“วางใจเถอะ ในเมื่อใต้เท้าฉางส่งคำเชิญมาหาเจ้าเช่นนี้ นี่หมายความว่าท่านคงไม่ได้มีเจตนาทำร้ายเจ้าแน่นอน” ใต้เท้าหมิงรั่วเลิกข่มขู่และหันกลับมาพูดจาอย่างยิ้มแย้มอีกครั้ง “และนี่ก็เพื่อผลประโยชน์ต่อตัวเจ้าเองทั้งสิ้น”

“ข้าไม่เชื่อ”

หลินเป่ยเฉินตอบรับกลับไปด้วยแววตาแข็งกร้าว “ไสหัวไปได้แล้ว”

ใต้เท้าหมิงรั่วกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง

หลินเป่ยเฉินขยับเท้าก้าวออกมาข้างหน้า “หากไม่รีบไป ข้าจะฆ่าเจ้า”

ใต้เท้าหมิงรั่วจึงต้องรีบกลับไป

ตอนที่กลับออกมาจากคฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝู เขายังคงมึนงงสงสัยไม่หาย

ใต้เท้าหมิงรั่วไม่คิดเลยว่าภารกิจนี้จะล้มเหลว

เขาเคยไปส่งคำเชิญให้แก่เทพเจ้าระดับสูงมานับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยพบเจอผู้ใดที่มีลักษณะนิสัยเฉกเช่นเจี๋ยนเซียวเหยามาก่อน

เจี๋ยนเซียวเหยามีลักษณะท่าทีเหมือนผู้คนที่รักตัวกลัวตาย แต่กลับมีจิตใจมั่นคงแข็งแกร่งดั่งหินผา

ตกลงว่าเจี๋ยนเซียวเหยากลัวหรือไม่กลัวกันแน่?

หลินเป่ยเฉินยืนมองใต้เท้าหมิงรั่วเดินจากไปด้วยความเศร้า

จาก ‘ประสบการณ์’ ของเขา การสังหารเทพเจ้าจะนำมาสู่การได้ครอบครองของวิเศษมากมาย

พูดถึงเรื่องของวิเศษ…

หลินเป่ยเฉินก็กลับมามีความสุขโดยทันที เขาฮัมเพลงอยู่ในลำคอด้วยความอารมณ์ดี ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องฝึกวิชาภายในคฤหาสน์อีกครั้ง

ตอนที่สังหารขุนนางอวิ๋นอิงครั้งที่แล้ว หลินเป่ยเฉินยังไม่ได้สำรวจดูวัตถุเก็บของวิเศษที่ตนเองได้มาเลย

ให้ตายสิ

เขาลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ไปได้อย่างไร

หลินเป่ยเฉินบ่นตนเองอยู่ในใจและนำกำไลเก็บของวิเศษออกมาสำรวจดู ในไม่ช้า เขาก็พบว่าไม่มีทางที่จะเปิดดูวัตถุนี้ด้วยวิธีธรรมดาได้เลย วิธีเดียวที่จะเปิดได้ก็คือใช้ขอบเขตพลังปราณธาตุน้ำเลียนแบบพลังปราณเทวะประจำตัวของขุนนางอวิ๋นอิงเท่านั้น

สิบลมหายใจต่อมา

พลังปราณประจำตัวของหลินเป่ยเฉินก็เกิดความเปลี่ยนแปลงโดยสมบูรณ์

เขามีพลังปราณเทวะเหมือนกับขุนนางอวิ๋นอิงทุกประการ ต่อให้เป็นญาติสนิทมิตรสหายของขุนนางอวิ๋นอิงก็ไม่สามารถแยกแยะได้ด้วยซ้ำ

นี่ไม่เรียกว่าความคล้ายคลึง แต่เรียกว่าเป็นปราณเดียวกัน

“ถ้าเราสามารถปลอมตัวให้รูปร่างหน้าตาเหมือนขุนนางอวิ๋นอิงได้ เหมืองแร่ใต้ดินก็คงตกเป็นของเราแล้ว”

หลินเป่ยเฉินเกิดความคิดบรรเจิดขึ้นมาในหัวใจ

แต่น่าเสียดายที่หลังจากขึ้นมาอยู่บนดินแดนทวยเทพ การทำงานของแอปเมจิก คาเมร่าก็ตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัด ไม่สามารถใช้งานในการปลอมตัวได้อีก มิเช่นนั้น เมืองเยี่ยเฉิงคงต้องวุ่นวายโกลาหลด้วยการปรากฏตัวของแฝดคนละฝาจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นแน่แท้

หลินเป่ยเฉินหยิบกำไลเก็บของวิเศษขึ้นมาอย่างช้า ๆ

โคจรพลังปราณศักดิ์สิทธิ์เข้าไป

ทันใดนั้น เขาลืมตาขึ้น

พื้นที่เก็บของซึ่งเป็นเสมือนห้องขนาดเล็กปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

ภายในห้องมีการจัดวางกองสมบัติเอาไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ

ในห้องแห่งนี้มีศิลาเทวะนับหมื่นก้อนกองรวมกันสูงเป็นภูเขาขนาดย่อมและกำลังสะท้อนประกายระยิบระยับสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ ยังมีหินแร่วิเศษหลากสีสันอีกเป็นจำนวนมาก พวกมันถูกตัดเป็นลูกเต๋าขนาดเล็กและเก็บเอาไว้อยู่ในหีบบรรจุสิ่งของ ซึ่งกินพื้นที่ถึงครึ่งหนึ่งในกำไลเก็บสมบัติ

สมบัติส่วนที่เหลือยังประกอบไปด้วยอัญมณีจำนวนมากและแผ่นหยกขาวที่แกะสลักข้อความบางอย่างเอาไว้ ถ้าหลินเป่ยเฉินเข้าใจไม่ผิด พวกมันน่าจะเป็นคัมภีร์เวทมนตร์ เขาลองนับแผ่นหยกพวกนี้ดูก็พบว่าพวกมันมีด้วยกันทั้งหมดสิบเอ็ดแผ่น แต่ละแผ่นก็แกะสลักข้อความด้านหน้าแตกต่างกันออกไป ข้อความเหล่านั้นประกอบไปด้วย ‘วิชาหนามมรณะ’ ‘วิชาดำดิน’ ‘วิชาเหินหาว’ ไปจนถึงอีกหลากหลายวิชาที่เป็นวิชาเวทมนตร์จริง ๆ

และก็ยังมีสมุดบัญชีรายรับรายจ่ายของเหมืองใต้ดินอีกด้วย

เมื่อหลินเป่ยเฉินเปิดอ่านข้อมูลที่อยู่ในสมุดบัญชี เขาก็อดสงสารขุนนางอวิ๋นอิงขึ้นมาไม่ได้

กว่าจะเก็บทรัพย์สมบัติได้มากมายมหาศาลถึงเพียงนี้ ขุนนางอวิ๋นอิงคงต้องผ่านความยากลำบากมาไม่ใช่น้อย แม้ว่าในแต่ละวันจะมีศิลาเทวะจำนวนมากมายมหาศาลผ่านมือเขาไป ทว่า ศิลาเทวะเหล่านั้นกลับเป็นของท่านเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่กว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์

ขุนนางอวิ๋นอิงไม่ต่างจากพนักงานธนาคาร

ต่อให้ในแต่ละวันมีเงินผ่านมือเป็นหมื่นแสนล้านหยวน แต่สุดท้าย เงินเหล่านั้นก็ไม่ใช่ของเขาอยู่ดี

แต่ในสมุดบัญชีเล่มนี้ หลินเป่ยเฉินก็ยังได้พบกลโกงบางอย่างที่ใต้เท้าอวิ๋นอิงใช้ลักลอบเก็บศิลาเทวะเอาไว้เพื่อตนเอง… เด็กหนุ่มอ่านดูแล้วก็พบว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อตนเองไม่น้อย

“ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าทำไมดินแดนทวยเทพถึงได้วุ่นวายโกลาหลขนาดนี้ สุดท้าย พวกเทพเจ้าตัวเล็กตัวน้อยก็มีวิธีสูบเลือดสูบเนื้อจากบรรดาเทพเจ้าตัวใหญ่ ๆ ทั้งสิ้น นับว่าไม่มีใครยอมใครเลยจริง ๆ”

หลินเป่ยเฉินยุติการสำรวจกำไลเก็บของวิเศษ ในหัวใจของเขาคล้ายกับเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น

โดยสรุปก็คือ สมบัติที่อยู่ในกำไลเก็บของวิเศษของขุนนางอวิ๋นอิงนั้นมีมูลค่าไม่ต่ำต้อยก็จริง แต่มันก็น้อยมากกว่าที่หลินเป่ยเฉินคาดหวังเอาไว้ในตอนแรก

เด็กหนุ่มใช้เวลานั่งตัดสินใจอยู่ครู่ใหญ่

แผ่นหยกที่เป็นคัมภีร์เวทมนตร์ทั้งสิบเอ็ดแผ่นนั้นน่าจะให้เฉียนหลงนำออกไปวางขายได้ไม่ยาก

ด้านคัมภีร์เวทมนตร์เหล่านี้เป็นของสาวกเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ ฉู่เหินกับไต้จือฉุนจึงไม่อาจฝึกฝนได้ และสำหรับหลินเป่ยเฉิน เขามองว่าพวกมันดูไร้รสนิยมมากเกินไป เอาไปขายแลกเป็นเงินกลับมาดีกว่า

ส่วนศิลาเทวะ หลินเป่ยเฉินย้ายออกมาเก็บเอาไว้ในแอปสวิ่นเล่ย และแบ่งบางส่วนเอาไว้ให้ฉู่เหินกับไต้จือฉุนได้จับจ่ายใช้สอย

และบรรดาหินแร่หลากสีสันนั้น หลินเป่ยเฉินไม่ทราบว่าพวกมันคืออะไรและมีเอาไว้ทำไม แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าหินแร่เหล่านี้เป็นของดี ดังนั้น เขาจึงเก็บเอาไว้ในแอปสวิ่นเล่ยโดยไม่ลังเล

ส่วนสมุดบัญชีและอัญมณีชิ้นอื่น ๆ นั้น น่าจะมีประโยชน์ต่อชิงเล่ย ซึ่งกำลังจะเป็นผู้ดูแล ‘หอการค้าเป่ยเฉิน’ ในอนาคตไม่น้อย

เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ของตนเองกลับคืนดังเดิม

เขาลุกขึ้นและเดินออกมาจากห้องเก็บตัว

เมื่อเดินออกมาถึงสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ เด็กหนุ่มก็ได้พบกับฉู่เหินและไต้จือฉุน แต่ทันใดนั้น บรรยากาศรอบกายมีบางอย่างผิดปกติ ในอากาศเกิดแสงสว่างเป็นประกายระยิบระยับแสบตา

คลื่นพลังกดดันถาโถมเข้าใส่สนามหญ้าอย่างหนักหน่วง

ทันใดนั้น คลื่นพลังรวมตัวกันกลายเป็นเงาดำประหลาด ไม่มีผู้ใดสามารถระบุได้ว่าเงาดำนี้เป็นบุรุษหรือสตรี เพราะมันหมุนวนอยู่ตลอดเวลา ไม่ต่างไปจากหมอกควันที่เลื่อนลอย

“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมมาหาข้า ข้าจึงต้องมาหาเจ้าเองถึงที่”

นี่คือเสียงของใต้เท้าฉาง

เสียงของหนึ่งในห้าใต้เท้าใหญ่แห่งสภาเทพเจ้าดังกังวานไปทั่วภูเขาเซียวฝู

หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ

เชี่ย

น่ากลัวแฮะ มาหาถึงที่เลยหรือนี่

“ที่แท้ก็เป็นใต้เท้าฉางผู้ชาญฉลาดนี่เอง”

หลินเป่ยเฉินรีบเปลี่ยนท่าทีของตนเองโดยเร็ว

เขาส่งเสียงหัวเราะด้วยความสนิทสนม ไม่ต่างจากได้พบเจอญาติสนิทมิตรสหายที่หายหน้าหายตากันไปนานหลายปี “ข้าน้อยไม่ได้บอกว่าจะไม่ไปหาท่านใต้เท้านะขอรับ เอ่อ ต้องเป็นเจ้าหมิงรั่วใส่ความข้าน้อยแน่นอน หลังจากเกิดเหตุการณ์ในงานเลี้ยงเบิกฟ้า เขาก็คงโกรธแค้นข้าน้อยอยู่ในใจและใส่ความว่าข้าน้อยไม่ยอมไปหาท่าน… อันที่จริงนั้น การได้รับคำเชิญจากใต้เท้าย่อมถือเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตของคนผู้หนึ่ง มีเหตุผลใดหรือขอรับที่ข้าน้อยจะต้องปฏิเสธคำเชิญนั้น?”

กลุ่มหมอกควันของใต้เท้าฉางเกิดการสั่นไหวเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าใต้เท้าฉางคิดไม่ถึงว่าหลินเป่ยเฉินจะไร้ยางอายถึงเพียงนี้

สามารถพูดจาโกหกได้โดยไม่สะทกสะท้านใด ๆ

“สมกับที่เป็นเจ้าจริง ๆ”

ใต้เท้าฉางถึงกับเงียบงันไปหลายลมหายใจ “หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็มาหาข้าที่วิหารก็แล้วกัน”

รอยยิ้มบนใบหน้าหลินเป่ยเฉินเจือจางลงไปเล็กน้อย เขารีบพูดว่า “อ้า พอดีข้าน้อยเพิ่งนึกได้ว่าตนเองกำลังท้องเสียขอรับ คงไม่สะดวกไปในวันนี้ ดังนั้น…”

“ข้าจะไม่พูดจาเหลวไหลกับเจ้าอีก”

หมอกควันของใต้เท้าฉางส่งเสียงขัดจังหวะหลินเป่ยเฉินและกล่าวต่อ “เจ้าต้องถอนตัวออกจากการแข่งขันซะ”

“ว่าไงนะขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว

หมอกควันของใต้เท้าฉางกล่าวตอบ “ข้าขอสั่งให้เจ้าถอนตัวออกจากการแข่งขันเดี๋ยวนี้”

“ฮ่า ๆๆ ใต้เท้าคงล้อเล่นแล้ว”

หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำท่ายกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก

“อย่าคิดนะว่าใต้เท้ากั้วจะปกป้องเจ้าตลอดไป”

หมอกควันของใต้เท้าฉางยังคงกล่าวต่อ “ในสายตาของเขา เจ้าก็เป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่งที่เขาจะฆ่าทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อการแข่งขันครั้งนี้จบลง เจ้าก็คงต้องตายด้วยน้ำมือของใต้เท้ากั้วอยู่ดี”

หลินเป่ยเฉินคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก่อนให้คำตอบ “อันที่จริงนั้น ข้าน้อยมีความในใจอยู่หนึ่งประโยค… ไม่ทราบว่าสมควรพูดออกมาหรือไม่”