หน้าศิลาศึกผู้กล้าเงียบกริบไร้เสียง
สีหน้าของทุกคนต่างชะงักงันเพราะความตะลึง
ที่หนึ่ง!
ตั้งแต่แดนเก้าบนปรากฏจนถึงตอนนี้ ตำแหน่งนี้เคยถูกอวิ๋นชิ่งไป๋ยึดครองไปหลายปี และเคยถูกองค์ชายเซ่าเฮ่ายึดครองไปอีกหลายปี
แต่วันนี้ บนตำแหน่งนี้ ปรากฏชื่อใหม่ชื่อหนึ่ง…
หลินสวิน!
อีกทั้งระหว่างนั้นแทบไม่มีอุปสรรคใดๆ สำเร็จในลมหายใจเดียว เพราะเกิดขึ้นไวเกินไปถึงขั้นทำให้มีคนรู้สึกตั้งตัวไม่ติด
“เอ๊ะ เทพมารหลินล่ะ”
ทันใดนั้นมีคนร้องด้วยความตกใจ ทำลายความเงียบในที่นั้น
สายตาของทุกคนกวาดมองไปในบริเวณนั้น เพิ่งจะพบเอาในตอนนี้ว่า ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เงาร่างของหลินสวินได้หายไปนานแล้ว และจ้าวจิ่งเซวียนก็หายไปพร้อมกันอย่างไร้ร่องรอยด้วย
“แดนยอดมรดก จะต้องเกิดคลื่นลมขึ้นในวันนี้แน่!”
ทุกคนต่างรู้ชัดว่าหลินสวินเข้าสู่แดนยอดมรดกแล้ว นี่เหนือความคาดหมายของทุกคน แต่ก็สมเหตุสมผล เพราะบุคคลระดับเขา หากไม่เข้าร่วมก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว
“แม้ช้าไปถึงสามวัน แต่ด้วยพลังต่อสู้ที่เทพมารหลินสำแดงออกมา การไปช่วงชิงอริยะนำพานั่นก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
มีคนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่ผิด แม้แต่อันดับขององค์ชายเซ่าเฮ่ายังถูกเบียดลงไป นี่ก็หมายความว่า อย่างน้อยในกระดานทองคำผู้กล้าเซ่าเฮ่าก็สู้เทพมารหลินไม่ได้มิใช่หรือ”
“เฮ้อ ก็ไม่รู้ว่าตอนที่เซ่าเฮ่ารู้ข่าวนี้จะรู้สึกอย่างไร”
ในที่นั้นฮือฮา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นไม่ขาดสาย
“อวิ๋นชิ่งไป๋เคยเป็นที่หนึ่ง สุดท้ายกลับถูกเทพมารหลินเอาชนะ ตอนนี้ในแดนยอดมรดกนั่น หากองค์ชายเซ่าเฮ่ากับเทพมารหลินเกิดความขัดแย้งกัน ใครจะชนะ”
ทุกคนต่างรอคอยอย่างมาก
วันนี้หลินสวินทำการทดสอบที่แดนอัคคีทักษิณ ได้อันดับหนึ่งมาครอบครองในรวดเดียว ชื่อเสียงสะเทือนแดนเก้าบน!
ที่หนึ่งอย่างเขายากจะถูกสั่นคลอนได้อีกอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเมื่อแดนยอดมรดกสิ้นสุดลง การชิงชัยในแดนมกุฎก็จะจบลงไปด้วย
……
แดนยอดมรดก
เป็นแดนลับที่อาบไล้อยู่ท่ามกลางแสงประกายศักดิ์สิทธิ์ กลางฟ้าดินเต็มไปด้วยไอยิ่งใหญ่
สนามประลองที่ใหญ่โตอย่างที่สุดแห่งหนึ่งตั้งอยู่ภายใน
สนามประลองแห่งนี้ราวกับหล่อด้วยของเหลวสีทองอร่ามทั้งสนาม เปล่งแสงประกายศักดิ์สิทธิ์ ด้านบนปกคลุมด้วยสัญลักษณ์ต้องห้ามเต็มแน่น
รอบๆ สนามประลองรูปปั้นหินเก่าแก่มากมายตั้งตระหง่านอยู่เนืองแน่น มากถึงพันกว่ารูป
รูปปั้นหินเหล่านี้มีเผ่ามนุษย์ที่แข็งแกร่งทรงพลัง มีเผ่ามังกรที่ปกคลุมด้วยเกล็ดและมีเขาเดี่ยวงอกบนศีรษะ มีหงส์เซียนที่ปีกงดงาม ท่าทางเย่อหยิ่ง มีเผ่าเถื่อนที่แบกเกาะหนัก เงาร่างสูงใหญ่ไร้ที่เปรียบ มี…
หนาแน่นแออัดและหลากหลายเผ่า
รูปปั้นหินทุกรูปล้วนปกคลุมด้วยกลิ่นอายปานอริยะเทพชั้นหนึ่ง แผ่กลิ่นอายน่าตกใจออกมา ราวกับอริยบุคคลบรรพกาลมากมายกำลังมองลงมายังสรรพชีวิต มีอานุภาพไร้ขีดจำกัด!
หากไม่ใช่เพราะเห็นกับตา คงชวนให้สงสัยว่านี่คือแดนเผยแพร่อริยชนแห่งหนึ่ง
ตูม!
ตอนนี้ในสนามประลองสีทองอร่ามนั่นกำลังมีการต่อสู้เกิดขึ้น ฝั่งหนึ่งเป็นชายชุดดำ อีกฝั่งคือจี้ซิงเหยาผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉา
ระหว่างทั้งสองการเข่นฆ่าดุเดือด แสงมรรคกึกก้อง ปลดปล่อยอานุภาพที่แตกต่างกัน ทำให้ในสนามมีเสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นไม่ขาดสาย
นอกสนามประลอง เหล่าผู้แข็งแกร่งกำลังจับตามองอย่างตื่นเต้น
ผู้แข็งแกร่งทุกคนที่สามารถเข้าสู่แดนยอดมรดกแห่งนี้ได้ แน่นอนว่าล้วนเป็นบุคคลระดับชั้นนำที่เคยมีชื่อปรากฏบนกระดานทองคำผู้กล้า
แต่ตอนนี้กลับมีลำดับเป็นไปตามระเบียบ เพียงแค่ชมการต่อสู้ แต่ไม่ได้มีคนแทรกแซง
นี่คือกฎของการต่อสู้
อยากได้ศุภโชคก็ต้องเข้าสู่สนามประลอง รับการต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ เพียงแค่ชนะสิบตาติดต่อกัน ก็จะได้ศุภโชค!
หากคนอื่นแทรกแซง จะต้องถูกตัดสิทธิ์
ในสามวันนี้การต่อสู้ในสนามประลองชั้นยอดแห่งนี้เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เพราะฉะนั้นทุกคนต่างรู้กฎของที่นี่ ไม่ว่าใครก็ต้องทำตาม
โครม!
ในสนาม พร้อมๆ กับเสียงพุ่งชนสะเทือนหูเสียงหนึ่ง ชายชุดดำนั่นพลันกระอักเลือด เงาร่างร่วงหล่นลงพื้นดังปึง
“ข้าน้อยสู้ไม่ได้ ยอมแพ้”
ชายชุดดำพูดอย่างขมขื่น
ชิ้ง!
จี้ซิงเหยาเก็บกระบี่วิญญาณในมือพร้อมพูดว่า “ออมมือแล้ว”
หน้าผากนางเต็มไปด้วยเหงื่อ ใบหน้างามขาวซีด บนร่างแบบบางอ่อนช้อยก็บาดเจ็บหลายจุด เลือดย้อมเสื้อผ้า
แต่ตอนนี้ในใจนางกลับมีความดีใจที่พูดไม่ออกอย่างหนึ่ง ดวงตางามคู่นั้นยิ่งแฝงความตื่นเต้นที่ไม่สามารถปกปิดได้
เพราะนางชนะมาสิบสนามติดต่อกันแล้ว!
ในสนามระเบิดเสียงฮือฮาระลอกหนึ่ง มีคำชื่นชม คำยินดีและอิจฉา
ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งชั้นยอดสิบคนติดต่อกัน ทั้งยังได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด ไม่เคยแพ้แม้แต่ครั้งเดียว นี่ใช่ว่าใครจะสามารถทำได้
“ไม่เสียทีที่เป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาสำนักอันดับหนึ่งแห่งแดนฐิติประจิม วิชาประทับกระบี่ไตรภพของเทพธิดาจี้ เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมที่สุด อานุภาพไร้จำกัดแล้ว”
หลายคนถอนหายใจ
โหม่ง!
บนเวิ้งฟ้าเสียงระฆังสายหนึ่งก้องสะท้อน ไม่รู้ดังมาจากตรงไหน เคร่งขรึมและทรงพลัง
พร้อมๆ กับเสียงนั่น แสงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งปรากฏจากในสนามประลองชั้นยอดแล้วทะลวงเข้าสู่ร่างกายของจี้ซิงเหยา
จากนั้นนางก้าวเดินอย่างแผ่วเบา มุ่งหน้าไปยังรูปปั้นหินเก่าแก่นับพันรูปที่ตั้งตระหง่านอยู่นอกสนามประลอง
ศุภโชคประทับอยู่ในรูปปั้นเหล่านี้
รูปปั้นหินแต่ละรูป ล้วนเป็นตัวแทนมรดกที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานอย่างหนึ่ง!
มีเพียงผู้ชนะสิบสนามติด จึงจะมีสิทธิ์เข้าไปสัมผัสและเลือกมรดกหนึ่งอย่าง
ก่อนหน้าจี้ซิงเหยามีหลายสิบคนที่ผ่านการชนะสิบสนามติดแล้ว ต่างมาที่หน้ารูปปั้นหิน กำลังรับและหยั่งรู้มรดก
ในนั้นมีเหล่านายเหนือหัวอย่างองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ หยวนฝ่าเทียน ราชันเผิงปีกทองน้อย ชื่อหลิงเซียว หวังเสวียนอวี๋
เจ้าคางคกและนกทมิฬก็อยู่ในนั้นด้วย
ฮู่ว
จี้ซิงเหยาพรูลมหายใจยาว สีหน้าจริงจังขึ้นมา เริ่มสัมผัสอยู่หน้ารูปปั้นหินที่ไม่ได้ถูกเลือกทีละรูป
ไม่ใช่ว่ามรดกที่ประทับอยู่ในรูปปั้นหินทุกรูปจะสามารถถูกสัมผัสและหยั่งถึงได้ แต่ต้องให้ผู้ฝึกปราณใช้จิตใจของตนไปสัมผัส
มีเพียงได้รับการตอบสนองที่สอดคล้องกันอย่างหนึ่ง จึงจะได้รับมรดก
ไม่นาน จี้ซิงเหยาหยุดฝีเท้าตรงหน้ารูปปั้นหินที่แบกแสงกระบี่เก้าสายอยู่กลางหลัง ในใจพลันเกิดการสัมผัสถึงและขานเรียกอย่างแรงกล้าอย่างหนึ่ง
‘ข้ามีหนึ่งวิชา ชื่อว่า ‘กระบี่แสงจักรวาลเก้าวิญญาณ’ เจ้าอยากเรียนหรือไม่’
เสียงที่ราวกับผ่านโลกมาอย่างโชกโชนดังขึ้นในหัวของจี้ซิงเหยา ทำให้นางรู้ทันทีว่า ฐานะของรูปปั้นหินตรงหน้าเป็นราชันอริยะมรรคกระบี่คนหนึ่งที่มาจาก ‘เผ่าแสงมืด’ ในยุคแรกสุดของบรรพกาล
ส่วนกระบี่แสงจักรวาลเก้าวิญญาณก็คือมรดกที่ราชันอริยะมรรคกระบี่คนนี้ภาคภูมิใจที่สุด
จี้ซิงเหยาพยักหน้าตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
จากนั้นนางนั่งขัดสมาธิบนพื้น สงบใจสัมผัส
เวลาเดียวกันในสนามประลองชั้นยอด อาหลู่ได้ออกสนาม!
“ใครจะมาดวลกับข้าสักตา”
เงาร่างของอาหลู่สูงใหญ่สง่างาม ผิวหนังทั่วตัวแผ่กระจายไอโลหิตท่วมฟ้า ราวกับเทพเถื่อนโบราณที่ยืนตระหง่านอยู่กลางจักรวาล พลังอำนาจชวนกดดัน
สีหน้าของหลายคนเปลี่ยนไป ยอมแพ้ไปโดยตรง ล้วนรู้ดีว่าเจ้าคนป่าเถื่อนผู้นี้เป็นผู้หลอมกายที่แข็งแกร่งอย่างมากคนหนึ่ง เคยได้รับศุภโชค ‘สุสานจักรพรรดิ’ รากฐานแข็งแกร่งอย่างที่สุด
“ทำอย่างไรดี นี่วันที่สามแล้ว หากยังไม่ออกสนามก็ไม่มีโอกาสจะเข้าสู่การแข่งขันรอบต่อไปแล้ว”
หลายคนหนักใจ
ชนะการต่อสู้สิบครั้งติดต่อกัน หลังจากดำเนินมาสามวันก็จะสิ้นสุดลง
ผู้แข็งแกร่งที่ได้รับชัยชนะสิบสนามติด จึงจะสามารถเข้าสู่การแข่งขันรอบที่สองได้เมื่อวันที่สี่มาเยือน
กฎนี้ประทับในสนามประลองชั้นยอดอย่างชัดเจน
ส่วนวันนี้ ก็คือวันสุดท้ายของการแข่งขันรอบแรก
“ข้าจะสู้กับเจ้าสักรอบ!”
ทันใดนั้นมีคนพุ่งเข้าสนามประลอง เป็นราชันหลอมกายคนหนึ่งเช่นกัน ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่รูปร่างร้อนแรงยั่วยวนอย่างมากคนหนึ่ง
นางใส่เกราะศึกสีแดงเพลิง เผยเอวสีน้ำตาลอ่อนช่วงหนึ่ง เอวบางร่างน้อย หน้าอกอวบอิ่มน่าภูมิใจ เส้นเค้าโครงร่างกายปรากฏเป็นส่วนเว้าโค้ง เผยแรงระเบิดที่น่าทึ่ง
แน่นอนว่ามีความเย้ายวนและเสน่ห์ที่แตกต่างออกไป
“ซางเทียนเกอ!”
หลายคนอุทานด้วยความตกใจ จำฐานะของผู้หญิงคนนี้ได้
เล่าลือว่านางเป็นปลาเทพที่ถือกำเนิดในบ่อเทพฟ้าประทานตัวหนึ่ง วิญญาณและสติปัญญาตื่นรู้ในสมัยบรรพกาล ติดตามฝึกปราณอยู่ข้างกายผู้มากสามารถที่เดินบนวิถีกายหยาบบรรลุอริยะคนหนึ่ง รากฐานน่ากลัวอย่างที่สุด
บนกระดานทองคำผู้กล้าในตอนนี้ ซางเทียนเกออยู่ในอันดับที่สิบห้า
ส่วนอาหลู่อยู่อันดับที่สิบสาม
“ดี ดี ดี!”
อาหลู่ตาเป็นประกายทันที พินิจซางเทียนเกอที่อยู่ตรงหน้าหัวจรดเท้า ในลำคอส่งเสียงกลืนน้ำลายอึกๆ
นี่ทำให้ทั้งสนามเหนือความคาดหมาย เจ้าคนเถื่อนนี่ช่างไม่ปกปิด… ความชื่นชมของตัวเองเลย!
แต่ใบหน้าอันงดงามของซางเทียนเกอเคร่งขรึมขึ้นมา เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง ต่อว่าเสียงใส “ไร้ยางอาย”
ตูม!
เอวบางของนางบิดกะทันหัน ร่างกายพลันทะยานอากาศ ฝ่ามือยื่นออกมาและแปรเปลี่ยนเป็นประทับฝ่ามือสีแดงเพลิง ฟันผ่าลงมาอย่างรุนแรงหาที่เปรียบไม่ได้ ดุร้ายราวกับสายลม
ผู้หญิงที่รูปร่างร้อนแรงและงดงามไร้ใดเปรียบคนหนึ่ง กลับเผยท่วงท่าการต่อสู้ที่เผด็จการอย่างที่สุดออกมาในตอนนี้ ทำให้ทั้งสนามตาเป็นประกาย
แต่อาหลู่กลับหัวเราะลั่น เผชิญหน้าเข้าไป “แรงดีจริงๆ! คอยดูข้าจะกำราบแม่นางน้อยอย่างเจ้า!”
ตูมโครม!
ในสนามประลองชั้นยอด การดวลระหว่างผู้หลอมกายได้เริ่มขึ้น
ตอนที่หลินสวินกลับจ้าวจิ่งเซวียนมาถึงหน้าสนามประลองชั้นยอดด้วยกันก็เจอกับภาพเช่นนี้ มุมปากอดกระตุกไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอาหลู่… ตื่นเต้นขนาดนี้ ราวกับสัตว์เดรัจฉานที่ติดสัด หน้าตาก็ลามกเกินไปแล้ว ไม่ปกปิดเลยสักนิด
“สหายรักคนนี้ของเจ้าเหมือนจะหมายตาแม่นางคนนี้เสียแล้ว”
จ้าวจิ่งเซวียนเม้มปากยิ้มเบาๆ
หลินสวินเองก็อดยิ้มไม่ได้ จะว่าไปความชมชอบของอาหลู่แตกต่างจากคนทั่วไปจริงๆ ดันชอบสาวงามที่พลังรุนแรงเช่นนี้ ความชอบเช่นนี้เป็นเอกลักษณ์มากจริงๆ
ทั้งสองชมการต่อสู้พลางสังเกตสนามประลองชั้นยอด ไม่นานก็เข้าใจกฎระเบียบต่างๆ เกี่ยวกับที่นี่
“ข้ายังนึกว่าเพียงแค่ช่วงชิงอริยะนำพาเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าที่แห่งนี้ยังมีศุภโชคอีกมากมาย…”
สายตาของหลินสวินมองไปยังรูปปั้นหินเก่าแก่ที่อยู่ห่างออกไป
“เพราะฉะนั้นครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะข้าบีบเจ้ามา ก็จะพลาดโอกาสดีๆ ระดับนี้มิใช่หรือ เจ้าต้องขอบคุณข้าให้มากๆ แล้ว”
จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มพูด
“ได้สิ เจ้าบอกมาว่าควรขอบคุณอย่างไร”
หลินสวินเองก็ยิ้ม
จ้าวจิ่งเซวียนเอียงหัวคิดๆ แล้วพูดเล่นว่า “เช่นนั้น… ชิงอริยะนำพามาให้ข้าเป็นอย่างไร”
ใครจะคิดว่าหลินสวินกลับตอบรับอย่างเด็ดเดี่ยว “ได้!”
คำหนึ่งที่ตอบออกมาโดยไม่คิด กลับทำให้จ้าวจิ่งเซวียนอดอึ้งไม่ได้ รีบพูดว่า “ข้าล้อเล่น เจ้าอย่าคิดจริงจัง ข้าไม่กล้าใช้เจ้าหรอกนะ”
ทีแรกหลินสวินเองก็เพียงแค่หยอกเอิน แต่เห็นท่าทางร้อนรนขนาดนี้ของจ้าวจิ่งเซวียน ในใจเขาพลันเกิดความฮึกเหิม เผยรอยยิ้มออกมา “แค่อริยะนำพาชิ้นเดียวเท่านั้น เจ้ารอรับได้เลย”
“เหอะ สหายผู้นี้ลมปากรุนแรงจริงๆ”
และตอนนี้เอง เสียงเย็นเยียบสายหนึ่งดังขึ้นข้างๆ
——