ซย่าจื้อ!

นึกถึงยัยหนูคนนี้ หลินสวินก็นึกถึงประโยคที่ซย่าจื้อพูดไว้ก่อนไปอย่างควบคุมไม่อยู่…

‘รอข้ากลับมา’

สั้นๆ เพียงสี่คำ ราบเรียบเหมือนเพียงแค่ออกไปเดินเล่นรอบหนึ่ง ไม่นานก็กลับมาแล้ว

แต่ตอนนี้ ห่างจากตอนที่ซย่าจื้อจากไปก็เกือบจะสิบปีแล้ว…

สิบปีแล้วหรือ

ในใจหลินสวินว่างโหวงขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ตอนนั้นบนทะเลหมากดารา ซย่าจื้อตื่นจากการหลับใหล บอกว่าการจุติกำเนิดใหม่ครั้งที่ห้าไม่เหมือนที่ผ่านมา จะต้องนิพพานในการต่อสู้ เกิดการเปลี่ยนแปลงในความมืด

จากนั้นนางก็จากไป ในมือถือทวนกระดูกขาว ทะยานอากาศมุ่งหน้าไปสู่โลกแห่งความมืดที่ลึกลับไม่อาจหยั่งรู้

นางบอกว่า นั่นเป็นสนามรบของนางเพียงคนเดียว

“ทำไม เจ้ากลัวแล้วจริงๆ หรือ”

ตรงข้าม ดวงตาคล้ายผลซิ่งของจ้าวจิ่งเซวียนเบิกโต นัยน์ตางดงามสว่างไสวราวกับอัญมณีสีดำ

นางนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆ ก็เหมือนภาพเงาที่งดงาม ทิวทัศน์ภูเขาแม่น้ำรอบๆ ล้วนไม่สามารถบดบังความงามของนางได้

ความงามเช่นนี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของจ้าวจิ่งเซวียน นิ่งสงบและชัดเจนราวกับภาพที่งดงามเหนือโลกีย์ และเหมือนชาที่หอมกรุ่น ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งค้นพบความงามของนาง เห็นแล้วเจริญหูเจริญตา

หลินสวินส่ายหน้า สลัดความกลัดกลุ้มและห่วงหาเสี้ยวหนึ่งในใจ ยิ้มขื่นพูด “หลายปีนี้ข้าคิดแต่จะแสวงหามรรคา จะมีหญิงสาวมากมายมาอิงแอบแนบชิดคลอเคลียอย่างที่เจ้าพูดได้อย่างไร”

ฟันขาวดังหิมะของจ้าวจิ่งเซวียนเผยออกมาให้เห็นเสี้ยวหนึ่ง “กล้าคิดแต่ไม่กล้าทำมั้ง”

หลินสวินปวดหัวขึ้นมาระลอกหนึ่ง ความรู้สึกเช่นนี้แปลกประหลาดเกินไป เหมือนนักโทษที่ถูกสอบสวนอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่เป็นดาบที่เฉือนกันนิ่มๆ เท่านั้น

“เหมือนว่าเจ้าจะเป็นห่วงเรื่องนี้มาก”

หลินสวินคล้ายคิดอะไรอยู่ สายตามองจ้าวจิ่งเซวียนที่อยู่ตรงหน้า ต้องยอมรับว่าเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน จ้าวจิ่งเซวียนในตอนนี้ยิ่งงดงามน่าประทับใจกว่าเดิม

พอถูกหลินสวินจ้อง ดวงหน้าอันงามของจ้าวจิ่งเซวียนร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย “หากเจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นข้าไม่ถามแล้ว หากไม่ใช่สหาย ข้าก็คร้านจะสนใจอยู่แล้วว่าเจ้าจะพัวพันกับผู้หญิงกี่คน”

หลินสวินยิ้ม จู่ๆ ก็หลุดปากออกมาว่า “เป็นเพียงแค่สหายจริงๆ หรือ”

จ้าวจิ่งเซวียนชะงัก มองหลินสวินอึ้งๆ จากนั้นก็ไม่รู้ว่าตระหนักอะไรได้ ใบหน้างามที่ราวกับหยกขาวแดงระเรื่อร้อนผ่าว ดวงตาที่เหมือนน้ำในฤดูใบไม้ผลิก็แฝงความเก้อเขิน

เจ้าหมอนี่ กล้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

นางไม่ทันได้ตั้งตัวจึงทำอะไรไม่ค่อยถูก นี่ จะให้นางตอบอย่างไร

ผลุบ!

เพราะหัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถ้วยชาในมือสวยคู่นั้นของนางหล่นร่วงลงอย่างเงียบๆ

หลินสวินมือไวรีบคว้าเอาไว้ สิ่งที่กระทบมือกลับเป็นมือหยกที่เรียบเนียนละเอียดลออ นุ่นราวกับไม่มีกระดูก

เนื่องเพราะเดิมทีจ้าวจิ่งเซวียนเองก็กำลังจะคว้าถ้วยชาตามจิตใต้สำนึก คิดไม่ถึงว่ากลับถูกหลินสวินคว้าเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ

ทันใดนั้นทั้งสองต่างชะงัก ในใจสั่นสะท้านอย่างไม่ทราบสาเหตุ สบตาและมองหน้ากัน บรรยากาศเงียบเชียบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ราวกับรับบรรยากาศที่เงียบสนิทยิ่งเช่นนี้ไม่ไหว ทั้งสองต่างก้มหน้าลงโดยพร้อมเพรียง สายตาก็มองไปยังมือที่จับกันอยู่

ในมือกุมถ้วยใบหนึ่งไว้

……

แดนอัคคีทักษิณ

หน้าศิลาศึกผู้กล้า เหล่าผู้แข็งแกร่งรวมตัวกัน ภายใต้ท้องฟ้า อุโมงค์อากาศที่เต็มไปด้วยสีสันยังคงลอยอยู่ตรงนั้น เชื่อมสู่แดนยอดมรดก

“เริ่มได้สามวันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าในแดนยอดมรดกนั่นจะซ่อนวาสนาที่มหัศจรรย์เพียงใดเอาไว้”

มีคนพึมพำ

“เฮ้อ ของพวกนี้ไม่มีวาสนากับพวกเราอย่างแน่นอน เพียงแค่กระดานทองคำผู้กล้านี้ ก็มีผู้แข็งแกร่งเกือบเก้าในสิบแล้วที่ไม่มีวาสนาแทรกชื่อเข้าไป”

มีคนทอดถอนใจ

“ฮ่าๆ ทุกคนไม่จำเป็นต้องหมดกำลังใจเช่นนี้ ลองคิดดู เทพมารหลินเป็นบุคคลที่น่ากลัวเพียงใด ตอนนี้ก็เหมือนพวกเราที่ไม่ได้เข้าสู่แดนยอดมรดกมิใช่หรือ”

มีคนหัวเราะเยาะ

ประโยคเดียวทำให้ผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยในที่นั้นยิ้มออกมา จะว่าไป เทพมารหลินเองก็ซวยจริงๆ

เอาชนะอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ สะดุดมากเพียงใด

แต่ก็เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ กลับทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส ไม่มีวาสนาได้ร่วมการช่วงชิงในแดนยอดมรดก อับโชคจริงๆ

“นี่ก็คือกรรมตามสนอง แม้แต่สวรรค์ยังเห็นเขาขัดหูขัดตา อยากจะกดความเย่อหยิ่งและความโดดเด่นของเขาสักหน่อย มิฉะนั้นในแดนเก้าบนแห่งนี้ใครจะกำราบเขาได้”

และมีคนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

กับเรื่องนี้ทุกคนเลือกจะเงียบ ไม่ได้คล้อยตาม แดนเก้าบนในตอนนี้ใครจะกล้าวิพากษ์วิจารณ์เทพมารหลินตามอำเภอใจ

พูดได้เพียงว่าการกระทำเช่นนี้อันตรายมาก หากเข้าหูเทพมารหลิน จุดจบใช่ว่าใครๆ จะรับไหว!

เจ้าคนที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นนั่นเป็นชายหนุ่มชุดแพรคนหนึ่ง ครั้นเห็นว่าไม่มีใครตอบสนองตนก็พลันอึดอัดและขุ่นเคืองเล็กน้อย พึมพำว่า “หรือข้าพูดผิด”

ทุกคนยิ่งเงียบกว่าเดิม

ในที่นั้นกลายเป็นกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที

นี่ก็คือพลังอำนาจในแดนเก้าบนของหลินสวินในตอนนี้

ในอดีตตอนที่เขาผงาดขึ้นมา บางทีอาจจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ต่อต้าน กีดกัน ตั้งคำถามและเย้ยหยันไม่น้อย

แต่ตอนนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!

เมื่อมีความสามารถที่แน่นอน ก็จะมีอิทธิพลที่ทำให้ผู้คนไม่อาจตั้งข้อสงสัย ในจุดนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนจากตัวของหลินสวิน

ใครกล้าตั้งคำถามและเย้ยหยัน กลับยิ่งดูน่าขันและไม่รู้ความ

“พวกเจ้า… ทำไมไม่กล้าแม้แต่จะพูด”

ชายหนุ่มชุดแพรคนนั้นเดือดดาลยิ่ง รู้สึกไร้สาระมาก เพียงวิพากษ์วิจารณ์เทพมารหลินเท่านั้น เหตุใดต้องระวังขนาดนี้

‘พี่ชาย เจ้าดูสินั่นใคร’

ผู้แข็งแกร่งที่หวังดีคนหนึ่งถอนหายใจสื่อจิตเตือน

ชายหนุ่มชุดแพรอึ้งไป หมุนตัวไปมองจากนั้นพลันแข็งทื่อไปทั้งตัว ราวกับถูกฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น อึ้งตาค้างไปอย่างสิ้นเชิง

เทพมารหลิน!

ห่างออกไปชายหญิงคู่หนึ่งเดินมา ผู้ชายรูปลักษณ์หล่อเหลาสะอาดสะอ้าน มีกลิ่นอายโดดเด่นเหนือโลกีย์ ผู้หญิงงดงามราวกับภาพวาด บุคลิกท่าทางดั่งเซียนผู้ศักดิ์สิทธิ์

ผู้ชายคนนั้น ก็คือหลินสวิน!

ในที่นั้นเงียบกริบทั้งแถบ ในที่สุดชายหนุ่มชุดแพรก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดทุกคนจึงเงียบ และพอนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของตน สีหน้าเขาพลันซีดเซียวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ในใจสั่นสะท้าน สองขาถึงขั้นอ่อนปวกเปียกขึ้นมา

แย่แล้ว!

นินทาเจ้าหมอนี่ลับหลัง แต่กลับถูกอีกฝ่ายได้ยินเข้า นี่… ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายเลย

ยามนี้ชายหนุ่มชุดแพรแทบอยากตบปากตัวเองสักสองที!

ที่น่าอักอ่วนที่สุดคือ ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่เคยมองเขาแม้แต่แวบเดียว มองข้ามไปโดยตรง แน่นอนว่าไม่ได้เอาความกับเขา

ในขณะที่ทำให้ชายหนุ่มชุดแพรแอบโล่งอก ก็อดเศร้าซึมไม่ได้

เพียงเห็นสีหน้าท่าทางที่ราวกับเคารพนับถือเทพของทุกคนในที่นั้น ก็ทำให้เขาเข้าใจว่า หลินสวินในตอนนี้บารมีเฟื่องฟูเพียงใด!

สุดท้ายหลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนมาถึงหน้าศิลาศึกผู้กล้าพร้อมกัน

“ปีที่ข้าเพิ่งมาถึงแดนเก้าบนเคยผ่านการทดสอบนี้ ตอนนั้นอยู่ในอันดับที่เก้าสิบสาม แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ทำให้ข้าดีใจมาก”

จ้าวจิ่งเซวียนมองศิลาศึก สีหน้าเผยความเลื่อนลอย “ตอนนี้คงไม่สามารถเบียดตัวเข้าไปอยู่บนกระดานแล้ว”

หลายปีที่ผ่านมานางปิดผนึกจิตวิญญาณตนเอง หลับใหลไม่ตื่น สิ่งที่สำแดงคือวิชาลับที่ชื่อว่า ‘ประทับเทพผนึกหกมรรค’

นี่ก็เป็นวิชาแห่งการฝึกปราณเช่นกัน ทำให้ผู้สำแดงวิชาราวกับตกอยู่ท่ามกลางวัฏจักรหกมรรคในขณะที่หลับใหล ผ่านการเคี่ยวกรำ มีส่วนช่วยต่อการฝึกปราณอย่างมหัศจรรย์ยิ่ง

อย่างตอนนี้แม้จ้าวจิ่งเซวียนจะยังคงอยู่ในระดับอมตะเคราะห์ด่านสอง แต่ในหลายปีที่นางหลับใหล ได้สั่งสมมรรควิถีที่น่ากลัวอย่างยิ่งมานานแล้ว เพียงแค่ต้องการก็สามารถบรรลุได้ตลอดเวลา ทำให้ระดับพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

“ไม่อย่างนั้นเจ้าลองอีกครั้งไหม” หลินสวินพูด

จ้าวจิ่งเซวียนกลอกตาใส่เขาทีหนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าเร่งรีบจะให้ข้าหาเรื่องใส่ตัวขนาดนี้เชียว ตัวเจ้านั่นแหละ รีบไปทดสอบซะ อย่าให้จนถึงสุดท้ายแล้วเทพมารหลินที่ยิ่งใหญ่ดันเข้าไม่ได้แม้แต่แดนยอดมรดก กลายเป็นที่น่าขันของคนทั้งโลก”

พูดถึงสุดท้าย ดวงตาคู่ใสของนางเหลือบมองชายหนุ่มชุดแพรที่อยู่ห่างออกไปแวบหนึ่ง

ผู้หญิง เจ้าคิดเจ้าแค้นมากนะ!

ชายหนุ่มชุดแพรสั่นไปทั้งตัว สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาวสลับกัน สุดท้ายก้มหน้าลงพูดอย่างอับอาย “เมื่อครู่นี้ข้าน้อยบุ่มบ่าม ปากไม่มีหูรูด ทั้งสองท่านโปรดอย่าถือโทษ”

หลินสวินเงียบ โบกมือผ่านๆ คร้านจะถือสาอีกฝ่าย

“สหายยุทธ์หลิน ที่แม่นางคนนี้พูดไม่ผิด ด้วยพลังต่อสู้ของท่านในตอนนี้ หากไม่ไปเข้าร่วมการช่วงชิงที่แดนยอดมรดกก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว”

ในที่นั้นมีคนพูดด้วยความเลื่อมใส

“ใช่ เชิญสหายยุทธ์หลินไปลองสักหน่อย”

คนอื่นๆ เองก็ต่างพูดขึ้น

“ดูสิ นี่ก็คือเสียงจากใจของทุกคน”

จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มพูด ครั้งนี้นางเป็นคนบีบบังคับให้หลินสวินมา

ช่วยไม่ได้ เจ้าหมอนี่ไม่เห็นอริยะนำพาอยู่ในสายตาเกินไปแล้ว ถึงขึ้นจะไม่ไปแม้กระทั่งแดนยอดมรดก ไม่เหมือนลูกผู้ชายเอาเสียเลย

และตอนที่หลินสวินรู้ว่าจ้าวจิ่งเซวียนดันคิดว่าตนไม่เหมือนลูกผู้ชายก็พลันนั่งไม่ติด เหตุผลอื่นเขารับได้ มีเพียงเรื่องนี้…

ทนไม่ได้เด็ดขาด!

“ก็ดี”

หลินสวินเดินขึ้นหน้า มองอุโมงค์อากาศที่สีสันสดใสนั่น สุดท้ายหยุดสายตาที่ศิลาศึกผู้กล้าที่อยู่ตรงหน้า

ตอนที่หลินสวินส่งจิตรับรู้และสมาธิเข้าไปในศิลา สายตาของทั้งลานต่างจับจ้องเขาไม่กะพริบ กลั้นหายใจเพ่งสมาธิ รออยู่เงียบๆ

ทุกคนต่างรู้ว่าตั้งแต่เข้าสู่แดนเก้าบนจนถึงตอนนี้ หลินสวินยังไม่เคยรับการทดสอบกระดานทองคำผู้กล้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ชื่อของเขาก็ไม่เคยปรากฏบนกระดานเช่นกัน

ก็เหมือนปริศนาที่ใหญ่ที่สุด หลายปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าคนมากมายเท่าไหร่วิพากษ์วิจารณ์ คาดเดาว่าด้วยพลังต่อสู้ของเขาจะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ของกระดานทองคำผู้กล้า

แต่การคาดเดาก็คือการคาดเดา ถือเป็นจริงไม่ได้

แต่ตอนนี้ หลินสวินมาแล้ว!

อันดับของเขา ถูกกำหนดให้ปรากฏบนกระดานทองคำผู้กล้าวันนี้!

นี่จะไม่จับตามองได้อย่างไร

วู้ม…

ท่ามกลางความเงียบ เพียงครู่เดียวแสงทองที่แสบตาอย่างที่สุดสายหนึ่งหล่นร่วงจากฟากฟ้ากะทันหัน ราวกับรุ้งทองกระทบพื้น เรืองรองสะดุดตา

เงาร่างของหลินสวินเองก็ถูกแสงทองที่ไร้จำกัดอาบไล้ ราวกับภาพฝันดั่งมายา แสบตาจนแทบลืมตาไม่ขึ้น

กลางความพร่าเลือนถึงขั้นมีเสียงสวดที่ราวกับสัทครรลองมหามรรคดังขึ้นเป็นระลอกๆ ก้องอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ศักดิ์สิทธิ์และเคร่งขรึม

ทันใดนั้นทุกคนในที่นั้นต่างอึ้งงันไป

เสียงธรรมสะท้อน!

ปราฏการณ์ประหลาดนี้เคยปรากฏครั้งหนึ่งยามอวิ๋นชิ่งไป๋ขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งของกระดานทองคำผู้กล้า และอีกครั้งคือตอนองค์ชายเซ่าเฮ่าเบียดตัวขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่ง

แต่วันนี้ ปรากฏการณ์ประหลาดที่ยิ่งใหญ่นี้ปรากฏอีกครั้งแล้ว!

วู้ม…

แสงทองไหลเวียน พร่างพรายดุจละอองแสง ทำให้เงาร่างของหลินสวินประหนึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์มาเยือนโลก เสียงธรรมแต่ละสายลอยอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน สะเทือนใจคน

ด้านข้างจ้าวจิ่งเซวียนมองดูภาพนี้ มองเงาร่างผ่าเผยที่อาบอยู่ท่ามกลางประกายทองและเสียงธรรม ในดวงตาคู่ใสของนางสดใสเบิกบาน มุมปากปรากฏรัศมีโค้งอันภาคภูมิอย่างอดไม่ได้

——