บทที่ 2141 เตือนด้วยความหวังดี

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินเดือดทันที ไม่ต่างอะไรกับการถูกคนเหยียบเท้า กล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบทันที “สนมลี่ เจ้ารู้แล้วยังแสร้งถามทำไม? ไม่ใช่เพราะนางตัวดีนั่นหรอกเหรอ ไม่รู้ว่าใช้วิชามารอะไร ยั่วยวนจนฝ่าบาทหลงไม่ลืมหูลืมตา ตามความเห็นของข้า นางตัวดีนั่นน่ารังเกียจกว่าพระปีศาจเสียอีก!”

“เฮ้อ!” สนมลี่ถอนหายใจ จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “หม่อมฉันได้ยินข่าวบางอย่างมาเพคะ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ หวังว่าเหนียงเหนียงจะระวังไว้นะเพคะ อย่าตกหลุมพรางคนต่ำช้า!”

“ข่าวอะไร?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตื่นตัวทันที

สนมลี่อึกอักเหมือนพูดไม่ออก สุดท้ายก็ส่ายหน้า “เป็นแค่ข่าวลือเล็กน้อยเท่านั้น อาจไม่น่าเชื่อถือ หม่อมฉันไม่กล้าบอก”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จึงกล่าวเสียงต่ำว่า “สนมลี่ อย่ามาเล่นลูกไม้กับข้านะ ข้าอยู่ที่วังสวรรค์มาไม่ใช่แค่วันสองวัน มีผู้หญิงแบบไหนบ้างที่ไม่เคยเจอ เจ้าอ้อมค้อมอยู่ตั้งนาน ไม่คิดจะบอกอะไรข้าสักหน่อยเหรอ? ทำไมต้องแสร้งระวังตัว ว่ามาเถอะ ข้าไม่ลงโทษเจ้าก็สิ้นเรื่อง!”

โดนอีกฝ่ายพูดแทงใจดำ สนมลี่เก้อเขินนิดหน่อย กวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าข้างกายไม่มีใคร ก็กล่าวอย่างระวังตัวว่า “หม่อมฉันได้ยินว่าฝ่าบาทอยู่ที่พระตำหนักอุทยาน จะได้แอบเข้าไปหาสนมสวรรค์ที่ตำหนักเย็นได้สะดวก!”

“สนมลี่ เจ้าต้องเข้าใจเรื่องบางอย่างเอาไว้นะ ว่านางตัวดีนั่นโดนถอดบรรดาศักดิ์สนมสวรรค์ไปแล้ว!”

“เพคะๆๆๆ หม่อมฉันปากไม่มีหูรูด เหนียงเหนียงโปรดระงับโทสะ!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำเสียงฮึดฮัด “ยังต้องให้เจ้ามาบอกเรื่องนี้กับข้าอีกเหรอ? ฝ่าบาทอยู่ที่นั่นเพราะคิดจะทำอะไร คนเขารู้กันทั้งนั้น แล้วใครจะทำอะไรฝ่าบาทได้? ต่อไปไม่ต้องมาพูดเรื่องไร้สาระไร้ประโยชน์แบบนี้ต่อหน้าข้าอีก!”

สนมลี่เตือนว่า “เหนียงเหนียง หม่อมฉันได้ยินว่าเรื่องไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น อย่าบอกนะว่าเหนียงเหนียงไม่เคยได้ยินข่าวเลยสักนิด?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หรี่ตา “เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่? อย่ามัวพูดอ้อมค้อม ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด!”

สนมลี่เข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย แล้วกระซิบเสียงเบาว่า “หม่อมฉันได้ยินว่าหญิงนักโทษคนนั้นอยากจะหวนกลับคืนตำแหน่งอีกครั้ง!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หลุดขำ “ฝันไปเถอะ! นางจะอาศัยอะไรมาหวนกลับคืนตำแหน่ง? คิดอยากจะหวนกลับคืนตำแหน่งแล้วจะทำได้เลยเหรอ?”

“ถ้านางมีทายาทให้ฝ่าบาทล่ะเพคะ?” สนมลี่ถาม

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิงสายตาดุร้ายเข้ามาโดยตรง “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?” คำพูดนี้ผิดข้อห้ามของนางแล้ว

สนมลี่ไม่กลัว พูดต่อไปว่า “ขออนุญาตถามเหนียงเหนียง ท่านคิดว่าหญิงนักโทษคนนั้นจะยอมถูกขังในตำหนักเย็นไปทั้งชีวิตหรือเพคะ? ท่านรู้สึกว่าฝ่าบาทจะทำใจกักบริเวณนางไว้ที่ตำหนักเย็นตลอดไปได้หรือเพคะ?”

ในใจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มีคำตอบปฎิเสธแล้ว ในสายตานาง จ้านหรูอี้กำลังเสแสร้งมาตลอด เมื่ออยู่ในวังมีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่เปลี่ยนเป็นมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว สุดท้ายเป้าหมายก็มีเพียงอย่างเดียว มีหรือที่จะยอมโดนขังอยู่ที่ตำหนักเย็นไปตลอด ด้วยนิสัยอย่างประมุขชิง จะต้องไม่หวังให้จ้านหรูอี้อยู่ที่ตำหนักเย็นไปตลอดแน่นอน แต่นางกลับไม่ยอมพูด ได้แต่จ้องสนมลี่อย่างเย็นเยียบ รอให้นางพูดต่อไป

สนมลี่เห็นนางไม่พูดต่อ ทำได้เพียงบอกว่า “หม่อมฉันได้ยินมา หญิงนักโทษคนนั้นเหมือนจะอยากมีทายาทให้ฝ่าบาทเงียบๆ ฝ่าบาทเหมือนจะเห็นด้วย กำลังพิจารณาอยู่ แล้วบางข่าวก็บอกว่า ที่จริงแล้วหญิงนักโทษคนนั้นมีทายาทให้ฝ่าบาทแล้ว บอกว่าหมอตำแยที่ทำคลอดโดนฆ่าปิดปากแล้ว เอาเป็นว่าข่าวนี้ฟังดูเหมือนจริง แต่จนใจที่ตำหนักเย็นถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก ไม่มีใครรู้ถึงเหตุการณ์ข้างใน เพราะเหตุนี้จึงเป็นข่าวลือทั้งหมด หม่อมฉันเองก็ไม่กล้ายืนยันด้วยเพีคะ”

ทว่าคำพูดนี้ทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตกใจแล้ว นางตกใจจนหนังศีรษะชาวาบ ใช่แล้ว! ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าในตำหนักเย็นเกิดเหตุการณ์อะไร ตัวเองประมาทเกินไปจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะมองข้ามช่องโหว่ที่ใหญ่ขนาดนี้ไปได้ เกรงว่าต่อให้นางตัวดีนั่นท้องยื่นแต่นางก็ไม่รู้อยู่ดี นางรู้ว่าประมุขชิงโปรดปรานนางตัวดีนั่นขนาดไหน ถ้านางตัวดีนั่นใช้อุบายนั้นจริงๆ ประมุขชิงไปขลุกอยู่กับนางตัวดีนั่นบ่อยๆ แล้วจะทนนางตัวดีนั่นใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งได้เหรอ?

นางยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ ที่สำคัญก็คือในสายตานาง ถ้าจ้านหรูอี้คิดจะพลิกชะตาอีกครั้ง ก็จะต้องมีแผนการอย่างนั้นแน่นอน แต่ไหนแต่ไรมามารดาก็ล้วนมีวาสนาได้เพราะลูกชาย แล้วยามอยู่ต่อหน้าประมุขชิง คำพูดของนางก็ดันไม่มีน้ำหนักเท่านางแพศยานั่น ถ้าอีกฝ่ายมีลูกชายขึ้นมา ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงจนไม่กล้าจินตนาการถึงจริงๆ ในอนาคตก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกชายนางจะมีจุดจบอย่างไร ในใจนางเริ่มหวาดกลัวแล้วจริงๆ โดนคำพูดของสนมลี่จี้จุดสำคัญแล้ว อนาคตของลูกชายเป็นเพียงความหวังเดียวที่นางลำบากสนับสนุนมาหลายปี!

สนมลี่สังเกตสีหน้าของนางอย่างเงียบๆ เห็นในดวงตานางฉายแววหวาดกลัวแล้ว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฝืนข่มความกระวนกระวายในใจเอาไว้ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ทำไมข้าไม่เคยได้ยินข่าวแบบนี้มาก่อน?”

สนมลี่ถอนหายใจเบาๆ “เหนียงเหนียง ข่าวนี้จริงหรือเท็จหม่อมฉันก็ไม่ทราบ แต่ต่อให้เป็นความจริง ถ้าในวังสวรรค์นี้มีคนอยากจะปิดบังเหนียงเหนียงจริงๆ เกรงว่าเหนียงเหนียงคงเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องนี้…ใช่แล้ว เหนียงเหนียง ตามหลักแล้วตระกูลเซี่ยโห้วควรจะมีข่าวนี้สิ อย่าบอกนะว่าไม่เคยบอกข่าวให้เหนียงเหนียงรู้เลย?”

ประโยคสุดท้ายแทบจะทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กระอักเลือด ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วรู้เรื่องจริงๆ แต่กลับไม่บอกนาง แบบนั้นหมายความว่าอะไรล่ะ? นางกล่าวด้วยสีหน้าดุร้ายว่า “ฝ่าบาทมีคำสั่ง ว่าแม้แต่ข้าก็เข้าไปในตำหนักเย็นของนางตัวดีนั่นไม่ได้ ข้าไม่มีทางตรวจสอบได้เลย ดังนั้นสนมลี่ เจ้าจะพูดจาซี้ซั้วไม่ได้ ข่าวพวกนั้นที่เจ้าได้ยินมามีหลักฐานหรือเปล่า?”

สนมลี่รีบโบกมือ “เหนียงเหนียง หม่อมฉันบอกแล้วไงเพคะ หม่อมฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข่าวนี้จริงหรือเท็จ ล้วนเป็นข่าวที่กึ่งจริงกึ่งเท็จทั้งนั้น หม่อมฉันแค่ไม่ชอบที่เห็นหญิงนักโทษคนนั้นใช้อุบายทำให้คนสับสน ทำให้ฝ่าบาทหลงใหลจนไม่กลับวังสวรรค์ ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ ที่จริงก็ไม่ใช่แค่หม่อมฉันหรอกเพคะ ในวังมีพี่น้องไม่น้อยที่รู้สึกไม่พอใจ โทษว่าฝ่าบาทลำเอียงเกินไป หม่อมฉันหาหลักฐานอะไรไม่ได้จริงๆ เพียงแต่…อย่าบอกนะว่าเหนียงเหนียงไม่รู้จริงๆ ว่าหญิงนักโทษคนนั้นได้ชื่อว่าถูกกักบริเวณ แต่ความจริงเข้าออกตำหนักเย็นได้อย่างอิสระมาตั้งนานแล้ว?”

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดือดดาล ต้องการจะไปถามความจริงจากใครสักคน

สนมลี่กลับดึงแขนเสื้อนางไว้ แล้วตะโกนห้าม “เหนียงเหนียง เรื่องนี้ถ้าแม้แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็ยังไม่บอกท่าน เกรงว่าต่อให้ถามคนข้างกายท่านก็อาจจะไม่น่าเชื่อถือ! ถึงตอนนั้นถ้ามีคนยัดข้อหากลับ บอกว่าหม่อมฉันกำลังกลับผิดเป็นถูก กลับถูกเป็นผิด หม่อมฉันก็รับผิดชอบไม่ไหวนะเพคะ!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำหมัดที่สั้นเทิ้มอยู่ในกระบอกแขนเสื้อ “เจ้าบอกว่านางตัวดีนั้นเข้าออกตำหนักเย็นได้อย่างอิสระ มีหลักฐานเหรอ?” ถ้ามีหลักฐาน นางก็จะไปต่อว่าประมุขชิงสักหน่อย และต้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วให้คำชี้แจงกับตนด้วย!

สนมลี่ส่ายหน้า “เหนียงเหนียง หม่อมฉันไม่มีหลักฐานจริงๆ เพคะ เพียงได้ยินว่าด้านหลังตำหนักเย็นมีหุบเขาแห่งหนึ่งถูกสร้างไว้สวยงามมาก ได้ยินว่าหญิงนักโทษนั่นออกจากตำหนักเย็นไปเที่ยวเล่นที่หุบเขาแห่งนั้นทุกเย็น”

หุบเขาด้านหลังตำหนักเย็น? ถูกสร้างไว้สวยงามมากเหรอ? ทั้งยังออกจากตำหนักเย็นไปเที่ยวเล่นทุกเย็นอีก? เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโกรธ ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ เช่นนั้นยังจะเรียกว่าขังในตำหนักเย็นได้อย่างไรอีก ถ้ามีเรื่องนี้จริง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใครอนุญาต ถ้าไม่มีประมุขชิงอนุญาต นางตัวแสบนั่นจะออกจากตำหนักเย็นได้อย่างไร?

“เหนียงเหนียง!” เมื่อเห็นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันหน้าจะเดินออกไป สนมลี่ก็รีบขวางนางไว้อีก กล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “เหนียงเหนียง! หม่อมฉันทนเห็นหญิงนักโทษนั่นใช้มารยาล่อลวงไม่ได้ ก็เลยบ่นเท่านั้นเอง ท่านจะพูดออกไปไม่ได้เชียวนะเพคะ ไม่อย่างนั้นในภายหลังหม่อมฉันใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้แน่”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แสยะยิ้ม “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ใช่คนที่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง ตอนนี้ข้าจะไปดูที่หุบเขาอะไรนั่นสักหน่อย ถ้ามีเรื่องนี้จริง ก็ไม่ต้องให้ใครเตือนหรอก ข้าจะเห็นเรื่องนี้เองกับตา จะบังเอิญไปเจอเอง!”

สนมลี่ส่ายหน้า “เหนียงเหนียง ไม่ได้เพคะ! ในวังมีหูมีตาของฝ่าบาทอยู่ทุกที่ ถ้าตอนนี้เหนียงเหนียงไปที่นั่น หญิงนักโทษคนนั้นยังจะโผล่หน้ามาอีกหรือเพคะ”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขมวดคิ้ว ไม่ผิดหรอก คำพูดนี้มีเหตุผล ถ้าตัวเองไปรอที่นั่นจริงๆ แล้วผู้ชายเสเพลนั่นรู้ขึ้นมา ตนก็จะไม่มีทางจับได้คาหนังคาเขาแน่นอน นางไตร่ตรองครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าบอกว่านางตัวแสบนั่นไปที่หุบเขาหลังตำหนักเย็นทุกพลบค่ำเหรอ?”

“หม่อมฉันไม่ได้พูดนะเพคะ หม่อมฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน” สนมลี่ตอบ

ใครจะคิดว่าจู่ๆ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะทำสีหน้าสุขุมเยือกเย็น แล้วบอกนางว่า “ข้าไม่ได้ไปเดินเล่นที่อุทยานสายัณห์นานมากแล้ว สนมลี่ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยเถอะ”

“เพคะ!” สนมลี่เอ่ยรับอย่างว่าง่าย

เมื่อเห็นทั้งสองเดินเล่นในสวนอย่างสงบใจเย็นอีก เอ๋อเหมยที่ตามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ระแวงสงสัยไม่หยุด ไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้ทั้งสองคนทำอะไร ทำไมรู้สึกเหมือนมีการถกเถียงอะไรสักอย่างเกิดขึ้น แต่จนใจที่สองคนนั้นแอบถ่ายทอดเสียงคุยกันตลอด ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังพูดเรื่องอะไร นางรู้สึกว่าสนมลี่น่าสงสัยนิดหน่อย เตรียมกลับไปรายงานเรื่องในวันนี้ให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้

วันนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เหมือนมีอารมณ์สุนทรีย์เป็นพิเศษ เดินเล่นที่อุทยานสายัณห์นานมาก แต่ความจริงนิ้วที่อยู่ในกระบอกแขนเสื้อกำลังนับเวลาอยู่ตลอด

หลังจากรอไปพอสมควร คนก็เดินเล่นมาถึงประตูวังสวรรค์แล้วเช่นกัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มองไปนอกประตูวังที่สูงใหญ่แวบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็บอกว่า “ไม่ได้เห็นฝ่าบาทมานานแล้ว ไหนๆ ก็เดินมาถึงตรงนี้แล้ว พวกเราไปดูสักหน่อยเถอะ”

“เพคะ!” คนอื่นๆ ย่อมเอ่ยรับ

เพียงแต่ทหารยามตรงประตูวังกลับขวางไว้แล้วเอ่ยถาม แม้ราชินีสวรรค์จะมีอำนาจในการไปมาอย่างอิสระในเขตวังสวรรค์ เพียงแต่ยังต้องสอบถามทิศทางที่นางจะไปตามระเบียบ พอรู้ว่าจะไปพบฝ่าบาทที่พระตำหนักอุทยาน หลังจากปล่อยนางไปแล้วก็รีบรายงานขึ้นไปทันที แล้วให้ทหารอารักขาที่เกี่ยวข้องเตรียมตัว ไม่อย่างนั้นหากเกิดอะไรขึ้นกับราชินีสวรรค์ ไม่ว่าใครก็รับผิดชอบไม่ไหวทั้งนั้น

ภายใต้การคุ้มกันจากทหารองครักษ์ที่ถูกดึงตัวไปชั่วคราว พวกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เหาะออกจากวังสวรรค์อย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์ที่ตั้งอุทยานหลวง

ในพระตำหนักอุทยาน ระหว่างตึกศาลา ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงกำลังเดินช้าๆ อยู่ข้างกายประมุขชิง

“รู้สถานการณ์ชัดเจนหรือยัง? ทำไมตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยังไม่กลับไปฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์อีก? เมื่อเทียบการเว้นระยะของครั้งนี้กับครั้งก่อนแล้ว ทำไมข้ารู้สึกว่านานกว่า?” ประมุขชิงเอ่ยถาม ทางฝั่งโพ่จวินก็ซักไซ้เรื่องนี้อยู่บ่อยๆ เช่นกัน ให้คนมากมายขนาดนั้นเสียเวลาเตรียมรบอยู่ตลอด ค่ายกลป้องกันกำลังถูกกัดกร่อนจากปราณชั่วร้าย ในแต่ละวันมีการสิ้นเปลืองแล้วไม่น้อย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะทนได้ไม่นานนัก

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบอย่างจนปัญญา “การเว้นระยะยาวกว่าเมื่อก่อนจริงๆ ขอรับ แต่หนิวโหย่วเต๋อออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไปครั้งนี้ก็ผิดปกตินิดหน่อย ไม่เห็นว่าในอาณาเขตทัพใต้มีเรื่องด่วนอะไรให้ออกไปกะทันหัน บางทีอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรที่พวกเรายังไม่รู้ก็ได้ แต่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีประโยชน์ต่อการฝึกตนของหนิวโหย่วเต๋อ เขาต้องกลับไปอีกครั้งแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ระยะเวลาสั้นยาว ฝ่าบาท ครั้งนี้ส่งคนเข้าไปไม่ง่ายเลยจริงๆ ถ้าเลิกล้มตอนนี้ แล้วครั้งหน้าอยากจะหาโอกาสอีกก็ไม่ง่ายแล้วขอรับ!”

ประมุขชิงเงียบไปครู่เดียว แล้วเอียงหน้าบอกซ่างกวนชิงว่า “บอกโพ่จวิน ให้ทำตามแผนของเขาเถอะ”

ความคิดของโพ่จวินก็คือ เสียเวลาต่อไปอย่างนี้ไม่ใช่วิธีการที่ดี ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องสิ้นเปลืองพลังงานไปกับค่ายกลป้องกัน คนก็จะตึงเครียดระยะยาวโดยไม่ผ่อนคลายเลยไม่ได้ ดังนั้นโพ่จวินแนะนำว่า ให้คนที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟพวกนั้นเก็บทัพใหญ่เข้ากระเป๋าสัตว์ และแอบวางกำลังคนที่ไว้ใจได้ไว้บริเวณรอบนอกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ พอมีคนเข้าใกล้เมื่อไร ก็ค่อยแจ้งให้คนข้างในเตรียมตัวใหม่อีกครั้งทันที แบบนี้จะสามารถรักษาสภาพที่ดีที่สุดของทัพใหญ่เอาไว้ได้ ทั้งยังประหยัดทรัพยากรจำนวนมาก ถึงอย่างไรก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเท่าไร โพ่จวินเองก็รู้ว่าการเข้าไปแต่ละครั้งนั้นไม่ง่าย จึงเตรียมตัวเพื่อให้กำลังพลกลุ่มนั้นยืนหยัดอยู่ในระยะยาวแล้ว

ซ่างกวนชิงที่กำระฆังดารากลับไม่รีบตอบเขา แต่ถามอย่างงงงวยว่า “ฝ่าบาท มีข่าวมาจากวังสวรรค์ เหนียงเหนียงออกจากวังมาแล้ว บอกว่ากำลังมาหาท่าน”

……………