ตอนที่ 1328 โดยเฉพาะความเก้อเขินนั่น

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

คนพูดคือชายที่เย่อหยิ่งมากคนหนึ่งในชุดคลุมสีทอง สง่างามอย่างมาก นามว่าเคอเจิ้นอวิ๋น เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่ง ได้รับการสืบทอดวิชาจากสำนักใหญ่มรรคดาบบรรพกาล รากฐานพลังหนาแน่นอย่างมาก

บนกระดานทองคำผู้กล้าเขาอยู่ในอันดับที่สิบหก ห่างจากซางเทียนเกอเพียงแค่อันดับเดียวเท่านั้น

ก่อนหน้านี้เขากำลังติดตามการต่อสู้ในสนาม ใคร่ครวญว่าอีกเดี๋ยวจะลงสนามหรือไม่ การสนทนาเมื่อครู่นี้ของหลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขา

เพียงแต่ตอนที่ได้ยินคำว่า ‘อริยะนำพา’ ก็พลันดึงดูดจิตใจของเขา

โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินหลินสวินคุยโวว่าจะชิงอริยะนำพามามอบให้หญิงสาวที่อยู่ข้างๆ เขาพลันทนไม่ไหว บนโลกนี้ยังมีคนที่คุยโวโอ้อวดอย่างไร้ยางอายเช่นนี้ด้วยหรือ

ดังนั้นเขาจึงเยาะเย้ยเสียงเย็น

แต่พอหันไปเห็นรูปลักษณ์ของหลินสวินชัดแล้ว สีหน้าของเขาแข็งทื่อไปทันที รอยยิ้มเยาะเย้ยตรงมุมปากก็ชะงักไป เกือบจะทรุดลงไปทั้งตัว ท่าทางเหมือนเห็นผีก็ไม่ปาน พลันพูดเสียงหลง “จะ จะ เจ้า… มาได้อย่างไร”

เสียงติดๆ ขัดๆ

หลินสวินอึ้ง พูดอย่างนึกขำ “เหตุใดข้าจึงมาไม่ได้”

“แต่… เจ้า… ข้า…”

เคอเจิ้นอวิ๋นพูดจาไม่ปะติดปะต่อ อัดอั้นจนหน้าแดง ดูทุลักทุเลและย่ำแย่ ไม่มีท่าทางเย่อหยิ่งเหมือนอย่างเมื่อครู่นี้อีก กลับเหมือนนักเรียนที่ทำผิด ขวนอายและอักอ่วนจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีแล้ว

กระอักกระอ่วนมากจริงๆ เลย

เขาถึงกับเย้ยหยันว่าเทพมารหลินคุยโว นี่… นี่เป็นการตบหน้าตัวเองชัดๆ!

ตอนนี้การกระทำที่ผิดปกติของเคอเจิ้นอวิ๋นดึงดูดความสนใจของผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู้อยู่รอบๆ เช่นกัน ต่างเคลื่อนสายตามองมา

ตอนที่เห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของเคอเจิ้นอวิ๋นต่างอดประหลาดใจไม่ได้ นี่เป็นถึงคนระดับนายเหนือหัวคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เหตุใดจึงดูเสียอาการเช่นนี้

ทว่าเมื่อเห็นหลินสวิน เหล่าผู้แข็งแกร่งอึ้งตาค้างไปทันที ล้วนสูดหายใจเย็นอย่างควบคุมไม่อยู่ เกือบคิดว่าตาฝาดไป

เทพมารหลินหรือ

เขาถึงกับปรากฏตัวในแดนยอดมรดก

สวรรค์!

นี่…

เหล่าผู้กล้าต่างตะลึง

สามวันก่อนแดนยอดมรดกปรากฏ เหล่าผู้กล้านายเหนือหัวทยอยเข้ามา ขาดเพียงบุคคลที่สะดุดตาที่สุดและสมควรจะปรากฏตัวที่นี่มากที่สุด…. หลินสวิน

ตอนนั้นยังมีหลายคนถอนหายใจ การแข่งขันในแดนยอดมรดกครั้งนี้จะต้องหมดความน่าสนใจลงแน่ เพราะเทพมารหลินไม่ได้มา

แต่ก็มีคนแอบดีใจ คิดว่าหลินสวินไม่มาดีที่สุด มิฉะนั้นจะต้องนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลให้พวกเขาทุกคนแน่

ถึงขั้นที่หลายคนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น คิดว่าหลินสวินบาดเจ็บหนัก ไม่มีวาสนาเข้าร่วม ช่างโชคร้ายจริงๆ

แต่ตอนนี้ในวันที่สามนี้ หลินสวินปรากฏตัวแล้ว!

เมื่อได้เห็นตัวเขากับตา พลังจู่โจมเช่นนั้นใครจะนิ่งได้

ภาพที่ผิดปกติเช่นนี้ไม่นานก็ส่งผลกระทบต่อบริเวณรอบๆ ยามมองเห็นหลินสวิน เหล่าผู้แข็งแกร่งที่เดิมชมการต่อสู้อยู่ต่างเบิกตาโพลง อึ้งจนอ้าปากค้าง

และเรื่องเช่นนี้ไม่นานก็ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งสนามประลองชั้นยอด กลับทำให้การต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้นในสนามไร้คนสนใจ

หลินสวินถูกสายตาของทุกคนจับจ้องก็อดลูบจมูกน้อยๆ ไม่ได้ และประหลาดใจสงสัยขึ้นมาระลอกหนึ่ง ก็แค่ตนมาไม่ใช่หรือ ต้องเป็นขนาดนี้เชียว?

“ตอนนี้ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดทุกคนจึงเรียกเจ้าว่าเทพมารหลิน”

จ้าวจิ่งเซวียนที่อยู่ข้างๆ เห็นเช่นนี้ก็อดเผยสีหน้าประหลาดไม่ได้ นี่ ก็คืออำนาจบารมีในแดนเก้าบนของเขาในตอนนี้หรือ

“พี่ใหญ่!”

ในสนามอาหลู่ก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนอกสนามแล้ว ตอนที่เห็นหลินสวินพลันตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจ

เพียงแต่ครู่ต่อมาเขาพลันร้องอย่างโศกเศร้า “พี่ใหญ่ ถูกเจ้าแย่งความสนใจไปหมด แม่นางคนนี้ก็ยังมองเจ้า ยังเหลือตัวตนของข้าซะที่ไหน!”

ประโยคเดียวทำให้ซางเทียนเกอหน้านิ่วคิ้วขมวด พูดอย่างเดือดดาล “เจ้าโง่โตแต่ตัว เจ้าควรหุบปากเหม็นๆ ของเจ้าได้แล้ว!”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าปากข้าเหม็นหรือไม่ หรือเจ้าเคยชิม ดูไม่ออกว่าแม่นางน้อยอย่างเจ้าถึงกับเอาเปรียบข้า!”

อาหลู่ตะโกน ท่าทางประหลาดใจและน้อยอกน้อยใจอย่างมาก

ทันใดนั้นซางเทียนเกอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กัดฟันแน่น ดวงตาคู่งามมีเปลวเพลิงลุกโชน ระเบิดออกอย่างสิ้นเชิง ท่าทางเหมือนจะฉีกอาหลู่ทั้งเป็นอย่างไรอย่างนั้น

ในสนามการต่อสู้ปะทุอย่างรุนแรง ดุเดือดกว่าเมื่อครู่แล้ว

เพียงแต่มีน้อยคนมากที่สนใจ ต่างล้วนจิตใจไม่สงบเพราะการปรากฏตัวของหลินสวิน

ช่วยไม่ได้ นี่เป็นถึงคนร้ายกาจแห่งยุคที่โจมตีสังหารอวิ๋นชิ่งไป๋บนสังเวียนพิฆาตมาร และตอนนี้เขาปรากฏตัวที่สนามประลองชั้นยอดนี่แล้ว ความยิ่งใหญ่ของแรงกดดันที่สร้างขึ้น ใครจะยังสงบได้เล่า

“จบสิ้นแล้ว พอเทพมารหลินใครจะสู้ได้”

มีคนถอนหายใจ

“น้อยๆ หน่อยเถอะ คนที่จะรับรู้ได้ถึงแรงกดดันจริงๆ คือพวกองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่นู่น อย่างเจ้าก็คู่ควรจะต่อสู้กับเทพมารหลินด้วยหรือ”

มีคนหัวเราะเยาะ

“เหลืออีกเพียงไม่กี่ชั่วยามก็จะสิ้นสุดวันที่สามแล้ว แต่เทพมารหลินดันปรากฏตัวตอนนี้ ไม่ว่าเป็นใคร ถ้าอยากชนะสิบครั้งติดก็คงต้องผ่านด่านเทพมารหลินก่อน เช่นนี้จำนวนคนที่จะได้เข้าสู่การแข่งขันรอบที่สองต้องน้อยลงไปอีกแน่”

มีคนวิเคราะห์อย่างใจเย็น ในใจก็หนักอึ้งเช่นกัน

“เฮ้อ เวลาไม่เคยคอยใคร จะทำอย่างไรได้เล่า”

หลายคนถอนหายใจ ท่าทางโศกเศร้าเสียใจ

“เจ้าดู มีคนบอกว่าน้องชายเจ้าปากเหม็น และมีคนบอกว่าเจ้าลมปากดี ตอนนี้กระทั่งคนอื่นๆ เห็นเจ้าก็เหมือนเห็นตัวอันตราย หลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าทำเรื่องชั่วร้ายมามากแค่ไหนกันแน่”

จ้าวจิ่งเซวียนกะพริบตาปริบๆ แฝงความทะเล้น พูดถากถาง

“ทำเรื่องชั่วร้ายมากแค่ไหนข้าไม่เคยนับ ข้ารู้เพียงว่าด้วยความสัมพันธ์ที่ยาวนานของเราสองคน ลมปากข้ารุนแรงหรือไม่เจ้าคงรู้ดี”

ลมปากรุนแรง นอกจากหมายถึงคุยโวได้แล้ว ยังมีความหมายว่าปากมีกลิ่นได้ด้วย

นี่ก็คือคำว่าหนึ่งคำสองความหมาย

พอคำพูดนี้ออกมา ดวงหน้างามของจ้าวจิ่งเซวียนแดงระเรื่อ ดวงตาพริบไหว จ้องหลินสวินเขม็งแวบหนึ่งพร้อมกับต่อว่า “เจ้ากับอาหลู่มันตะเภาเดียวกัน ชั่วร้ายขึ้นเรื่อยๆ”

หลินสวินอดยิ้มไม่ได้ เมื่อก่อนน้อยมากที่เขาจะเห็นจ้าวจิ่งเซวียนเผยสีหน้าขวยเขินที่งดงามเช่นนี้

ตอนที่ทั้งสองสนทนากันอยู่นั้น รอบๆ สนามกลับไม่สงบ ต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์ว่าหลังจากหลินสวินแทรกแซงเข้ามาอย่างแข็งกร้าว การต่อสู้ในรอบต่อไปควรวางแผนอย่างไร

สำหรับเรื่องพวกนี้หลินสวินไม่สนใจเลยสักนิด

ไม่ใช่ว่าเขาเย่อหยิ่งหรือหลงระเริง แต่ด้วยศักยภาพของเขาในตอนนี้ได้ตัดสินแล้วว่ายามที่เผชิญหน้ากับการแข่งขันเช่นนี้ เขาไม่จำเป็นต้องหวาดเกรงมากนัก!

ไม่นานเหนือความคาดหมายของหลินสวิน อาหลู่กลับพ่ายแพ้ นี่สร้างความฮือฮาระลอกหนึ่งขึ้นในที่นั้น

“เจ้าโง่โตแต่ตัว เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะซาบซึ้ง!”

ในสนามประลองใบหน้าผ่าเผยของอาหลู่แปรเปลี่ยนไม่หยุด พูดเสียงดังขึ้นมา

“ไม่ซึ้งก็ไม่ซึ้ง ข้ายินยอมก็พอแล้ว!”

อาหลู่หมุนตัวอย่างสง่างาม ก้าวเท้ายาวเดินออกจากสนามประลอง

หลินสวินถึงเพิ่งจะดูออกว่าอาหลู่จงใจยอมให้ จึงมองอาหลู่อย่างอดไม่ได้พลางกล่าว “เพื่อเกี้ยวผู้อื่น เจ้ายอมลงทุนมากนะ”

อาหลู่ยิ้มอย่างย่ามใจแล้วพูดว่า “เฮ้อ ฝึกปราณจนถึงวันนี้ข้าก็ถือว่าเคยเจอเทพธิดา ธิดาเทพ เห็นความงามทั่วฟ้ามาจนหมดแล้ว ก็มีผู้หญิงคนนี้แหละที่ถูกปากข้ามาก ยอมนางสักครั้งจะเป็นอะไรไป”

ว่าแล้วก็หันมองซางเทียนเกอที่อยู่ในสนาม เขาโบกมือตะโกน “แม่นางน้อย อย่าให้เสียน้ำใจพี่ชายเล่า ต้องชนะสิบสนามติดนะ!”

หลินสวินชูนิ้วโป้งชื่นชม หากพูดถึงความหน้าด้าน อาหลู่เป็นบุคคลต้นแบบที่ไม่เสียชื่ออย่างแน่แท้

ซางเทียนเกอคับแค้น แต่กลับทำได้เพียงกัดฟันระบายกับคู่ต่อสู้คนถัดไป นางดูออกแล้วว่าอาหลู่คนนี้หน้าด้านเกินไป ยิ่งต่อล้อต่อเถียงกับเขา เขาก็ยิ่งได้ใจ

“เจ้าจะยอมแพ้เช่นนี้จริงๆ หรือ”

หลินสวินอดถามไม่ได้

“แน่นอนว่าไม่ รอหลังจากแม่นางน้อยคนนี้ลงจากสนาม ข้าค่อยขึ้นไปก็ได้แล้ว อย่างไรก็ไม่ได้กำหนดว่าห้ามท้าดวลสองครั้ง”

อาหลู่พูดอย่างไม่ใส่ใจสักนิด

หลินสวินจนคำพูด

สายตาของอาหลู่มองมายังจ้าวจิ่งเซวียน จู่ๆ ก็พูดว่า “พี่ใหญ่ ต่อไปข้าควรเรียกว่าพี่สะใภ้แม่นางจ้าวหรือพี่สะใภ้”

ยามนี้ในสายตาของหลินสวินไอสังหารพวยพุ่ง จู่ๆ ก็อยากฉีกปากเจ้าหมอนี่ขึ้นมาอย่างแรงกล้า!

ส่วนจ้าวจิ่งเซวียนเองก็ใบหน้าแดงระเรื่อ ในสายตาที่มองอาหลู่เผยไอสังหาร อาหลู่นี่ปากพล่อยเกินไปแล้ว!

“ฮ่าๆๆ พวกเจ้าสองคนเลี่ยนกันต่อเถอะ ข้าไม่กวนพวกเจ้าแล้ว”

อาหลู่เห็นท่าไม่ดีก็ชิ่งทันที “ข้าไปให้กำลังใจแม่นางน้อยดีกว่า!”

หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนมองเขาจากไป ต่างโล่งอกอย่างไม่ได้นัดหมาย ทันใดนั้นทั้งสองสบตากัน สภาวะจิตละเอียดอ่อนขึ้นมาเล็กน้อย บรรยากาศอึดอัดและเงียบขรึมไม่น้อย

“เอ่อ… เจ้าอย่าถือสา เขา…”

หลินสวินคิดๆ แล้วรู้สึกว่าจะเงียบไปเช่นนี้ไม่ได้ จึงตัดสินใจอธิบายสักหน่อย

“หยุดพูด ชมการต่อสู้”

สายตาของจ้าวจิ่งเซวียนมองสนามประลองที่ห่างออกไป พยายามสงบนิ่ง เพียงแต่ใบหน้างามยังคงร้อนผ่าว พี่สะใภ้หรือ

อาหลู่นี่สมควรโดนตีให้ตาย!

หลินสวินขานรับว่าอืม เงียบไปครู่หนึ่งก็ยังอดพูดไม่ได้ “ความจริง…”

ไม่รอให้พูดจบก็รู้สึกเจ็บแปลบที่แขน ถูกมือดั่งหยกขาวหยิกแรงๆ ทีหนึ่ง ทำเอาเขาหน้าตาบิดเบี้ยว

หลังจากนั้นข้างหูพลันได้ยินเสียงตำหนิของจ้าวจิ่งเซวียน “หยุดพูดได้แล้ว!”

หลินสวินชะงัก เหลือบมองไปก็เห็นผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ติ่งหูซึ่งเดิมขาวกระจ่างแดงก่ำ และบนเสี้ยวหน้างดงามไร้ที่ติของนางก็เจือสีแดงระเรื่อ แม้แต่คอระหงที่ซ่อนอยู่ใต้ผมดำยังอมชมพูขึ้นมา

ขนตายาวที่งอนเป็นแพของนางสั่นไหวเล็กน้อย แม้ดูเหมือนกำลังชมการต่อสู้ แต่ความจริงเห็นชัดว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก มือหยกกำน้อยๆ ข้อนิ้วที่ราวกับต้นหอมออกแรง เหมือนกำลังกดความรู้สึกในใจ

จ้าวจิ่งเซวียนงดงามมาก รูปลักษณ์เรียกได้ว่าไร้ที่ติ แต่ตอนนี้กลับมีท่าทางขวยเขินอย่างยากจะได้เห็น เหมือนนกกระจอกเทศที่อยากจะมุดหน้าลง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย

ตอนนี้ในใจหลินสวินสั่นขึ้นมาคราหนึ่ง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ามีความงามอย่างบอกไม่ถูก ทำให้ความตกตะลึงแวบผ่านในดวงตาของเขา ในใจเกิดความรู้สึกแปลกๆ

หญิงสาวที่รูปลักษณ์งดงามดั่งภาพวาด บริสุทธิ์ราวกับเซียน ตอนนี้ดวงหน้างามกลับเต็มไปด้วยความเขินอาย พวงแก้มแดงระเรื่อ ภาพนี้ราวกับประทับแน่น ชาตินี้ทั้งชาติหลินสวินก็ไม่มีวันลืม

เวลาหนึ่งก้านธูปหลังจากนั้น จู่ๆ ในสนามก็มีเสียงอุทานเดือดพล่านปะทุขึ้น ปลุกชายหญิงที่ต่างจมอยู่ในความคิดขึ้นมา

เงยสายตามองไป ซางเทียนเกอสู้มาสิบสนามแล้ว ได้รับชัยชนะสิบครั้งติดต่อกัน

ส่วนอาหลู่ที่ยิ้มรับหน้าเข้าไป กลับถูกซางเทียนถีบใส่บั้นท้ายอย่างหัวเสีย

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ อาหลู่ก็ยังคงยิ้มยิงฟันตะโกนว่า “ด่าเพราะห่วงตีเพราะรัก เจ้าถีบแรงเพียงนี้ เพราะชอบข้าลึกซึ้งเพียงนี้เหมือนกันใช่หรือไม่”

หลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนอึ้งงันไปโดยพร้อมเพรียง อาหลู่นี่พอกระสันขึ้นมา ไม่เพียงแค่ไร้ยางอาย แต่ไม่ห่วงหน้าโดยสิ้นเชิง!

——