บทที่ 2130 ตกหลุมพรางแผนชั่วของเจ้าสารเลวนั่นแล้ว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

หลังจากกลับมาที่จวนท่านอ๋อง อวิ๋นจือชิวก็รู้ว่าเหมียวอี้ออกไปข้างนอกได้ช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว พอกลับมาจะต้องเรียกคนมาถามเรื่องงานแน่นอน ขณะกำลังเตรียมตัวจะเดินออกไป เหมียวอี้ที่กำลังเดินขึ้นบันไดหันมาเรียกนาง “น้องชิว พวกเราคุยกันหน่อยได้มั้ย?”

อวิ๋นจือชิวเดินตามเขาไปอย่างงุนงง

หลังจากเหมียวอี้นั่งลงในโถงแล้ว ถึงได้ถามว่า “ตลอดทางที่กลับมา เหมือนเจ้าจะมีเรื่องในใจนะ?”

อวิ๋นจือชิวนั่งลงข้างโต๊ะน้ำชา ตอบเหมือนประหลาดใจว่า “เหมือนเหรอ?” เรื่องบางเรื่องนางไม่อยากเอ่ยถึง โดยเฉพาะอย่างนยิ่งไม่อยากเอ่ยกับเหมียวอี้

“เหมือน!” เหมียวอี้พยักหน้าอย่างมั่นใจมาก กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ได้เห็นเจ้าเป็นอย่างนี้มานานแล้ว…ท่าทางแบบนั้นของเจ้า ข้าเคยเห็นเมื่อนานมากแล้วที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ตระกูลของเจ้ามีเรื่องอะไรหรือว่าเป็นอะไรไป? มีเรื่องอะไรที่บอกข้าไม่ได้เหรอ?”

ในใจอวิ๋นจือชิวรู้สึกอบอุ่นทันที มองเหมียวอี้ด้วยแววตาอ่อนโยนเช่นกัน รู้สึกอบอุ่นในใจ ที่แท้ผู้ชายคนนี้ก็จดจำสีหน้าท่าทางของนางมาตลอด

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็พลันถอนหายใจแล้วบอกว่า “ซวงเอ๋อร์ ข้าทำผิดต่อเจ้าเด็กนั่น ทำให้นางไม่ได้รับความยุติธรรม”

เหมียวอี้แปลกใจ “เจ้ารักเอ็นดูนางมาตลอด ทำให้นางไม่ได้รับความยุติธรรมตรงไหน ข้ามองไม่ออกจริงๆ หรือเป็นเพราะขังนางไว้ที่แดนอเวจี? เจ้าก็รู้จักนิสัยของนางดี ถ้าอยู่ข้างนอกจะต้องก่อเรื่องแน่นอน ให้อยู่ที่แดนอเวจีก็เพราะหวังดีกับนาง คงไม่นับว่าไร้ความยุติธรรมต่อนางหรอก?”

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า กล่าวด้วยสีหน้าหดหู่ว่า “ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าบอกหรอก ซวงเอ๋อร์มีนิสัยป่าเถื่อน ไม่ใช่คนที่ยอมใช้ชีวิตเสียเปรียบใครมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ครั้งนี้ข้าไร้ความยุติธรรมต่อนางแล้วจริงๆ ไร้ความยุติธรรมต่อนางมาก!”

“เกิดเรื่องอะไรกันแน่ ไม่พอใจการแต่งงานครั้งนี้เหรอ ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง? นี่เป็นนางที่บีบบังคับฉู่หยวนนะ!” เหมียวอี้กล่าวอย่างเหงาๆ

“ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิดเหรอ เรื่องในใจเล็กน้อยของครอบครัวฝั่งผู้หญิงเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ” อวิ๋นจือชิวยื่นมือผลักศีรษะของเหมียวอี้ที่ยื่นเข้ามาใกล้หนึ่งที

นางลุกขึ้นยืนเตรียมตะไป แต่เสวี่ยเอ๋อร์กลับมารายงานว่า หยางชิ่งขอพบทั้งสองคน นางทำได้เพียงนั่งลงต่อไป

ผ่านไปครู่เดียว หยางชิ่งก็มาถึงแล้ว ไม่ได้มาเพราะเรื่องอื่น มาเรื่องที่เขาเผยไพ่ให้ซูอวิ้นรู้

“…” เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวเบิกตากว้างพูดไม่ออก ตกตะลึงกับหยางชิ่งแล้วจริงๆ ไม่เคยเจอหรือได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน

เหมียวอี้โน้มตัวเข้าใกล้โต๊ะน้ำชา เอามือปิดหน้าผากพลางยิ้มอย่างไม่สบายใจ เขาไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าตอนนั้นซูอวิ้นมีปฏิกิริยาอย่างไร

ส่วนอวิ๋นจือชิวก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “หยางชิ่ง ไม่มีใครเขาทำอย่างเจ้าหรอก ใช้อุบายหลอกลวงแบบนี้ เจ้าจะให้ซูอวิ้นมองเจ้ายังไง เจ้าจะให้นางทนความรู้สึกได้ยังไง?”

หยางชิ่งถอนหายใจ “ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ต้องมีคนไปเจาะกระดาษหน้าต่าง[1]ชั้นสุดท้ายระหว่างนางกับฮ่าวเต๋อฟางอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นนางก็จะคิดเอาเองว่าตัวเองยังอยู่ในโลกของฮ่าวเต๋อฟาง ใครตะโกนเรียกนางอยู่ข้างนอกก็ไม่มีประโยชน์ เรียกออกมาไม่ได้หรอก ทำได้เพียงใช้วิธีการไม่ปกติ! นางเจาะกระดาษหน้าต่างของตัวเองดีกว่าให้ใครไปเจาะให้ทั้งนั้น”

อวิ๋นจือชิวครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วบอกเหมียวว่าอี้ว่า “ก็เหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง ว่ามั้ย?”

เหมียวอี้โบกมือกล่าวกลั้วหัวเราะ “อย่ามาถามข้า เรื่องแบบนี้ข้าจัดการไม่ได้ ไม่เข้าใจ!”

อวิ๋นจือชิวหันมามองหยางชิ่งอีก “เจ้าบอกเรื่องนี้ให้พวกเรารู้หมายความว่ายังไง?”

“เพราะหวังจะให้เหนียงเหนียงออกหน้าจัดการเรื่องนี้ให้ ให้นางมอบโอกาสขอโทษให้สักครั้ง” หยางชิ่งตอบ

อวิ๋นจือชิวยิ้มเจื่อน “สำหรับเรื่องนี้…นางอาจไม่ให้โอกาสเจ้าเหมือนกัน เจ้าไปหานางเองจะเหมาะสมกว่า”

“ช่วงนี้ไปพบนางที่เรือนทุกวัน แม้แต่ประตูก็เข้าไปไม่ได้ เลยจะขอให้เหนียงเหนียงช่วยแทนขอรับ” หยางชิ่งกล่าว

อวิ๋นจือชิวยักไหล่ “เรื่องนี้นางอาจจะไม่ไว้หน้าข้า ข้าไปพูดขอร้องให้ นางก็อาจจะไม่มาพบเจ้า เรื่องนี้บังคับกันไม่ได้หรอกมั้ง?”

หยางชิ่งพยักหน้า “ข้ารู้ว่าช่วงนี้ตัวเองพบนางได้ยาก ถึงได้ไปหาที่เรือนนางทุกวัน รู้ด้วยว่าครั้งนี้นางอาจไม่ไว้หน้าเหนียงเหนียง แต่นั่นไม่ได้สำคัญ ที่สำคัญก็คือให้เหนียงเหนียงรู้ว่านางสาบานเรื่องนี้แล้ว ให้นางรู้ว่ามีคนอื่นรู้เรื่องนี้ด้วย”

“…” อวิ๋นจือชิวพูดไม่ออก

เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย เข้าใจเจตนาของหยางชิ่งแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายไม่หวังจะเห็นซูอวิ้นที่กำลังเดือดดาลเลย ที่ไปหาทุกวันก็แค่ทำเป็นพิธีเท่านั้น จงใจทำให้ซูอวิ้นปฏิเสธ แบบนี้เขาถึงหาข้ออ้างขอให้อวิ๋นจือชิวออกหน้าได้

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือหยางชิ่งอยากจะให้ซูอวิ้นรู้ว่าเรื่องสาบานแต่งงานนี้มีคนนอกรู้แล้ว แต่หยางชิ่งก็ไม่อยากให้ซูอวิ้นรู้สึกว่าหยางชิ่งกำลังใช้เรื่องนี้บีบบังคับซูอวิ้น จะได้ไม่ถูกซูอวิ้นรังเกียจ ก็เลยจงใจไปหาถึงประตูบ้านทุกวันเพื่อให้ถูกปฏิเสธ จากนั้นก็ทำท่าเหมือจนปัญญาถึงได้มาบอกให้อวิ๋นจือชิวรู้  ต่อไปซูอวิ้นคงคิดจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตายแน่!

นี่เป็นแบบฉบับของโสเภณีที่อยากสร้างป้ายสรรเสริญตัวเองชัดๆ!

เหมียวอี้พึมพำในใจ ซูอวิ้นถูกเจ้าหมอนี่เพ่งเล็งก็ถือว่าโชคร้ายแล้ว จะขอความรักก็เล่นอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ ใครจะรับไหว?

เรื่องนี้เหมียวอี้ไม่สะดวกจะออกหน้า อวิ๋นจือชิวถูกขอร้องแล้ว มิหนำซ้ำตอนแรกที่จับเป็นเซี่ยโห้วท่าได้ ก็รับปากไว้แล้วว่าจะช่วยเป็นคนกลางให้ทั้งสอง นางเองก็ทำได้เพียงแข็งใจทำแล้ว

วันต่อมา อวิ๋นจือชิวมายังสวนเล็กๆ ในที่พักของซูอวิ้น ตำหนิความวู่วามของหยางชิ่ง ขอให้ซูอวิ้นมอบโอกาสขอโทษให้หยางชิ่งสักครั้ง แน่นอนว่านางไม่อาจบอกเรื่องที่ให้สัญญากับหยางชิ่งไว้

พอซูอวิ้นได้ยินว่ามีคนอื่นรู้เรื่องนี้แล้ว ก็แทบจะประสาทเสียทันที ทนรับความรู้สึกไม่ไหวแล้วจริงๆ ไฟโกรธเดือดดาลสามจั้ง ให้หยางชิ่งมาพบนางทันที

หยางชิ่งก็คุยง่าย รีบมาที่สวนโดยทันทีเช่นกัน มาขอโทษซูอวิ้นต่อหน้าอวิ๋นจือชิว

แต่ใครจะคิดว่าซูอวิ้นก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน แสยะยิ้มบอกว่า “ข้าไม่ใช่คนต่ำช้าที่พูดจาเชื่อถือไม่ได้ ในเมื่อสาบานไว้แล้ว ข้าก็ย่อมทำตามที่สาบานไว้ จะให้แต่งงานด้วยก็ได้ แต่ข้าไม่ได้บอกว่าจะแต่งเมื่อไร ขอเพียงเจ้ารอได้ ก็ตกลงตามนั้น!”

หยางชิ่งยิ้มบางๆ คำตอบแบบนี้อยู่ในการคาดหมายของเขานานแล้ว ตอนแรกที่ซูอวิ้นสาบาน เขาก็เตรียมวางแผนไว้รับมือกับช่องโหว่แล้ว และเตรียมแผนสำรองต่างๆ ไว้แล้วด้วย เรื่องนี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเขา จึงถามว่า “ไม่ทราบว่าเจ้าจะให้ข้ารออีกนานแค่ไหน?”

“สามแสนปี! ถ้าสามแสนปีหลังจากนี้เจ้ายังชอบข้า ข้าก็จะแต่งงานกับเจ้า!” ซูอวิ้นตอบอย่างไม่ลังเล

อวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ข้างๆ นวดขมับเบาๆ แอบยิ้มเจื่อน คิดในใจว่าทั้งสองช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ไม่ใช่เล่นๆ สักคน สามแสนปีงั้นเหรอ? ยังไม่ต้องพูดถึงว่าในระหว่างนั้นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่คนก็กลายเป็นยายแก่แล้ว หยางชิ่งจะแต่งงานกับเจ้าไปทำไม?

หยางชิ่งเอ่ยเสียงเรียบว่า “คำขอนี้โหดร้ายไปหน่อย”

ซูอวิ้นมองเหยียด “ทำไม รอไม่ไหวเหรอ? ถ้าเจ้ารอไม่ไหวเอง ก็อย่ามาหาว่าข้าไม่รักษาสัญญานะ!”

“ถ้าสามแสนปีหลังจากนี้เจ้าไม่แต่งกับข้า จะทำยังไง?” หยางชิ่งถามกลับ

“เจ้าอยากจะให้ข้าสาบานอีกครั้งเหรอ?” ซูอวิ้นถาม

“นั่นไม่จำเป็นหรอก ขอเพียงเจ้าตอบตกลง รอสามแสนปีแล้วยังไงล่ะ?” หยางชิ่งถาม

ซูอวิ้นพูดเหยียด “ต่ำช้าไร้ยางอาย! ข้าจำเป็นต้องตอบรับอะไรเจ้าอีกด้วยเหรอ?”

หยางชิ่งยิ้มบางๆ พลางหยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ร่ายอิทธิฤทธิ์เขียนบางอย่างลงไป แล้วโยนให้ซูอวิ้น ก่อนจะพูดต่อไปว่า “เป็นเงื่อนไขที่เรียบง่ายมาก รับปากว่าหลังจากตายแล้วฝังหลุมเดียวกับข้าเป็นยังไง!”

พอซูอวิ้นอ่านดู ก็พบว่าเป็นสัญญาฝังหลุมศพเดียวกันจริงๆ จึงเงยหน้ายิ้มเย็น “เจ้าค่อยๆ ฝันของเจ้าไปคนเดียวเถอะ!” พูดจบก็โยนแผ่นหยกกลับไปทันที

หยางชิ่งรับมาไว้ในมือ แล้วส่ายหน้าถอนหายใจ “พอแต่งงานกับข้าแล้ว หลังจากตายไปฝังหลุมเดียวกันมันเกินไปเหรอ? ควรจะเป็นเรื่องปกติสิ? ในเมื่อสามแสนปีหลังจากนี้ยอมแต่งงานกับข้า ตายแล้วฝังหลุมเดียวกันจะเป็นไรไป? ถ้าแม้แต่คำขอเล็กน้อยที่ธรรมดาสุดๆ เจ้าก็ยังรับปากไม่ได้ ขอถามหน่อยว่าท่านซูรักษาสัญญาไปแล้วจะมีความหมายอะไร?” เขาเดินเข้ามาใกล้ แล้วยื่นแผ่นหยกให้อีกครั้ง

ซูอวิ้นไม่มีท่าทีว่าจะรับ ขมวดคิ้วมุ่นขณะจ้องแผ่นหยกที่ยื่นมาตรงหน้า นางเองก็จำเป็นต้องยอมรับเช่นกันว่าสิ่งที่หยางชิ่งพูดนั้นมีเหตุผล ถ้าแต่งงานกับอีกฝ่ายจริงๆ หลังจากตายแล้วฝังหลุมศพเดียวกันก็เป็นเรื่องปกติมาก จึงกัดฟันถามว่า “ถ้าข้าไม่รับปากแล้วจะทำไม?”

“ถ้าเจ้ากลับคำก่อน ข้าก็จะประกาศเรื่องคำสาบานให้รู้กันทั่ว ให้เจ้าไปแก้ตัวเอาเอง!” หยางชิ่งกล่าวอย่างใจเย็น

“เจ้า…” ซูอวิ้นพลันเดือดดาล ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป คนในใต้หล้าก็จะรู้เรื่องระหว่างนางกับฮ่าวเต๋อฟางกันหมด แล้วจะให้คนอื่นมองนางอย่างไร นางกล่าวเสียงเย็นว่า “ถ้าข้าตอบรับเจ้า เจ้ารับประกันได้เหรอว่าจะไม่พูด!”

หยางชิ่งสาบานว่า “ถ้าพูดออกไปแม้แต่ครึ่งคำ เจ้าก็สังหารข้าได้เลย ข้าจะไม่บ่นแม้แต่น้อย หวังเฟยเป็นพยานได้!” ขณะที่พูดก็กุมหมัดคารวะอวิ๋นจือชิว “เหนียงเหนียง ได้โปรดเป็นพยานให้ด้วย ถ้าข้าผิดสัญญา ให้ซูอวิ้นสังหารข้าโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เป็นข้าที่ยินดีรับไว้เอง จวนท่านอ๋องก็ไม่ต้องเอาเรื่องอะไรซูอวิ้นด้วยเช่นกัน!”

อวิ๋นจือชิวเอามือลูบหน้าผาก เห็นสองคนนี้เถียงกันไปเถียงกันมา ช่างน่าสนุกจริงๆ ทำให้คนปวดหัวด้วย ให้เป็นพยานเรื่องนี้ให้จะเหมาะสมเหรอ?

ท่ามกลางสายตาที่แฝงความขุ่นเคืองของซูอวิ้น อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างจนใจว่า “ก็ได้ ตามใจพวกเจ้าสองคน ขอเพียงพวกเจ้าสองคนเต็มใจ ข้าก็จะเป็นพยานให้!”

หยางชิ่งบอกใบ้ให้หยิบแผ่นหยกในมืออีก ซูอวิ้นแย่งมาไว้ในมือ แล้วลงนามอย่างกระฟัดกระเฟียด ลงตราอิทธิฤทธิ์ สะบัดใส่มือหยางชิ่ง แล้วตะคอกว่า “ไสหัวไป!”

หลังจากหยางชิ่งตรวจสอบเนื้อหาในแผ่นหยกแล้วพบว่าไม่ผิดพลาด ก็กุมหมัดคารวะ “ขอตัวก่อน!”

อวิ๋นจือชิวกระแอม ถ้าอยู่ต่อก็รู้สึกอึดอัด จึงลุกขึ้นบอกว่า “ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย ขอตัวก่อน” นางเองก็อยากจะเห็นว่าหยางชิ่งจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่

หลังจากทั้งสองออกไปแล้ว ซูอวิ้นก็ยากจะระงับไฟโกรธ คว้าถ้วยน้ำชามากรอกดื่มหลายถ้วยเพื่อดับไฟโกรธ

พอเดินออกจากศาลากลับมาในเรือน ตอนที่เพิ่งจะเดินขึ้นบันได จู่ๆ ซูอวิ้นก็หยุดฝีเท้า ร้อง “หา!” แล้วเอามือกุมหน้านั่งยองๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แทบจะร้องไห้ออกมาว่า “ตกหลุมพรางแผนชั่วของเจ้าสารเลวนั่นแล้ว…”

คนที่ท่าทางสุภาพเรียบร้อยกอปรกับอยู่ในฐานะนี้มานานอย่างนาง ภาพที่เสียอาการจนนั่งยองๆ กับพื้นแบบนี้แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย อย่างน้อยก็พบเห็นได้ไม่บ่อย ครั้งนี้โดนหยางชิ่งทารุณจนแทบจะร้องไห้แล้วจริงๆ

บรรดาสาวใช้ในเรือนเห็นฉากนี้แล้วยังตกใจมาก

ในเรือนหลักของจวนท่านอ๋อง อวิ๋นจือชิวกับหยางชิ่งกลับมาแล้ว พอได้ยินอวิ๋นจือชิวเล่าสถานการณ์ให้ฟัง เหมียวอี้ก็อดขำไม่ได้เช่นกัน ถามว่า “ตอนเป็นอยู่ด้วยกันไม่ได้ ตอนตายจะฝังหลุมเดียวกัน ทั้งยังไม่เต็มใจด้วย เจ้าทรมานอีกฝ่ายอย่างนี้สนุกนักเหรอ?”

หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “หลังจากตายแล้วฝังหลุมเดียวกัน นั่นคือเรื่องของสามีภรรยา ต่างอะไรกับการแต่งงานกับข้าแล้วล่ะ? ถ้ามีสิ่งนี้อยู่กับมือ ใครจะปฏิเสธได้ว่านางคือผู้หญิงของข้า? คาดว่ารอให้นางใจเย็นลงแล้ว ก็น่าจะรู้ตัวกระมัง!”

“…” เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวอ้าปากค้าง ทำเอารออยู่ที่นี่ตั้งนาน แบบนี้เจ้าเล่ห์ร้ายกาจเกินไปหน่อยแล้วมั้ง!

อวิ๋นจือชิวนับว่ายอมแพ้เขาแล้ว ถอนหายใจแล้วเตือนว่า “สามแสนปีเชียวนะ!”

หยางชิ่งโบกแผ่นหยกในมือ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “แม้แต่สถานะนี้ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว นางลงนามเองกับมือ นางรู้ว่าตัวเองกลายเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว ถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วยังรอให้ถึงสามแสนปีค่อยจัดการนาง เช่นนั้นไม่สู้ให้ข้าหยางชิ่งปลิดชีพตัวเองเพื่อขออภัยฟ้าดินดีกว่า!”

………………………