บทที่ 2139 ใต้หล้านี้กำลังจะวุ่นวายใหญ่แล้ว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

สุราอาจจะไม่ได้ดีกว่าที่เคยดื่มก่อนหน้านี้ แต่อารมณ์ดีมากคือเรื่องจริง ไม่ว่าดื่มอะไรก็ออกรสออกชาติ

เขาหันไปดูประตูหน้าต่างๆ โดยรอบที่ปิดสนิท แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “สุราดีอย่างนี้ถ้าดื่มอย่างเดียวก็จะน่าเสียดายไปหน่อย!”

เหมียวอี้ยิ้มพลางหันกลับมาบอกใบ้ หยางเจาชิงส่งสัญญาณมือให้เปิดหน้าต่างทั้งหมดทันที มีทิวทัศน์ด้านนอกคอยขับดุน เพิ่มสีสันให้บรรยากาศการเดิมในตึกศาลาแล้วไม่น้อย

พอตรงนี้เปิดหน้าต่างออก ผู้หญิงสองคนที่เดินเล่นพูดคุยสัพเพเหระกันด้านนอก ที่จริงแล้วความสนใจยังไม่พ้นทางฝั่งนี้ หลังจากสังเกตเห็น นางก็สบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่าพวกนางสามารถกลับไปได้แล้ว ไม่นานก็กลับมาพร้อมกัน ยังคงสนิทกันเหมือนพี่น้อง ต่างคนต่างมานั่งลงข้างกายผู้ชายของตัวเอง

ผู้ชายทั้งสองก็ไม่ได้คุยอะไรที่เป็นการเป็นงานอีก ทำเรื่องสำคัญให้เป็นรูปธรรมก็พอ ขอเพียงสร้างความสัมพันธ์ที่เชื่อใจกันได้แล้ว เรื่องรายละเอียดก็สามารถพูดคุยกันโดยตรงได้เลย สามารถเจรจาหรือเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ถึงอย่างไรต่อให้ตอนนี้แผนการจะละเอียดขนาดไหน แต่ก็รับประกันได้ยากว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงกะทันหัน ดังนั้นยากจะกำหนดรายละเอียดให้ได้ภายในครั้งสองครั้ง เถิงเฟยเองก็ต้องกลับไปย่อยข้อมูลก่อนแล้วค่อยวางแผนเช่นกัน จะให้เชื่อทั้งหมดที่เหมียวอี้พูดไม่ได้

“ไม่ได้ทำให้หวังเฟยโมโหใช่ไหม?” เถิงเฟยถามจูโยวเหม่ยปนเสียงหัวเราะ

เมื่อพวกนางเห็นสีหน้าของผู้ชายทั้งสอง ก็รู้ทันทีว่าเป็นสถานการณ์ที่น่ายินดีมาก จูโยวเหม่ยแอบส่งสายตาให้อวิ๋นจือชิวทันที แล้วพูดถ่อมตัวว่า “ไม่รู้ว่าผู้น้อยทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะสมไปหรือเปล่า”

อวิ๋นจือชิวพูดต่อทันที “จะเป็นไปได้ยังไง! น้องโยวเหม่ยมักรู้สึกว่าตัวเองอยู่ต่ำกว่าข้าหนึ่งระดับ เอาแต่เคารพข้าเหมือนเป็นหวังเฟยอะไรนั่น ทำเอาข้าอึดอัดไปทั้งตัว! พอพูดถึงเรื่องนี้ เกรงว่าสตรีอายุน้อยอย่างข้าจะพูดสิ่งที่ทำให้ท่านอ๋องไม่ชอบฟัง ท่านอ๋องเถิงฟังแล้วอย่าโกรธเคืองเชียวนะคะ!”

“อ้อ!” เถิงเฟยร่าเริง “งั้นก็ต้องตั้งใจฟังแล้ว!” ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็คงทำลายอารมณ์ดีของเขาไม่ได้

เหมียวอี้เผยแววตาเฝ้าคอยเช่นกัน เขาวางใจกับจุดนี้มาก ในด้านการต้อนรับขับสู้คน อวิ๋นจือชิวรู้จักควบคุมความเหมาะสมมากกว่าเขา ไม่พูดอะไรซี้ซั้วแน่นอน

อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “ข้าเห็นน้องโยวเหม่ยแล้วถูกชะตาเหมือนรู้จักกันมานาน รู้สึกว่าน้องสาวไม่เลวเลย ไม่รู้ว่าทำไมท่านอ๋องเถิงถึงปล่อยให้ตำแหน่งฮูหยินเอกว่างไว้ ไม่เลือกคนดีๆ มาเสียที อย่าบอกนะว่าน้องโยวเหม่ยไม่คู่ควรกับสถานะหวังเฟ?” คำพูดนี้ตรงไปตรงมาพอสมควร ค่อนข้างไม่น่าฟังเท่าไหร่

เหมียวอี้รู้สึกอึ้งในใจเล็กน้อย แอบพึมพำอย่างแปลกใจว่า อวิ๋นจือชิวกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเหรอ? ไปแทรกแซงเรื่องในครอบครัวคนอื่นทำไม? พวกเรายังไม่ถึงขั้นบังคับเรื่องในครอบครัวอีกฝ่ายได้กระมัง?

หารู้ไม่ว่าจูโยวเหม่ยก็ไม่ใช่เล่นๆ ทำกลางอนุภรรยามากมาย นางสามารถโดดเด่นออกมาช่วยเถิงเฟยชักใยได้ก็ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกๆ ต่างก็รู้ว่าอวิ๋นจือชิวมีอิทธิพลทางคำพูดต่อหนิวโหย่วเต๋อมาก เรื่องในครั้งนี้ทำให้จูโยวเหม่ยมองเห็นโอกาสแล้ว ตอนที่เพิ่งออกไปเดินเล่น นางระบายทุกข์ให้อวิ๋นจือชิวฟัง หวังว่าอวิ๋นจือชิวจะช่วยน้ำสักหน่อย บอกว่าในภายหลังจะต้องตอบแทนอย่างดีแน่

จะขอบคุณหรือไม่ขอบคุณอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้ใส่ใจ ก็แค่พูดสิ่งที่อยู่นอกประเด็นสำคัญก็เท่านั้นเอง การถือโอกาสแสดงน้ำใจไม่ได้มีอุปสรรคมากนัก ไม่แน่ว่าในภายหลังอาจต้องให้จูโยวเหม่ยช่วยท่านอ๋องก็ได้ ถ้าใช้ผลประโยชน์ผูกมัดจูโยวเหม่ยไว้ จูโยวเหม่ยก็ต้องอยากพยายามสุดความสามารถเพื่อให้เรื่องนี้สำเร็จอยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุด ถ้าจูโยวเหม่ยอยากจะเป็นหวังเฟยจริงๆ มีน้ำหนักมากพอที่จวนอ๋องเถิง รักษาความสัมพันธ์อันดีไว้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ต่อจากนี้ถ้าโถงชุมนุมอัจฉริยะมีปัญหาอะไรในเขตทัพตะวันออก บอกจูโยวเหม่ยคำเดียวแล้วจะช่วยไม่ได้เชียวเหรอ?

ส่วนในตำหนักสวรรค์จะมีหวังเฟยเพิ่มขึ้นอีกคนหรือไม่ จะทำลายสง่าราศีหรือคุณภาพทองของมงกุฎหวังเฟยหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นจือชิวสนใจ

เถิงเฟยอึ้งทันที นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นจือชิวจะเอ่ยถึงสิ่งนี้ มองเหมียวอี้โดยจิตใต้สำนึก ไม่รู้ว่าเป็นความคิดของเหมียวอี้หรือเปล่า มองออกว่าเหมียวอี้มีสีหน้าเหนือความคาดหมายเช่นกัน คงจะไม่ใช่ความคิดของเหมียวอี้ รู้สึกว่าเหมียวอี้ไม่น่าจะเข้ามายุ่งเรื่องประเภทนี้ น่าจะเป็นเรื่องระหว่างผู้หญิงด้วยกัน

แต่พออวิ๋นจือชิวเอ่ยปากอย่างนี้แล้ว เขาก็ไม่ถึงขั้นมองข้าม รู้เช่นกันว่าอวิ๋นจือชิวมีความสำคัญยามอยู่ข้างกายเหมียวอี้

สิ่งที่เขาพิจารณาก็คือ งานใหญ่กำลังจะมาถึง ถ้าจูโยวเหม่ยได้รักษาความสัมพันธ์อันดีกับผู้หญิงที่มีความสำคัญข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร อวิ๋นจือชิวเอ่ยปากแบบนี้แล้ว ถ้าเขาปฏิเสธก็จะทำให้จูโยวเหม่ยผิดหวัง อย่าทำอะไรวุ่นวายจะดีที่สุด ด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของผู้หญิง บางครั้งก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำเรื่องโง่อะไรออกมาได้บ้าง อย่างไรเสียจูโยวเหม่ยก็เข้ามาเกี่ยวข้องกับงานใหญ่นี้แล้ว รู้สถานการณ์อยู่บ้าง ทั้งยังสนิทกับอวิ๋นจือชิวด้วย

และการที่อวิ๋นจือชิวพูดสิ่งนี้ออกมาได้ เขาเองก็กำลังพิจารณาเช่นกัน ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกว่าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดหรือเปล่า เลยกำลังเตือนให้ตัวเองคุมจูโยวเหม่ยเอาไว้?

ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ทำกลางอนุภรรยาของเขา จูโยวเหม่ยนับเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ให้นางเข้ามายุ่งเรื่องนี้ด้วย ถ้าทำงานใหญ่ครั้งนี้สำเร็จ จูโยวเหม่ยก็ถือว่าได้สร้างผลงานอยู่บ้าง สร้างผลงานก็ต้องตบรางวัลไม่ถือว่าเกินไป

เพียงแต่ว่า มีหลายเรื่องที่เขาจะไม่พิจารณาก็ไม่ได้ ต้องพิจารณาอีกว่าถ้าแต่งตั้งจูโยวเหม่ยเป็นหวังเฟยแล้ว จะสร้างผลกระทบอะไรในครอบครัว

จูโยวเหม่ยที่อยู่ข้างกันรู้สึกกังวลเล็กน้อย การที่นางขอร้องไห้อวิ๋นจือชิวช่วยเอ่ยปากได้ ก็ย่อมเป็นเพราะมองเห็นโอกาสแล้ว ไม่อย่างนั้นจะขอร้องให้ฝ่ายนี้เข้ามายุ่งเรื่องในครอบครัวของตระกูลเถิงได้อย่างไร ชอบแบบนี้ไม่เหมาะสมกับธรรมเนียมและไม่เข้าท่าด้วย แต่ถ้าปล่อยให้โอกาสดีๆ อย่างนี้ผ่านไป เมื่อพลาดแล้วก็น่าเสียดายมาก สถานการณ์ผันผวนข้างนอกมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้ชายตำแหน่งสูงเยอะมาก ถ้ามีผลกระทบอะไรนิดเดียว ก็ร้ายแรงกว่าการแข่งขันของผู้หญิงในบ้านอย่างพวกนางเป็นร้อยเท่า

ตอนนี้เรียกได้ว่ากระสับกระส่าย กำลังแอบสังเกตปฏิกิริยาของเถิงเฟย นางอยากจะใช้โอกาสครั้งนี้ทดสอบเถิงเฟยจะมีโอกาสให้ตำแหน่งแก่นางหรือไม่

ไม่เห็นเถิงเฟยเงียบไป เหมียวอี้ก็นึกว่าเขาไม่เต็มใจ กล่าวด้วยรอยยิ้มทันทีว่า “ฮูหยินของข้าเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาตลอด ท่านอ๋องอย่าเก็บไปใส่ใจ” ขณะที่พูดก็ส่งสายตาตำหนิอวิ๋นจือชิว

เถิงเฟยที่เคยครุ่นคิดถึงสถานการณ์ในบ้านกลับโบกมือ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “คำเตือนของหวังเฟยใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล!” เขาหันไปมองจูโยวเหม่ยที่อยู่ข้างกัน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าครั้งนี้ได้ร่วมงานกับท่านอ๋องหนิวอย่างมีความสุข ข้าก็ขอสัญญาตรงนี้เลย หลังจากจบเรื่องข้าจะให้เจ้าดูแลงานในตระกูลเถิงอย่างชอบธรรมตามฐานะ!”

เมื่อได้ยินแบบนี้ จูโยวเหม่ยก็ดีใจจนแทบคลั่ง อดทนมาตั้งหลายปี แข่งขันกับพวกนางตัวดีครั้งแล้วครั้งเล่ ในที่สุดก็ได้ยินประโยคที่รอมานานแล้ว

ไม่ดีใจแทบบ้าก็แปลกแล้ว ถ้าสามารถร่วมงานกันอย่างมีความสุขได้หมายความว่าอะไรล่ะ? ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ ถ้าทำไม่สำเร็จก็อาจบ้านแตกสาแหรกขาด อาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ยังจะหวังตำแหน่งฮูหยินเอกอะไรกัน? แต่ถ้าเรื่องนี้สำเร็จ เช่นนั้นนางก็จะได้เป็นหวังเฟยของทั้งทัพตะวันออกแล้ว ไม่ใช่เป็นแค่หวังเฟยครึ่งทัพตะวันออก ถ้าสมปรารถนาเมื่อไหร่ ฐานะก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นแค่เท่าเดียว!

พูดตามตรงว่านางมีความมั่นใจในการร่วมงานกับฝั่งเหมียวอี้มาก เป็นเพราะผลงานการรบของเหมียวอี้เจิดจรัสมาก ไต่เต้าขึ้นมาตลอดทางแบบเทพขวางก็ฆ่าเทพ พระขวางก็ฆ่าพระ ไม่มีศึกไหนที่รบไม่ชนะ!

แต่ภายนอกนางกลับกล่าวอย่างกระบิดกระบวนว่า “ท่านอ๋อง พูดเรื่องในบ้านที่นี่ได้ไงคะ”

อวิ๋นจือชิวเม้มปากยิ้ม รู้สึกได้ว่าจูโยวเหม่ยส่งสายตาซาบซึ้งมาให้ พบว่าผู้หญิงคนนี้เล่นละครได้แนบเนียนจริงๆ วางอุบายไว้แล้วยังมาอวดฉลาดต่อหน้านาง เป็นคนที่ถูกหล่อหลอมมาจากการแข่งขันในเรือนชั้นในจริงๆ ไม่แปลกใจที่โดดเด่นขึ้นมาได้ในจวนอ๋องสวรรค์เถิง

เถิงเฟยโบกมืออย่างใจกว้าง แล้วหัวเราะเสียงดัง “ไม่เป็นไร ไม่โทษคนนอกเลย ในเมื่อหนิวหวังเฟยเอ่ยปากทวงความยุติธรรมให้เจ้าแล้ว อ๋องผู้นี้ก็ต้องตอบรับสิ!”

จูโยวเหม่ยก้มหน้าอย่างเขินอายเล็กน้อย ทำท่าเหมือนเกรงใจ

ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่นางลงมือได้แม่นยำแล้วจริงๆ อาศัยแรงภายนอกมาเอาชนะอนุภรรยาทั้งหมดของเถิงเฟยได้ในรวดเดียว

เถิงจงที่อยู่ข้างๆ กลับรีบมองจูโยวเหม่ยแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววระแวดระวัง

หยางเจาชิงที่อยู่ตรงข้ามก็มองจูโยวเหม่ยหลายทีด้วยสีหน้าครุ่นคิดเช่นกัน

ในฐานะที่เป็นพ่อบ้าน เห็นการสมคบแย่งชิงความโปรดปรานของเรือนชั้นในมาจนชินแล้ว ในบ้านของเหมียวอี้น้ำก็ขุ่นเช่นกัน คนที่อยู่นอกสถานการณ์มองเห็นอะไรได้ชัดเจน อย่างน้อยพ่อบ้านทั้งสองก็รู้ชักว่าเถิงเฟยและเหมียวอี้…

หลังจากนั้น เหมียวอี้ที่อยู่ในฐานะเจ้าบ้านก็ยอมต้องรั้งให้เถิงเฟยอยู่เที่ยวเล่นหลายวัน

แต่เป็นคำพูดตามมารยาทล้วนๆ เรื่องนี้ถูกกำหนดแล้ว นอกจากเถิงเฟยจะต้องรีบกลับไปวางแผน มาที่นี่ก็ไม่ได้มาเพื่อเที่ยวเล่น เดิมทีก็มาอย่างเป็นความลับอยู่แล้ว ยิ่งอยู่นานก็จะยิ่งถูกเปิดโปงได้ง่าย ย่อมต้องกล่าวขอตัวจากไป

เหมียวอี้กับฮูหยินไม่สะดวกจะออกไปส่ง และไม่สะดวกจะออกไปพร้อมกับพวกเขาด้วย ดังนั้นทั้งสองจึงออกมาจากตึกศาลาก่อน ปล่อยให้อีกสองคนปลอมตัว ส่วนเรื่องส่งพวกเขาออกไปนั้นเป็นหน้าที่ของหยางเจาชิง เรื่องเล็กแค่นี้พ่อบ้านหยางไม่ถึงขั้นเตรียมการได้ไม่ดี

เมื่อออกจากอุทยานเล็กแล้ว เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าไปยุ่งเรื่องในครอบครัวเขาทำไม?”

“ข้าอยากยุ่งเสียที่ไหนล่ะ เป็นจูโยวเหม่ยที่ขอร้องข้า…” อวิ๋นจือชิวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังทันที และบอกสาเหตุที่ตัวเองช่วยให้ฟังด้วย สุดท้ายก็วิจารณ์จูโยวเหม่ยว่า “ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน!”

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “เจ้าก็กำลังใช้ประโยชน์อีกฝ่ายเหมือนกันเหรอ? ต่อให้ไม่ธรรมดาขนาดไหน แต่ก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือตลอด”

ใช้ประโยชน์? คำพูดนี้อวิ๋นจือชิวไม่ชอบฟัง นางทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “นางจะหนีพ้นเงื้อมมือข้าได้หรือเปล่าแล้วเกี่ยวอะไร ขอแค่ทำให้เจ้าหนีไม่พ้นเงื้อมมือข้าไปทั้งชีวิตก็พอแล้ว”

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก กลอกตามองบน  สะบัดแขนเสื้อสองข้าง เอามือไขว้หลังเดินก้าวยาวออกไป

อวิ๋นจือชิวอารมณ์ดี นางหลุดขำออกมา แล้วรีบเดินตามไป…

เมื่อส่งเถิงเฟยกลับไปแล้ว ตอนหยางเจาชิงกลับมาก็ผ่านศาลาหลังหนึ่ง เห็นหยางชิ่งยืนเอามือไขว้หลังมองเขาด้วยรอยยิ้ม จึงรีบเดินเข้าไปถามว่า “มีเรื่องอะไร?”

“ไม่มีเรื่องอะไร” หยางชิ่งส่ายหน้า แล้วถามอีกว่า “คนไปแล้วเหรอ?”

“ไปแล้ว!” หยางเจาชิงไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ จู่ๆ ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ใต้หล้านี้คงกำลังจะวุ่นวายใหญ่โตแล้ว”

หยางชิ่งยิ้มเรียบ “แต่ไหนแต่ไรมาไปใต้หล้านี้ก็ไม่เคยวุ่นวาย จะวุ่นวายก็เพราะมีคนกำลังก่อกวน วุ่นวายไปวุ่นวายมาก็เพราะคนเท่านั้น ใต้หล้าก็ยังคงเป็นใต้หล้าเดิม…จะว่าไปแล้ว ถ้าใต้หล้านี้ไม่วุ่นวาย แล้วท่านอ๋องจะลงมือจากตรงไหนล่ะ?”

ดูจากความปลงของทั้งสองคน ก็เห็นได้ชัดว่ารู้สึกกังวลกับการตัดสินใจของเหมียวอี้ แต่ก็รู้ว่าเกลี้ยกล่อมไม่ไหว ถ้าเป็นเรื่องที่เหมียวอี้ตัดสินใจแล้ว ก็ยากที่จะมีคนเปลี่ยนแปลงได้

จู่ๆ ทั้งสองที่กำลังรู้สึกปลงก็หุบปาก รู้สึกได้ว่าตรงทางเดินด้านล่างมีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้

สาวใช้สองคนที่เก็บกวาดอุทยานเล็กแล้วมาทางนี้ หลบแอบกินอาหารอยู่ใต้บันไดตรงหัวมุม ทั้งยังซุบซิบกันอยู่ด้วย

“ไม่รู้ว่ามีแขกที่ไหนมา ต้องให้ท่านอ๋องกับหวังเฟยมารับรองด้วยตัวเอง อาหารดีๆ ที่หากินได้ยากพวกนี้ ยังไม่ทันกินก็จะโยนทิ้งหมดแล้ว น่าเสียดายเกินไป”

“พวกเขาได้กินดีๆ จนชิน จะแยแสของพวกนี้ได้ยังไง ไม่กินก็ดีแล้ว ถ้าไม่ทำสกปรกก็พอให้พวกเราได้ลิ้มลองของใหม่พอดี”

“ก็ใช่ เป็นหวังเฟยนี่ดีจริงๆ เจ้าดูสิว่าวันๆ ก็ไม่ทำอะไร เที่ยวเล่นกินดื่มสบายใจ ทั้งยังมีคนคอยปรนนิบัติเป็นโขยง…”

พอได้ยินเสียงหัวเราะของหยางชิ่งดังแว่วมาจากข้างบน ไม่รู้ว่าถ้าให้เหมียวอี้ได้ยินแล้วจะคิดอย่างไร เวลาเหมียวอี้ไม่ฝึกตนก็จะยุ่งอยู่กับการใช้กำลังความคิดกับงาน มีความกังวลเรื่องชีวิตตลอดเวลา ทุกการเคลื่อนไหวมีผลกระทบกับสถานการณ์ภาพรวมของใต้หล้า นึกไม่ถึงว่าในสายตาคนพวกนี้จะเป็นการเที่ยวเล่นกินดื่มสบายใจทั้งวัน แต่ที่พูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน สาวใช้สองคนนี้จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเหมียวอี้กำลังยุ่งอยู่กับอะไร จะไปรู้ได้อย่างไรว่าการกินอาหารมื้อเดียวนั้นตัดสินชะตากรรมของคนในใต้หล้ามากมายขนาดไหน ในสายตาคนบางคนจับจ้องอยู่แค่เพียงอาหารเลิศรสบนโต๊ะเท่านั้น

หยางชิ่งถอนหายใจ หันตัวส่ายหน้าเดินออกไป ส่ายหน้าให้กับสาวใช้สองคนนั้น โชคร้ายหรือไม่ล่ะ แอบนินทาลับหลังแต่ดันให้พ่อบ้านใหญ่จวนท่านอ๋องอย่างหยางเจาชิงได้ยินเข้าแล้ว ถ้าแค่แอบกินอาหารก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถึงอย่างไรก็เป็นของที่ต้องจัดการอยู่แล้ว มีคนกินก็ดีกว่าไม่มีคนกิน ดีกว่าทิ้งขว้างให้สิ้นเปลือง เขารู้ว่าหยางเจาชิงไม่ถือสาเรื่องนี้แน่นอน แต่ประเด็นก็คือนินทาในสิ่งที่ไม่ควรนินทา ท่านอ๋องเชิญใครมาเป็นแขก พวกเจ้าพูดซี้ซั้วได้เหรอ? ไม่คิดเสียบ้างว่าท่านอ๋องกับหวังเฟยไปต้อนรับด้วยตัวเองหมายความว่าอย่างไร ถ้าเรื่องนี้ได้ยินถึงหูคนอื่น ดีไม่ดีอาจจะสังเกตเห็นเบาะแสอะไรก็ได้

เขาเดาชะตากรรมของสาวใช้สองคนนี้ได้แล้ว แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะสนใจ ถ้าไม่จำเป็นเขาก็จะไม่เข้าไปแทรกแซงงานในจวนท่านอ๋อง นั่นคือสิ่งที่หยางเจาชิงดูแล มิหนำซ้ำจวนท่านอ๋องก็กว้างใหญ่ขนาดนี้ ทุกปีล้วนมีทั้งคนที่น่าสงสารและไม่น่าสงสารตายไป ที่จวนอ๋องสวรรค์หนิวยังดีหน่อย มีอวิ๋นจือชิวข่มอยู่จึงไม่กล้าทำอะไรเกินไป

พอเสียงฝีเท้าบนบันไดเงียบลง สาวใช้สองคนที่หลบอยู่ใต้บันไดก็ปิดปากสนิทและหยุดหายใจ

หารู้ไม่ว่าหยางเจาชิงที่ยืนนิ่งอยู่ตรงบันไดเริ่มทำสีหน้าบูดบึ้งแล้ว

ผ่านไปครู่เดียว พ่อบ้านคนหนึ่งของจวนท่านอ๋องก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา พอเห็นสีหน้าหยางเจาชิง เขาก็ตกใจแทบแย่ ทำความเคารพอย่างหวาดกลัวตัวสั่น “คำนับพ่อบ้านใหญ่!”

หยางเจาชิงจ้องเขาอย่างเย็นเยียบ “เรื่องที่ควรพูดหรือไม่ควรพูดในจวนท่านอ๋อง ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าอีกไหม? เจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง?”

พ่อบ้านคนนั้นตกใจจนเหงื่อกาฬแตก

ในวันนั้น สาวใช้กลุ่มหนึ่งถูกเรียกมารวมกัน แล้วสาวใช้สองคนนั้นก็ถูกพ่อบ้านตีตายท่ามกลางสาวใช้เหล่านั้น…

……………