บทที่ 2142 นี่คือความลับส่วนตัวของฝ่าบาท

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

“…” ประมุขชิงพูดไม่ออก กลุ้มใจนิดหน่อย สุดท้ายก็บอกว่า “ตามใจนาง เจ้าแจ้งให้ฝั่งโพ่จวินรู้ด้วย”

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ

จากนั้นพวกเขาก็คุยธุระสำคัญกันต่อ…

จวนอ๋องสวรรค์เถิง ริมหน้าผาที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ในป่าที่มืดสลัว เถิงเฟยเอามือไขว้หลังยืนอยู่เงียบๆ

เถิงจงเดินออกจากป่า ย่องเบามาถึงข้างกายเขา แล้วบอกว่า “ท่านอ๋อง เป็นอย่างที่คาดไว้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทนการยั่วยุไม่ไหวเลย ออกเดินทางแล้วขอรับ”

เถิงเฟยกล่าวอย่างกังวลเล็กน้อย “วิธีการแบบนี้ใช้ได้แค่ครั้งเดียว ถ้าให้ประมุขชิงสังเกตเห็นว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่คิดจะทำอะไร ก็จะไม่มีโอกาสครั้งที่สองแล้ว หนิวโหย่วเต๋อยืนยันได้แล้วใช่ไหมว่าวันนี้จ้านหรูอี้จะออกจากตำหนักเย็น?”

“ตามที่ฝั่งนั้นบอกมา ช่วงนี้จ้านหรูอี้ไปที่หุบเขาหลังตำหนักเย็นทุกวัน” เถิงจงตอบ

เถิงเฟยพยักหน้าเบาๆ กล่าวอย่างแปลกใจเล็กน้อย “ด้านหลังตำหนักเย็นที่ใช้กักบริเวณจ้านหรูอี้สร้างหุบเขาที่มีสภาพแวดล้อมงดงามไว้แห่งหนึ่ง ทำไมข้าไม่รู้ข่าวเลยสักนิด? ถ้าประมุขชิงทำสิ่งนี้ให้จ้านหรูอี้จริง จะต้องปิดข่าวไว้อย่างดีแน่นอน แถวนั้นต้องมีกองทัพองครักษ์เตรียมป้องกันแน่ ไม่มีทางปล่อยให้คนนอกรู้ว่าจ้านหรูอี้ทำลายกฎระเบียบ เข้าออกตำหนักเย็นได้ตามอำเภอใจ ไม่อย่างนั้นถ้าข่าวหลุดออกไป ประมุขชิงก็ไม่มีทางชี้แจงได้ แล้วหนิวโหย่วเต๋อรู้ได้ยังไง?”

เถิงจงตอบว่า “จะเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้วหรือเปล่าขอรับ? ถึงอย่างไรตระกูลเซี่ยโห้วก็มีช่องทางข่าวสารที่ไม่ธรรมดา”

เถิงเฟยลังเล “ตระกูลเซี่ยโห้วรู้แล้วจะไม่บอกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เชียวหรือ? เจ้ายืนยันกับฝั่งนั้นอีกที ยืนยันว่าจ้านหรูอี้จะปรากฏตัวหรือเปล่า ถ้าครั้งนี้ไม่ได้ ก็รอให้จ้านหรูอี้ปรากฏตัวครั้งหน้าแล้วค่อยว่ากัน ทางฝั่งสนมลี่จะได้เกลี้ยกล่อมเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้สะดวก จะได้ไม่ทำให้ประมุขชิงสังเกตเห็นเจตนาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่”

เถิงจงพยักหน้าแล้วหยิบระฆังดาราออกมา

จวนอ๋องสวรรค์หนิว เหมียวอี้กำลังยืนพิงระเบียงศาลาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ย่อมรู้ข่าวที่เถิงเฟยจะลงมือที่วังสวรรค์วันนี้แล้ว ฝั่งนี้กำลังรอฟังสถานการณ์จากฝั่งนั้น

พอนึกถึงจ้านหรูอี้ ความคิดของเหมียวอี้ก็ลอยไปไกล ฉากที่อเนจอนาถในปีนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำอย่างยากจะลบเลือน ฉากที่ผู้หญิงคนนั้นขอร้องวิงวอน รวมทั้งตอนที่เขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ จนยอมจ่ายเพื่อพูดสิ่งนั้นกับอิ๋งจิ่วกวง เรื่องในครั้งนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบแค่เขา แต่ยังทำร้ายชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งด้วย ไม่ใช่แค่การเห็นคนเดือดร้อนแล้วไม่ช่วย แต่นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาเริ่มละทิ้งทัศนคติต่อคุณค่าที่ตัวเองยึดถือทีละก้าว ส่งผลกระทบต่อใจเขาอย่างลึกซึ้งที่สุด จนกระทั่งวันนี้ยามนึกถึงก็ยังปวดใจ

เขาทำเรื่องที่ทำร้ายผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาก็รู้อย่างชัดเจน ว่าเพื่องานใหญ่ของตัวเขาเอง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ภายใต้การวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะสร้างความเจ็บปวดให้หญิงที่เป็นผู้บริสุทธิ์คนนั้นอีกครั้ง เขาไม่กล้าคิดถึงแววตาที่ผู้หญิงคนนั้นมองเขาหลังจากรู้ความจริง…

หลังจากหยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ ก็รายงานว่า “ทางฝั่งนั้นบอกว่า พอประมุขชิงสังเกตได้ถึงเจตนาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เกรงว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่คงไม่มีโอกาสจับได้คาหนังคาเขาอีก หวังว่าพวกเราจะยืนยันได้ว่าวันนี้จ้านหรูอี้จะปรากฏตัวที่หุบเขานั่น”

เหมียวอี้สีหน้าตึงเครียด “ให้เว่ยซูถามสักหน่อย”

แม้เซี่ยโห้วท่าจะตายไปแล้ว แต่เว่ยซูที่เป็นโฆษกของเซี่ยโห้วท่าก็ยังอยู่ในมือเขา ทั้งสมาคมอาวุโสยังอยู่ในมือเขา ตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วหนีไม่พ้นการครอบงำของเขา ประมุขชิงปิดสถานการณ์ทางตำหนักเย็นเป็นความลับสุดยอด สายข่าวของเหมียวอี้ก็ไม่รู้สถานการณ์ทางฝั่งนั้นเช่นกัน กองทัพองครักษ์ที่เฝ้าล้วนเป็นคนของอู๋ฉวี่ ประมุขชิงเหมือนไม่กล้าให้รบกวนโพ่จวิน ในบรรดากองทัพองครักษ์เหล่านั้นก็ไม่มีคนของเหมียวอี้ แต่กลับมีคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วรู้อยู่แก่ใจว่าสถานการณ์ทางตำหนักเย็นเป็นอย่างไร เพียงแต่ไม่บอกเท่านั้นเอง

หยางเจาชิงรีบติดต่อตามที่บอก แล้วไม่นานก็รายงานว่า “จ้านหรูอี้ปรากฏตัวแล้วขอรับ!”

เหมียวอี้พยักหน้า หยางเจาชิงที่ได้รับการชี้แนะจากเขาแล้วตอบกลับเถิงจงด้วยข่าวจริงทันที…

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม เฉาหม่านเก็บระฆังดาราในมือเงียบๆ ตอนนี้เป็นเซี่ยโห้วหม่านแล้ว เงยหน้าช้าๆ มองต้นไม้โบราณสูงระฟ้าตรงหน้า ในดวงตาที่สื่อแววหลากหลายอารมณ์เจือความรู้สึกอดทนรอ

เว่ยซูแค่ถ่ายทอดความคิดของบิดามาเท่านั้น เขากลับมิอาจไม่ปฏิบัติตาม เขาไม่รู้และถึงขั้นไม่เข้าใจว่าบิดาคิดจะทำอะไรกันแน่ เขาไม่เคยเคลือบแคลงในความสามารถของบิดาตัวเองเลย ก็เหมือนต้นไม้ใหญ่โบราณสูงระฟ้าต้นนี้ คอยปกป้องทั้งตระกูลเซี่ยโห้ว บังล้มบังฝนให้ตระกูลเซี่ยโห้วเสมอมา

 แต่ตอนนี้เริ่มไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ในการกระทำของบิดาแล้ว แต่กลับมองออกว่าบิดาเพียงซ่อนอยู่หลังม่านเท่านั้น ไม่อยากละทิ้งอำนาจในการควบคุมตระกูลเซี่ยโห้ว ทุกครั้งที่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายก็จะยื่นมือเข้ามาแทรกแซง เขาคิดมาตลอดว่าต้องการกำจัดหนิวโหย่วเต๋อโดยเร็ว แต่บิดายืนกรานไม่อนุญาต บอกว่าตัวเองมีแผนแล้ว เขาไม่รู้จริงๆ ว่าบิดาคิดอย่างไรกันแน่ แต่เขาก็ไม่กล้าซักถามข้อสงสัย! บางครั้งเข้าก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นหุ่นเชิด แต่เขาไม่กล้าไม่เชื่อฟัง เพราะเขาเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่าถ้าทำให้บิดาไม่พอใจ บิดาก็สามารถยึดอำนาจจากมือเขากลับคืนไปได้ทั้งหมดอย่างง่ายดาย

เขาเตือนสติตัวเองอยู่เสมอ ว่าให้อดทน  ต้องอดทน ถึงแม้ตาแก่นั่นจะแกล้งตาย แต่ถ้านับตามอายุขัยจริงๆ ก็มีเวลาอยู่อีกไม่นานแล้ว ตราบใดที่ทำให้ตาแก่พอใจ พอตาแก่จากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ ตัวเองก็จะเป็นเจ้าบ้านที่แท้จริงของตระกูลเซี่ยโห้ว…

“เหนียงเหนียง! ท่านกำลังจะไปไหน?”

ในดาราจักร เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่มาถึงนอกดาวเคราะห์ของอุทยานหลวงกลับไม่ได้เข้าไปโดยตรง เนางกำลังเหาะวนอ้อมหัวหน้าทหารอารักขาที่ติดตามมาจึงก้าวเข้ามาสอบถาม

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตอบเสียงเรียบว่า “ดาวเคราะห์ดวงนี้ ข้าเคยมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่รอบ แต่ยังไม่เคยตั้งใจมองจากด้านนอกเลย ทำไมล่ะ? อย่าบอกนะว่าเจ้ารู้สึกว่าข้าไปดูไม่ได้?”

“มิบังอาจ!” หัวหน้าทหารอารักขาตอบรับอย่างอึดอัดแล้วถอยไปข้างหลัง

ตำหนักเย็น? ตำหนักเย็นคืออะไรล่ะ? หนาวเหน็บเย็นเยียบ โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา มีแต่สิ่งปลูกสร้างที่เย็นเหมือนน้ำแข็ง ไม่มีตึกศาลางดงามให้เจ้าชมทิวทัศน์ ไม่มีดอกไม้ที่สวยสดใส ไม่มีต้นไม้เขียวชอุ่มร่มรื่น ถึงขั้นไม่มีพืชพันธุ์อะไรเลย นอกจากคนเย็นชาจำนวนหนึ่งที่เดินไปเดินมา ก็แทบจะมองไม่เห็นความมีชีวิตชีวาใดๆ ถ้าต้องอยู่ที่ตำหนักเย็นจริงๆ สิ่งที่เผชิญหน้าด้วยส่วนใหญ่ก็คือสิ่งปลูกสร้างที่เหน็บหนาวตลอดไป

ประมุขชิงจะทนดูจ้านหรูอี้กับความลำบากนี้ได้อย่างไร แต่ตำหนักเย็นก็คือตำหนักเย็น ไม่ว่าใครก็ไม่สะดวกจะแก้ไขให้เป็นสวนดอกไม้ที่งดงามดุจผ้าแพร เพราะจะถูกคนนำไปเป้นจุดอ่อนได้ง่าย

ดังนั้นประมุขชิงจึงคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาทางอ้อม เขาไม่แตะต้องตำหนักเย็น แต่จัดแต่งป่าภูเขาที่อยู่ด้านหลังตำหนักเย็นก็ย่อมได้ แน่นอนว่าให้คนมาจัดการตกแต่งอย่างเงียบๆ

ไม่ใช่แค่แอบปรับแต่งอย่างเงียบๆ เรื่องนี้ประมุขชิงไม่บอกแม้แต่จ้านหรูอี้ด้วยซ้ำ บอกจ้านหรูอี้เพียงว่าป่าภูเขาด้านหลังอยู่ในอาณาเขตตำหนักเย็นเหมือนกัน บอกจ้านหรูอี้ว่าสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ บางครั้งก็จะเตรียมให้จ้านผิงและฮูหยินมาพบกับจ้านหรูอี้เงียบๆ ในความเป็นจริง ตำหนักเย็นก็คืออยู่ในกำแพงน้ำแข็งเย็น ป่าภูเขาด้านหลังไม่เกี่ยวข้องกับตำหนักเย็นเลยสักนิด ทว่าประมุขชิงโกหกด้วยความหวังดี เขากลัวว่าหลังจากจ้านหรูอี้รู้ความจริงแล้วจะปฏิเสธความหวังดีของเขา ด้านที่ดื้อด้านของจ้านหรูอี้ทำให้ราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยอย่างเขาทำอะไรนางไม่ได้ ทำได้เพียงแอบเป็นห่วงนาง

ใต้น้ำตกที่ไหลลงมาเป็นเส้นตรงไกลๆ กระแสน้ำแรงเลี้ยวไปยังจุดไกลๆ พอมาถึงตรงหุบเขานี้ก็เหลือเพียงลำธารเท่านั้น ต้นไม้เขียวชอุ่มสูงระฟ้าซ้อนกันเป็นชั้น ภูเขาดอกไม้สวยสดงดงาม เสียงแมลงร้องระงม ใบไม้สีแดงเพลิงเติบโตอยู่สองฝั่งลำธารในหุบเขา ใบไม้แดงที่ปลิวตกลำธารใสหรรษากลิ้งม้วนไปตามกระแสน้ำ

กลัวว่าคนนอกจะมองเห็นเบาะแสอะไร กลัวว่าจ้านหรูอี้จะสังเกตเห็นอะไรด้วย จึงไม่ดัดแปลงให้งดงามหรูหรา มีเพียงความคิดที่จะสร้างสรรค์จุดเด่นด้วยความประณีต แสดงความงดงามของธรรมชาติอีกด้านหนึ่งออกมา

ท่ามกลางป่าใบไม้แดงสองฝั่งของลำธาร บนหน้าผาที่ยื่นออกมาแห่งหนึ่ง จ้านหรูอี้ที่สวมชุดขาวดุจหิมะ ผมยาวปลิวพลิ้วตามสายลมกำลังยืนอย่างสงบนิ่ง ไม่แต่งแต้มเครื่องประทินโฉมและไม่สวมเครื่องประดับใดๆ ยืนหันหน้ารับแสงอาทิตย์ยามอัศดงเงียบๆ อยู่อย่างนั้น สงบนิ่งเยือกเย็น

แสงอาทิตย์ยามอัศดงเฉิดฉาย แสงสว่างส่องทั่วผืนป่า บนหน้าผาสีดำที่อยู่บนใบไม้แดง ภาพที่สตรีชุดขาวดุจหิมะที่ผมยาวและกระโปรงปลิวพลิ้วกำลังอาบแสงอาทิตย์ยามอัศดงนั้นงดงามจนทำให้ใจเจ็บ

นี่คือเวลาที่งดงามที่สุดของที่นี่ ดังนั้นจ้านหรูอี้จึงชอบมาที่นี่ในเวลานี้

ทุกครั้งในเวลานี้ นางถึงได้รู้สึกว่าการได้ใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบคือความงดงามอย่างหนึ่ง

ริมลำธารใต้หน้าผา หยินซวงกับไป๋เสวี่ยหัวเราะคิกคักเป็นระยะ ทั้งสองนั่งยองเก็บตะไคร่น้ำสีเขียวจากบนก้อนหิน แล้ววางบนใบไม้แดงให้ลอยไปตามกระแสน้ำ ดูว่าของใครจะลอยไปไกลกว่ากันโดยไม่พลิกคว่ำ เป็นความสุขที่เรียบง่าย

ทว่าความสุขที่เรียบง่ายนี้อยู่ได้ไม่นาน จู่ๆ หยินซวง ไป๋เสวี่ยก็เงยหน้ามองบนท้องฟ้า แล้วในดวงตาก็ฉายแววตื่นตระหนกหวาดกลัว ทั้งสองลุกขึ้นยืนแล้ว

เสียงหัวเราะเงียบไปแล้ว จ้านหรูอี้สังเกตได้ จึงมองทั้งสองแวบหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าช้าๆ มองบนฟ้า นางทำสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติทันที บนฟ้ามีคนกลุ่มนึงเหาะลงมา ผู้ที่นำหน้ามาก็คือราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่

“เหนียงเหนียง! ที่นี่คือตำหนักเย็น ฝ่าบาทมีคำสั่งว่าห้ามไม่ให้ใครเข้ามาถ้าไม่ได้รับอนุญาต…”

ผู้บัญชาการทหารอารักขาที่ติดตามมาด้วยก็ตกใจเช่นกัน เพิ่งจะพบว่าสถานที่ที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะมาก็คือตำหนักเย็น จึงรีบลนลานห้ามนาง

“ข้าไม่ไปตำหนักเย็น หลีกไป!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตะคอกอย่างเดือดดาล สองตาแทบจะไฟลุก นางเห็นแล้ว นางเห็นแล้วว่าจ้านหรูอี้อยู่นอกตำหนักเย็น  ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องพรรค์นี้จริงๆ นางตัวแสบนั่นเข้าออกตำหนักเย็นได้อย่างอิสระ ไฟโกรธในใจนางแทบจะเผ้าไหม้ทั้งตัว นางไม่สนใจการห้ามของผู้บัญชาการทหารอารักขา ดันทุรังจะบุกเข้าไป

ผู้บัญชาการทหารอารักขาลนลานทำอะไรไม่ถูก ราชินีสวรรค์บอกว่านางไม่ไปตำหนักเย็น ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน เขาก็ไม่กล้าถือวิสาสะลงมือกับราชินีสวรรค์

หยินซวง ไป๋เสวี่ยที่อยู่ด้านล่างกระโดดขึ้นมาบนหน้าผาแล้ว พวกนางมีสีหน้าลนลานหวาดกลัว เมื่อเห็นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ราวกับหนูเห็นแมว รีบประคองแขนจ้านหรูอี้ฝั่งซ้ายฝั่งขวา พูดเร่งอย่างร้อนใจว่า “เหนียงเหนียง เกรงว่าราชินีสวรรค์คงไม่ได้มาดี พวกเรารีบกลับเถอะเพคะ กลับเข้าตำหนักกัน นางไม่กล้าบุกเข้ามาหรอก!”

จ้านหรูอี้ลังเลนิดหน่อย เมื่อเห็นราชินีสวรรค์แล้วไม่ทำความเคารพก็ใช่เรื่อง ที่นี่ก็อยู่ในอาณาเขตตำหนักเย็นเหมือนกัน ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ทหารอารักขาที่อยู่รอบๆ ก็คงไม่ปล่อยให้ราชินีสวรรค์ทำอะไรซี้ซั้วเช่นกัน แต่ก็พิจารณาว่าไม่อยากสร้างปัญหาอะไร นางเองก็รู้สึกว่าไม่เห็นถือว่าไม่ผิด หลบเลี่ยงสักหน่อยดีกว่า

แต่ก็สายไปแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกไฟโกรธเผาจนสมองเลอะเลือน พุ่งเข้าไปอย่างไม่สนใจอะไร ดันทุรังไปเหยียบลงอีกฝั่งหนึ่งของหน้าผา ขวางจ้านหรูอี้ที่อยากจะกลับตำหนัก กำลังจ้องจ้านหรูอี้ด้วยแววตาเย็นเยียบ

“คำนับราชินีสวรรค์!” จ้านหรูอี้ย่อเข่าคำนับ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่สนใจ ค่อยๆ เดินเข้าไปประชิดจ้านหรูอี้

สะเทือนจนกองทัพองครักษ์รอบๆ รีบก้าวขึ้นมา รีบมาขวางหน้าจ้านหรูอี้ไว้ หัวหน้ากลุ่มกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยคำนับราชินีสวรรค์!” ชำเลืองตามองผู้บัญชาการทหารอารักขาที่คุ้มกันส่งราชินีสวรรค์ข้างล่าง เหมือนกำลังถามว่า เจ้ากำลังคิดจะทำอะไร?

ผู้บัญชาการทหารอารักขาคนนั้นก็แอบร้องในใจเช่นกัน เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะหาข้ออ้างเพราะอยากมาที่นี่ ยิ่งนึกไม่ถึงว่าจ้านหรูอี้จะอยู่นอกตำหนักเย็น เขาย่อมรู้ว่าประมุขชิงโปรดปรานจ้านหรูอี้ขนาดไหน แต่ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ราชินีสวรรค์ก็บุกเข้าตำหนักเย็นไม่ได้ เขาก็คงจับตัวราชินีสวรรค์ไม่ได้เช่นกัน ถ้าไม่มีคำสั่งจากฝ่าบาทแล้วล่วงเกินราชินีสวรรค์ นั่นก็ถือเป็นโทษตาย ใครจะไปกล้าล่ะ!

ในดวงตาเขาก็ฉายแววตำหนิอีกฝ่ายเช่นกัน เจ้าให้จ้านหรูอี้ออกมาได้อย่างไร ตำหนักเย็นเหรอ? ถ้าอยู่ในตำหนักเย็น ทหารยามมีคำสั่งของฝ่าบาทอยู่ในมือ ราชินีสวรรค์ก็บุกเข้าไปไม่ได้เช่นกัน นี่พวกเจ้าไม่ได้หาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ

ทหารยามที่คุ้มครองจ้านหรูอี้ก็น้ำท่วมปากเช่นกัน นี่คือความลับส่วนตัวของฝ่าบาทนะ!

………………