บทที่ 2129 งานแต่งงานอวิ๋นรั่วซวง

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ที่จริงเขาก็ลำบากเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องไม่มีหนทางอื่น รีบร้อนไม่ได้ ฮ่าวเต๋อฟางเพิ่งตายไป เจ้าคิดจะให้ซูอวิ้นไปมีความสุขกับคนใหม่เหรอ? นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเจ้ารีบร้อนจะได้ผลตรงกันข้าม ต้องใช้เวลาทำทุกอย่างให้สงบลง

ทั้งสองชมทิวทัศน์โดยไม่พูดอะไร น้ำฝนหยดใต้ชายคา บางครั้งซูอวิ้นก็ชำเลืองมองหยางชิ่ง พอเห็นหยางชิ่งจงใจหาข้ออ้างเพื่อไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ในใจนางก็รู้สึกคันเหมือนมีแมวเกา หลังจากเสียเวลาไปได้สักพัก ถามเหมือนไม่ได้ใส่ใจว่า “เจ้าแน่ใจเหรอว่าให้เขาช่วยเแล้วจะทำสำเร็จ?”

หยางชิ่งถอนหายใจ “ทำสำเร็จแล้วยังไงล่ะ?”

ซูอวิ้นหันตัวแล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้ม “บอกมาเถอะ เป็นใครกันแน่? เจ้าวางใจได้ ข้าไม่หัวเราะเยาะเจ้าหรอก ถ้าข้าช่วยได้จริงๆ ข้าจะช่วยเจ้าแน่นอน ข้าไม่จำเป็นต้องนำเรื่องนี้มาทำให้เจ้าเสียเวลาหรอก”

หยางชิ่งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้า ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้อยู่ดี ใช่มั้ยล่ะ? ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าในภายหลังเจ้าจะหัวเราะเยาะข้าหรือเปล่า?”

ซูอวิ้นแปลกใจ “เจ้าหวาดกลัวขนาดนี้ คงไม่ได้ชอบผู้หญิงคนไหนของท่านอ๋องหรอกใช่มั้ย? ผู้หญิงที่เรือนชั้นในของจวนท่านอ๋อง บางส่วนก็สวยใช้ได้เลย…”

“…” หยางชิ่งมองนางอย่างตกใจมาก ลูกสาวของเขาก็คือผู้หญิงของท่านอ๋องเหมือนกัน ผู้หญิงคนนี้ช่างกล้าคิด! เขามองเหยียดแล้วกล่าวว่า “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า?”

ซูอวิ้นวางใจแล้วนิดหน่อย ถ้าเป็นผู้หญิงของท่านอ๋อง นางก็คงช่วยเรื่องนี้ไมได้ ถ้าไม่ใช่ก็จัดการง่ายแล้ว นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “ในฐานะที่เป็นสหายกัน เห็นเจ้ากลัดกลุ้มไม่มีความสุขบ ข้าเองก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน ว่ามาเถอะ ข้าสัญญาว่าจะช่วยเจ้า”

“ไม่คุยเรื่องนี้แล้วได้มั้ย?” หยางชิ่งถามอย่างจนใจ

ซูอวิ้นพูดเหน็บแนม “ใส่หน้ากากทั้งวันไม่ยอมถอด เจ้าไม่เหนื่อยบ้างเหรอ? ชอบก็ชอบสิ มีอะไรไม่สะดวกจะพูด หรือว่าคนนั้นเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว?”

“อย่าพูดเหลวไหล อีกฝ่ายยังไม่ได้แต่งงาน” หยางชิ่งกล่าว

ในเมื่อไม่ใช่ผู้หญิงของท่านอ๋อง แล้วก็ยังไม่ได้แต่งงานด้วย ซูอวิ้นยิ่งรู้สึกแปลกใจแล้ว “งั้นก็มีอะไรให้กลัวล่ะ ถ้าเจ้าบอกเรื่องนี้ให้ท่านอ๋องรู้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านอ๋องจะไม่ช่วยเจ้า? ขอเพียงท่านอ๋องยินดีช่วย ต่อให้เป็นผู้หญิงของประมุขชิง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน?”

หยางชิ่งบอกนางว่า “เรื่องส่วนตัว ไม่พูดก็ได้”

ยั่วให้อยากแบบนี้ ซูอวิ้นวู่วามอยากจะขยุ้มหน้าเขา นางกล่าวอย่างตกใจ “เมื่อครู่จะบอกว่าถ้าข้าสาบานแล้วเจ้าจะพูด”

นางอยากรู้มากจริงๆ ว่าเป็นผู้หญิงคนไหนกันแน่ที่ทำให้ผู้ชายประเภทนี้ขวยอายได้แบบนี้

หยางชิ่งถามเหมือนประหลาดใจ “เจ้าคงไม่ได้จะสาบานจริงๆ หรอกใช่ไหม?”

“เจ้ากลับคำแล้วเหรอ?” ซูอวิ้นอมยิ้ม

“ไม่ถึงขั้นกลับคำหรอก แค่รู้สึกว่าเจ้าคงจะไม่สาบาน” หยางชิ่งตอบ

ใครบอกว่าไม่ล่ะ? ซูอวิ้นแสยะยิ้ม แล้วกล่าวสาบานเสียเลยว่า “ข้าซูอวิ้นขอสาบาน ถ้าค่าสามารถช่วยเรื่องนี้ได้ ก็จะช่วยแน่นอน ถ้าข้าไม่ช่วย ข้าก็จะแต่งงานกับเจ้าหยางชิ่ง ฟ้าดินเป็นพยานคำสาบานนี้ ไม่กลับคำเด็ดขาด! เป็นยังไง? ตอนนี้จะบอกได้หรือยัง?”

พอนางพูดจบ หยางชิ่งก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย “คนคนนี้เป็นคนข้างกายหวังเฟย แซ่ซู ชื่ออวิ้น นางยืนอยู่ตรงหน้าข้าแล้ว!”

“…” ซูอวิ้นตกตะลึงอ้าปากค้าง

หยางชิ่งมองนางเงียบๆ

ทั้งสองสบตากันเงียบๆ นานมาก ซูอวิ้นสีหน้าบึ้งตึงทันที นางโมโหแล้วจริงๆ “แซ่หยาง เล่นแบบนี้สนุกนักเหรอ? ไม่อยากพูดก็ช่างเถอะ ข้าอยากจะช่วยเจ้าอย่างจริงใจ ทำไมต้องปั่นหัวข้าเล่นแบบนี้?” นางยังนึกว่าหยางชิ่งหาข้ออ้างกลบเ

ใครจะคิดว่าหยางชิ่งจะยกฝ่ามือขึ้นมาทันที “ข้าหยางชิ่งขอสาบาน รักแรกพบของข้าก็คือซูอวิ้น ไม่ได้โกหกแน่นอน ถ้าหลอกลวงแม้เพียงครึ่งเดียว ก็ขอให้ฟ้าดินลงโทษ!”

“…” ชั่วขณะนั้นซูอวิ้นเผยสีหน้าเดือดดาลทันที ความคิดแรกก็คือจะหันหน้าวิ่งหนีไป แต่พอนึกถึงคำสานบานเมื่อครู่นี้ ถึงได้พบว่าตัวเองติดกับดักที่หยางชิ่งวางไว้แล้ว

สาบานไว้ล่วงหน้า ว่าจะช่วยให้หยางชิ่งได้แต่งงานกับนาง ถ้าไม่ช่วยก็ต้องแต่งงานกับเขาตามคำสาบาน จะซ้ายจะขวาก็หนีไม่พ้น แบบนี้ใช่เรื่องเสียที่ไหน?

หลังจากรู้ตัวแล้ว นางก็รู้สึกแค้นจนคันฟันนิดหน่อย นางคิดว่าที่ก่อนหน้านี้หยางชิ่งใส่หน้ากาก แล้วบอกว่ามีไว้ให้ผู้หญิงที่ตัวเองรักถอด เป็นการทำให้นางเข้าใจผิดล้วนๆ ทำให้นางไม่คิดมาถึงตัวเองเลยไม่น่าเชื่อว่าอุบายโง่เง่าจะทำให้นางตกหลุมพรางได้ง่ายๆ แล้ว

“เล่นอุบายเด็กๆ อย่างนี้สนุกนักเหรอ?” ซูอวิ้นกล่าวเสียงเย็น แล้วหันหน้าหนีสาวเท้าเดินจากไป

หยางชิ่งกลับเอามือไขว้หลังอย่างสบายๆ หรี่ตายิ้มมองคล้อยหลังนางจากไป ไม่หวังให้ซูอวิ้นตอบรับคำสาบานนี้ในทันทีเช่นกัน แต่นางติดกับดักของตนแล้ว ยังจะหนีจากเงื้อมมือตนไปได้อีกหรือ? ขอเป็นแบบนี้แล้ว ในภายหลังยังมีวิธีการบีบให้นางยอมจำนนอีก!

สาเหตุที่ทั้งสองมา ‘คุยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ’ ฉันอยู่ตรงนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวไม่อยู่ที่จวนท่านอ๋อง

ภายใต้แสงจันทร์ ดาวอู๋เลี่ยง นอกตำหนักปราชญ์ เหมียวอี้กับผังก้วนกำลังคุยสัพเพเหระกันอยู่ริมหน้าผา

สาเหตุที่เขากับอวิ๋นจือชิวมาที่แดนอเวจี ก็เพราะเป็นงานแต่งงานของอวิ๋นรั่วซวง น้องสาวที่อวิ๋นจือชิวรักที่สุด งานแต่งงานครั้งนี้ทำให้ตระกูลอวิ๋นปวดหัวจริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าตระกูลอวิ๋นจะช่วยแนะนำใครให้อวิ๋นรั่วซวง อวิ๋นรั่วซวงก็ไม่ถูกใจเลย เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คือสิ่งที่ตระกูลอวิ๋นทำไม่ลง ด้วยนิสัยอย่างอวิ๋นรั่วซวงทำให้ไม่มีทางบีบให้นางชอบคนที่ไม่ชอบได้ และงานแต่งงานครั้งนี้ก็เกิดขึ้นเพราะตระกูลอวิ๋นถูกอวิ๋นรั่วซวงบีบจนไม่มีทางเลือก เป็นเพราะหนุ่มน้อยหน้าขาวคนหนึ่งที่ตระกูลอวิ๋นไม่ถูกใจเลย หนุ่มน้อยหน้าขาวคนนั้นก็ไม่ได้อยากแต่งงานกับอวิ๋นรั่วซวงเช่นกัน เพราะรู้สึกว่าอวิ๋นรั่วซวงหยาบคายป่าเถื่อน ไม่มีความเป็นกุลสตรี แต่อวิ๋นรั่วซวงดันถูกใจเขาแล้ว สุดท้ายก็ใช้วิชามารที่ผิดทำนองคลองธรรมเพื่อครอบครองหนุ่มน้อยหน้าขาว ทั้งยังได้เสียกันไปหลายรอบด้วย ใช้วิธีการต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก ตั้งท้องลูกของหนุ่มน้อยหน้าขาวคนนั้นเสียเลย

การกระทำของอวิ๋นรั่วซวงทำให้ตระกูลอวิ๋นไม่มีทางเลือกแล้ว ทำได้เพียงใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องบีบให้หนุ่มน้อยหน้าขาวแต่งงานเข้าตระกูล

หลังจากเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวรู้ความจริงแล้วก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่เหมียวอี้ก็คิดว่าหนุ่มน้อยหน้าขาวคนนั้นวิจารณ์ถูกแล้ว อวิ๋นรั่วซวงไม่เหมือนกุลสตรีจริงๆ เมื่อก่อนเขาเคยได้รับบทเรียนมาจาก ‘หลัวซวงเฟย’ นั่นแล้ว ใครแต่งงานด้วยก็ซวยคนนั้น ดังนั้นก็ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่อวิ๋นรั่วซวงทำเรื่องแบบนี้ได้ เขาเห็นใจหนุ่มน้อยหน้าขาวคนนั้นมาก แต่งงานเข้าตระกูลอวิ๋นงั้นเหรอ? ตระกูลที่เหี้ยมหาญอย่างนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทนไหว ราวกับแกะน้อยตัวหนึ่งที่เข้าไปอยู่ในฝูงหมาป่า

หลังจากเสร็จพิธีการแล้ว เหมียวอี้ก็กลับมาทางนี้ก่อน ด้วยฐานะของเขาตอนนี้ไม่สะดวกจะอยู่กับพวกที่เล่นไม่รู้จักจบจักสิ้น ถ้าเขาอยู่ทุกคนก็อึดอัดด้วย

หลังจากคุยกันเรื่อยเปื่อยถึงสถานการณ์ข้างนอก เหมียวอี้ก็แสดงท่าทีต่อผังก้วนอย่างชัดเจน ว่าถ้าอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีโอกาสเหมาะสม ก็จะให้ผังก้วนหวนกลับมามีอำนาจอีกครั้ง แต่ตอนนี้ให้ผังก้วนอยู่ที่นี่อย่างสงบใจไปก่อน

ผังก้วนฟังเข้าใจเจตนาที่อีกฝ่ายสื่อ เลิกคิ้วกล่าวว่า “ดูท่าแล้วเจ้าคงจะมีใจทะเยอทะยานต่อใต้หล้านี้จริงๆ…เพียงแต่เจ้ากับตระกูลเซี่ยโห้วสมคบกัน เกรงว่าประมุขชิงคงจะไม่เลิกรังควานเจ้าแน่!”

เหมียวอี้ตอบเขาว่า “หนานโปหวนกลับคืนมาได้ทุกเมื่อ ตอนนี้เกรงว่าเขาคงไม่กล้าทำเรื่องใหญ่ให้หนานโปเจาะช่องโหว่ ตราบใดที่ข้าไม่ห้โอกาสเขาลงมือ เขาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม!”

“เฮ้อ! เจ้าจัดการเองตามเห็นสมควรแล้วกัน…เสี้ยวเสี้ยวนางเด็กนั่นก็ไม่ได้แย่ เป็นข้าที่ทำผิดต่อนาง เจ้าช่วยข้าดูแลนางให้ดี” ผังก้วนถอนหายใจ เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวเดินกลับมาจากที่ไกลๆ ก็บอกอีกว่า “ถ้าไม่มีเรื่องอะไรอย่างอื่นแล้ว ข้าขอตัวกลับไปนอนก่อน”

“เป็นอะไรไป ทรัพยากรฝึกตนไม่พอเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ

“ถือโอกาสนี้อยู่บ้านกับผู้หญิงของตัวเองให้มากๆ มีลูกไว้เยอะๆ!” ผังก้วน

“อืม เป็นเรื่องที่ดี!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วมองส่งอีกฝ่ายเดินจากไป

พอหันกลับมาอีกครั้ง ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวที่มีกลิ่นสุราติดตัวกำลังมองเขาด้วยแววตาสับสน จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เป็นอะไรไป?”

“ไม่มีอะไร” อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า แต่ความสับสนในดวงตากลับยากจะหายไป เพราะนางยากจะเอ่ยปากเล่าฉากที่นางคุยกับอวิ๋นรั่วซวงก่อนหน้านี้

อวิ๋นรั่วซวงดึงนางไปดื่มสุราด้วยกัน อาศัยฤทธิ์สุราพูดจาเหลวไหลบางอย่าง บอกว่าพี่สาวแย่งผู้ชายของนางไป บอกว่าเดิมทีนางกับเหมียวอี้อยู่ด้วยกันก่อนแล้ว ตอนที่นางร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเหมียวอี้ตั้งแต่ยังมีฐานะต่ำต้อย ก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับพี่สาวเลย นางชอบเหมียวอี้มาตลอด แต่พี่สาวแต่งงานกับเหมียวอี้แล้ว นางไม่มีทางเลือก ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น นางต้องแย่งกลับคืนมาแน่นอน มิสิทธิ์อะไรล่ะ? ไม่อย่างนั้นนางจะลำบากตัวเองเพื่อทำให้คนอื่นสมหวังทำไม? ที่อยากได้หนุ่มน้อยหน้าขาวคนนั้น ก็เพราะรู้สึกว่าบนตัวของหนุ่มน้อยหน้าขาวมีเงาของเหมียวอี้ ซื่อบื้อเหมือนกัน!

สรุปก็คืออวิ๋นรั่วซวงพร่ำบ่นเป็นชุด

ก็ได้ อวิ๋นจือชิวคิดแค่ว่านางดื่มมากเกินไป แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่แค่คำพูดของคนเมาแน่นอน ความรู้สึกหลากหลายที่ปนอยู่ในใจทำให้นางรู้สึกอึดอัด

เหมียวอี้รู้สึกว่านางแปลกไปนิดหน่อย จึงถามว่า “ไม่เป็นอะไรจริงเหรอ?”

“ไม่เป็นอะไรจริงๆ ซวงเอ๋อร์ได้แต่งงานแล้วข้าดีใจ!” อวิ๋นจือชิวยิ้มบางๆ พลางคล้องแขนเขา มองมหาสมุทรภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเคียงข้างกัน

เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ “ก็ควรจะดีใจอยู่แล้ว แต่คาดว่าคงมีคนดีใจไม่ออก นางเด็กนั่นไม่มีความเป็นกุลสตรีสักนิด น้องเขยคนนั้นของเจ้า ต่อไปได้ทรมานแน่”

อวิ๋นจือชิวยิ้มเรียบๆ มองเขาพลางถามอย่างจริงจังว่า “ในสายตาเจ้า ซวงเอ๋อร์แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เหมียวอี้เบะปาก “ข้าไม่มีความเห็น!”

“เจ้าไม่เข้าใจผู้หญิง…” อวิ๋นจือชิวซบบ่าเขาพลางพึมพำ

จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจผู้หญิง เหมียวอี้ไม่ค่อยใส่ใจนัก เขาไม่มีความคิดทางด้านนี้มาตั้งนานแล้ว เขาเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เวลาผ่านไปแล้วร้อยปี ตอนนี้พระปีศาจยังไม่มีการตอบสนองอะไรเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะโผล่ออกมาก่อความวุ่นวายตอนไหน ข้าเองก็รออยู่เฉยๆ ไปตลอดไม่ได้ ตอนนี้สถานการณ์ภาพรวมของทัพใต้ยังอยู่ในมือข้า ข้าเตรียมจะไปฝึกตนเงียบๆ ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์…”

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทั้งสองก็บอกลากันอย่างเป็นทางการ ก่อนจะไปเหมียวอี้มายืนบอกลากับบุคคลระดับสูงของหกลัทธิบนริมหน้าผา

คู่บ่าวสาวก็มาส่งด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรเหมียวอี้กับฮูหยินก็ตั้งใจมาที่นี่เพราะงานแต่งงาน

ด้านข้าง อวิ๋นรั่วซวงที่ท้องยื่นเล็กน้อยกำลังพูดคุยและยิ้มแย้มกับอวิ๋นจือชิว

ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสะอาดสะอ้านคนหนึ่งอยู่ข้างกาย ชื่อว่าฉู่หยวน เป็นสามีของอวิ๋นรั่วซวงนั่นเอง เขาดูสงบเสงี่ยมเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็ไม่สนิทกับอวิ๋นจือชิว กอปรกับฐานะของอวิ๋นจือชิวก็เห็นๆ กันอยู่

หลังจากบอกลาบุคคลระดับสูงของหกลัทธิแล้ว เหมียวอี้ก็เดินเข้ามา แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าสองพี่สองคุยกันไม่รู้จักจบจริงๆ”

อวิ๋นรั่วซวงยิ้มจนดวงตากลมโตกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว บนแก้มสองข้างยังมีลักยิ้มด้วย บอกกับเขาอย่างไม่อายว่า “พี่เขย ข้ากำลังคุยกับพี่หญิงใหญ่ ต่อไปพวกเราสองสามีภรรยาล้วนต้องให้ท่านคุ้มครอง ท่านห้ามไม่สนใจ ปฏิบัติกับพวกเราเท่าเทียมกับคนอื่นนะ ต้องดูแลเป็นพิเศษ!”

อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างเป็นกันเอง แต่สายตากลับชำเลืองเหมียวอี้แล้วก็สังเกตสีหน้าของอวิ๋นรั่วซวง

“เหอะๆ!” เหมียวอี้หัวเราะพลางตบบ่าฉู่หยวน แม้จะไม่ได้รับประกันอะไร แต่ก็ตอบกลับด้วยการกระทำที่สนิทสนม เมื่ออยู่ในตำแหน่งระดับเขาแล้ว ไม่อาจให้คำสัญญากับใครง่ายๆ เขาพยักหน้าบอกอวิ๋นรั่วซวงอีกว่า “จะไปแล้ว พวกเจ้าสองคนก็ดูแลตัวเองดีๆ!”

อวิ๋นรั่วซวงกับสามีกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “พี่เขย พี่สาวเดินทางปลอดภัย”

อวิ๋นจือชิวใช้แววตาล้ำลึกมองอวิ๋นรั่วซวงที่ทำตัวเหมือนไม่เป็นอะไรแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าจำตอนที่ดื่มจนเมามายเมื่อคืนได้หรือเปล่า อยางน้อยภายนอกก็ดูเหมือนจำไม่ได้

เหมียวอี้จูงมืออวิ๋นจือชิวเหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มคนข้างหลังกุมหมัดคารวะน้อมส่ง

เงาคนหายไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เร็วมาก รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าอวิ๋นรั่วซวงเริ่มเปลี่ยนเป็นหมดอาลัยตายอยากทีละน้อย…

……………