บทที่ 1385 ดื่มด่ำกับชัยชนะ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,385 ดื่มด่ำกับชัยชนะ

การแข่งขันจบแล้วไม่ใช่หรือ?

หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบตัว แต่ประตูมิติก็ยังไม่ปรากฏออกมา

หืม?

อย่าบอกนะว่าการแข่งขันยังไม่จบ?

ไม่น่าเป็นไปได้

แต่เมื่อเขากวาดสายตาดูอีกที ประตูมิติก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าแล้ว

และใต้เท้าเหลียนที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันมานานก็ปรากฏกายออกมาด้วยเช่นกัน

หลินเป่ยเฉินตื่นตัวขึ้นมาทันที

เขาไม่แน่ใจว่านางเป็นคนดีหรือไม่

เมื่อสักครู่นี้ บรรดาเทพเจ้าระดับสูงเพิ่งจะฆ่ากันตายไปหมาด ๆ เช่นนั้นการที่ใต้เท้าเหลียนผู้ดูแลสภาเทพเจ้าคนปัจจุบันพลันปรากฏกายขึ้นมา หรือว่านางจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว?

แม้ตนเองจะอยู่ในอาการตื่นตระหนก แต่หลินเป่ยเฉินก็ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าใต้เท้าเหลียนมีหน้าตางดงามยิ่งนัก

ผิวกายขาวผ่องปราศจากตำหนิ

รูปร่างสมส่วนสมบูรณ์แบบ

ผมยาวสลวย

ปิ่นปักผมทองคำเป็นประกายระยิบระยับ

ตัวคนแผ่รัศมีเย็นชา

ใต้เท้าเหลียนสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีดำแนบเนื้อ ยิ่งช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับใต้เท้าเหลียนมากขึ้นไปอีก

หน้าตาที่สวยงาม รูปร่างที่สมบูรณ์แบบ เมื่อรวมเข้ากับความเย็นชาปานราชินีน้ำแข็ง จึงออกมาเป็นความสวยงามที่ลึกลับน่าค้นหา

คลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ต้องยอมรับเลยว่าใต้เท้าเหลียนมีเสน่ห์ไม่เหมือนผู้ใด

โดยเฉพาะสถานะอันสูงส่ง ย่อมไม่มีบุรุษผู้ใดทัดเทียมได้

หลินเป่ยเฉินประสานมือทำความเคารพและกล่าวว่า “ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าเหลียน”

ใต้เท้าเหลียนสบตามองหลินเป่ยเฉินก่อนพยักหน้าเล็กน้อยและเมื่อกวาดสายตามองสภาพโดยรวมของหุบเหวโหยหวน นางก็ถอนหายใจออกมา

ไม่ทราบเลยว่าที่นางถอนหายใจออกมานั้น เป็นเพราะสภาพที่พังทลายของหุบเหวโหยหวน หรือนางถอนหายใจออกมาเพราะเรื่องอื่นกันแน่

ใต้เท้าเหลียนโบกสะบัดแขนเสื้อแผ่วเบา

ลำแสงสีแดงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

เกิดเป็นแสงสว่างครอบคลุมรอบบริเวณ

และทุกสิ่งทุกอย่างที่ตกอยู่ในรัศมีแสงสว่างนั้นก็จะฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพเดิม ด้วยเหตุนี้ หุบเหวโหยหวนที่พังถล่มกลายเป็นหลุมลึกจึงกลับมาเป็นภูผาใหญ่ยักษ์อีกครั้ง แม้แต่สะพานหินโบราณก็กลับคืนมาด้วยเช่นกัน

ให้ตายเถอะ

หลินเป่ยเฉินได้แต่อุทานอยู่ในใจ

นี่มันพลังของเทพเจ้าแห่งการฟื้นฟูชัด ๆ

หรือว่าใต้เท้าเหลียนจะมีพลังในการฟื้นฟูทุกสิ่งทุกอย่าง?

หลินเป่ยเฉินดำเนินความคิดมาถึงตรงนี้ ก็ได้ยินใต้เท้าเหลียนกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีด้วย เจี๋ยนเซียวเหยา เจ้าคือผู้ชนะการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ประจำปีนี้ ว่ากันตามกฎการแข่งขัน เจ้าจะได้รับคัมภีร์เวทมนตร์ระดับสูงสุดหนึ่งเล่ม ศิลาเทวะหนึ่งหมื่นก้อน และสามารถเลือกเข้าสังกัดเทพเจ้าใดก็ได้โดยอิสระ แต่เนื่องจากเจ้าอยู่ในสังกัดของเทพีกระบี่แล้ว หากต้องการย้ายมาสังกัดเทพเจ้าอื่น เจ้าก็ต้องสละสถานะสาวกของเทพีกระบี่เสียก่อน…”

พูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของใต้เท้าเหลียนก็ปรากฏความเคร่งเครียดจริงจังมากขึ้น “พวกเราเองก็เคารพในความสามารถของเจ้าไม่น้อย หากเจ้าต้องการเข้าสังกัดเผ่าเทพพงไพร ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นนักรบเทวะอันดับหนึ่ง”

ประโยคนี้ถูกประกาศผ่านม่านพลังถ่ายทอดสดไปทั่วเมือง

ผู้รับชมจำนวนมากต่างก็รู้สึกอิจฉาริษยาและเกลียดชังในเวลาเดียวกัน

เหตุไฉนเจี๋ยนเซียวเหยาจึงได้โชคดีถึงเพียงนี้?

มีใครบ้างไม่อยากรับข้อเสนอนี้?

“จบสิ้นแล้ว เขาทิ้งเจ้าไปแน่”

“ไม่มีทาง”

“นับตั้งแต่ที่ข้ารู้จักเจ้ามา สังเกตได้ว่าขณะนี้เจ้ากำลังวิตกกังวลอยู่เล็กน้อย”

“ไม่จริงสักหน่อย หากไม่มีข้าสักคน เขาคงไม่มีทางเข้าร่วมการแข่งขันได้ตั้งแต่แรก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด”

“เจ้านี่มันไร้เดียงสาเสียจริง คิดว่าเขาจะจงรักภักดีกับเจ้าขนาดนั้นเชียวหรือ?”

“อิอิ แล้วเจ้าไม่คิดอย่างนั้นหรือไร?”

“หากเจ้ามั่นใจเช่นนั้นจริง ๆ ก็รีบดำเนินตามแผนการได้แล้ว รีบส่งกุญแจไปให้เจี๋ยนเซียวเหยาซะ”

“หุหุ ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว”

หลินเป่ยเฉินตอบรับกลับไปอย่างไม่ลังเล โดยที่มีผู้รับชมการถ่ายทอดสดจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นสักขีพยานว่า “ข้าน้อยยังขอเป็นสาวกเทพีกระบี่ดังเดิมขอรับ”

บ้าบอที่สุด

นี่เขาเพิ่งปล่อยโอกาสทองหลุดมือไปใช่หรือไม่?

แต่หลินเป่ยเฉินไม่มีทางเลือกจริง ๆ

หากเขาละทิ้งเทพีกระบี่ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอาจจะประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่าเขาเป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง

เมื่อถึงตอนนั้นก็จะเป็นเรื่องใหญ่แล้ว

เฮ้อ หลินเป่ยเฉินทำได้เพียงจงรักภักดีกับเทพีกระบี่ต่อไปเท่านั้น

เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บใจเล็กน้อย

แต่คำตอบของเขาทำให้ผู้คนทั่วเมืองเยี่ยเฉิงตกตะลึง

แม้แต่ใต้เท้าเหลียนก็ยังมีแววตาประหลาดใจไม่อยากเชื่อ

“เจ้าแน่ใจหรือ?”

นางถามย้ำออกมาอีกครั้ง “เจ้าลองคิดดูใหม่ดีหรือไม่? การตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลกับเจ้าไปชั่วชีวิตเลยนะ”

ผู้ชนะการแข่งขันจะได้เข้าสู่วิหารต้องห้ามเพื่อเลือกตำแหน่งเทพเจ้าให้แก่ตนเอง

หลินเป่ยเฉินบัดนี้มีสถานะเป็นเซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุนและเป็นเทพเจ้าแห่งแดนรกร้าง

หากได้ตำแหน่งเทพเจ้าเพิ่มอีกหนึ่งตำแหน่ง เท่ากับว่าเขาก็จะมีถึงสามตำแหน่งแล้ว

และหากแผนการของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงดำเนินไปอย่างราบรื่น หลินเป่ยเฉินก็จะกลายเป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของดินแดนทวยเทพ

ดังนั้น เมื่อมีโอกาสก็ต้องลองดู

ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องเปลี่ยนสังกัดในขณะนี้

ใต้เท้าเหลียนจ้องมองหลินเป่ยเฉินอยู่ในความเงียบ จากนั้นจึงพยักหน้าช้า ๆ กล่าวว่า “ประเสริฐ หวังว่าเจ้าคงไม่เสียใจภายหลังก็แล้วกัน”

เห็นหรือยัง เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง

นี่ข้าปฏิเสธใต้เท้าเหลียนเพื่อพวกท่านเลยนะ

หลังจากนี้ก็ทำกับข้าให้ดี ๆ หน่อยแล้วกัน

หลินเป่ยเฉินแอบพูดอยู่ในใจ

สีหน้าของใต้เท้าเหลียนกลับมาเป็นปกติขณะกล่าวว่า “หนึ่งในของรางวัลที่ผู้ชนะจะได้รับคือตำแหน่งเทพเจ้า เจ้าสามารถเข้าไปเลือกในวิหารต้องห้ามได้ตามใจชอบ หากเจ้ามีวาสนา เจ้าก็จะได้พบกับตำแหน่งที่เหมาะสมกับตนเอง”

นางยื่นมือออกมาข้างหน้า

แผ่นป้ายสีดำแกะสลักเป็นรูปธนูดอกหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน

“นี่คือแผ่นป้ายสำหรับเข้าสู่วิหารต้องห้าม”

ใต้เท้าเหลียนกล่าว “คัมภีร์เวทมนตร์และของรางวัลอื่น ๆ ของเจ้าอยู่ในวิหารต้องห้ามเช่นกัน รีบไปเถอะ”

พูดจบ ร่างของนางก็ระเบิดประกายระยิบระยับ

แล้วใต้เท้าเหลียนก็อันตรธานหายไป

หลงเหลือเพียงประตูมิติบนท้องฟ้าเหนือหุบเหวโหยหวน

อ้าว?

จบแล้วเหรอ?

หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองยังไม่ได้ดื่มด่ำกับชัยชนะเลย

พิธีการมอบรางวัลแก่ผู้ชนะ สมควรมีเทพธิดาโฉมงามจำนวนมากนำช่อดอกไม้หรืออะไรทำนองนั้นมามอบให้เขาไม่ใช่หรือ?

ขี้เหนียวกันจริง ๆ

หลินเป่ยเฉินกระโดดเข้าสู่ประตูมิติ

ลมหายใจต่อมา สภาพแวดล้อมรอบกายก็แปรเปลี่ยนไป

เขาเดินออกมาจากวิหารใหญ่ของเผ่าเทพพงไพร

เบื้องหน้าคือวิหารต้องห้าม

วิหารต้องห้ามก่อสร้างเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้านบนครอบทับด้วยยอดหลังคารูปโดม มันมีความสูงเสียดฟ้า ควรเรียกว่าเป็นหอคอยมากกว่าวิหารด้วยซ้ำ

ก้อนหินใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าประตูทางเข้ามีรูปทรงแปลกประหลาด รอบก้อนหินมีมวลพลังหมุนเวียนอย่างปั่นป่วน เพียงใช้ตาเปล่าก็สามารถสังเกตออกว่ามวลพลังเหล่านั้นคือพลังปราณธาตุชนิดต่าง ๆ อันประกอบไปด้วยปราณธาตุไฟ ปราณธาตุลม ปราณธาตุน้ำ ปราณธาตุแสงสว่างและความมืด

“ท่านคือเจี๋ยนเซียวเหยาผู้ชนะคนใหม่ใช่หรือไม่?”

เสียงที่นุ่มนวลและชัดเจนดังขึ้น

เมื่อหลินเป่ยเฉินหันไปมอง เขาก็พบกับบุรุษหนุ่มผู้มีร่างกายผอมสูงคนหนึ่ง บุรุษหนุ่มผู้นี้ยืนประสานมือคำนับหลินเป่ยเฉินอยู่หน้าทางเข้าวิหารต้องห้าม พร้อมด้วยนักรบเทวะจากเผ่าเทพพงไพรผู้ใต้บังคับบัญชาอีกนับสิบคน

หลินเป่ยเฉินไม่รู้จักบุรุษหนุ่มผู้นี้

แต่หากเฉียนหลงอยู่ที่นี่ด้วย เขาก็คงต้องกรีดร้องออกมาด้วยความตกตะลึงแล้ว