บทที่ 656.1 จุดสูงไม่มีใคร

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เผยเฉียนเปิดประตูเรือน โจวหมี่ลี่ยืนถือไม้เท้าไว้ในมือ บนบ่าหาบคานเล็ก แต่ละฝั่งของคานเล็กหาบเมล็ดแตงไว้หนึ่งถุง แม่นางน้อยชุดดำกำลังคุยเล่นกับสิงโตหินหน้าประตู คนหนึ่งพูดเจื้อยแจ้ว อีกฝ่ายเงียบกริบ คุยกันถูกคอยิ่งนัก

โจวหมี่ลี่ได้ยินเสียงแอดตอนประตูเปิดก็รีบหันหน้าไปมองเผยเฉียน กำลังจะสอบถาม เผยเฉียนกลับบอกเป็นนัยแก่หมี่ลี่ว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร จากนั้นก็หันไปมองสันหลังคาแห่งหนึ่งที่ห่างไปไกล

ปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ผู้นั้นยืนอยู่บนหลังคาของสิ่งปลูกสร้างงามประณีต ในเมื่อตอนนี้ถูกค้นพบร่องรอยแล้ว เขาจึงคิดจะไปจากที่แห่งนี้ นำเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ไปรายงานให้ฮ่องเต้หนุ่มในวังหลวงทราบ ในความเป็นจริงเขาเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก ก็แค่ว่าฮ่องเต้หนุ่มหวาดกลัวเด็กสาวที่เดินขึ้นฟ้าไปออกหมัดต่อยให้ทะเลเมฆสะเทือน จึงรีบออกคำสั่งให้เขามาตรวจสอบดูสถานการณ์ เขามาช้าไปหน่อย เห็นเพียงว่าหญิงสาวคนนั้นหวนกลับคืนมาสู่พื้นดินดุจลูกธนูที่พุ่งออกจากแล่ง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับตอนที่เมืองหลวงสั่นสะเทือน เส้นทางมังกรเคลื่อนขยับรุนแรงก่อนหน้านี้ ยามที่เด็กสาวพลิ้วกายลงพื้นกลับตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง ประหนึ่งขนนกที่ร่วงลงพื้น นี่ยิ่งทำให้ปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธผวาพรั่นพรึง เมื่อเดินถึงจุดสูงสุดก็คือขอบเขตแห่งความสุดยอด

หลังจากที่มารร้ายติงอิงตายไปอย่างเฉียบพลัน อวี๋เจินอี้ที่หันมาฝึกวิชาเซียนก็หายตัวไป จากนั้นก็มีข่าวลือบอกว่าเขาบินทะยานออกไปนอกฟ้าอย่างลับๆ แล้ว โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์และราชครูจ้งชิวก็ทยอยกันออกเดินทางไกล พวกยอดฝีมือลำดับต้นๆ ทั้งหลายอย่างลู่ฝ่างแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งลู่ไถที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มา ไม่ถึงสิบปีก็สามารถรวบรวมกองกำลังของลัทธิมาร สุดท้ายนัดรบกับอวี๋เจินอี้ก็หายเข้ากลีบเมฆไปด้วย จากนั้นมายุทธภพในใต้หล้าก็ไม่มียอดฝีมือปรากฏตัวมานานหลายปีแล้ว

หรือว่า ‘เด็กสาว’ ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็คือผู้บรรลุมรรคาที่ใช้ศาสตร์คงความเยาว์ในตำนานคนหนึ่ง?

คือเจ๋อซียนที่หล่นลงมาจากฟ้าแล้วเดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่?

ตอนนี้โชคชะตาของยุทธภพเริ่มสั้น ทว่ากลิ่นอายของเซียนบนภูเขายิ่งนานกลับยิ่งเข้มข้น มีความมหัศจรรย์พันลึกนับร้อยนับพันรูปแบบ มากมายจนนับไม่ถ้วน

คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวเดินแค่ไม่กี่ก้าว อันดับแรกนางกระโดดขึ้นมาบนกำแพงก่อน จากนั้นทะยานตัวขึ้นมาบนหลังคา เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงสันหลังคาของเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับปรมาจารย์วัยกลางคนผู้นี้ ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกัน เผยเฉียนยืนอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าเล็กน้อย เด็กสาวเก็บกระบวนท่าหมัด กุมหมัดคารวะ พูดด้วยภาษาทางการของแคว้นหนันเยวี่ยนสำเนียงถูกต้องชัดเจน “คนของแคว้นหนันเยวี่ยน ลูกศิษย์ภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียน ไม่ทราบว่ามีอะไรจะชี้แนะหรือไม่?”

ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนที่ห้อยดาบไว้ตรงเอวเก็บสีหน้ากระอักกระอ่วนลงไป กุมหมัดคารวะกลับคืน “ข้าน้อยต่งจ้งเซี่ย ทุกวันนี้เป็นผู้ถวายงานของสกุลเว่ย ผู้สอนวิชาดาบของกององค์รักษ์รักษาพระองค์”

ต่งจ้งเซี่ยยิ้มเอ่ยว่า “มิกล้าชี้แนะ เพียงแค่มาตรวจตราที่แห่งนี้ตามคำสั่ง ในเมื่อแม่นางเผยฝึกตนอยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้นข้าก็สามารถกลับไปรายงานได้อย่างสบายใจแล้ว”

ฮ่องเต้ได้ออกคำสั่งลับมาเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าอยู่ที่ใด หากเจอกับผู้ฝึกตนของภูเขาลั่วพั่ว แคว้นหนันเยวี่ยนจะต้องปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างนอบน้อมมีมารยาทโดยไม่มีข้อยกเว้น

เว่ยเหลียงอดีตฮ่องเต้สกุลเว่ยอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ แต่กลับยกบัลลังก์ให้กับบุตรชายคนโตอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง หลังจากที่เว่ยเหยี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็ทำการฟื้นฟูการสอบเคอจวี่ ประกาศอภัยโทษให้แก่ชาวประมงสามแซ่ กลุ่มนางรำแห่งซีส่าน และขอทานแห่งอวี๋โจว ฯลฯ ยกเลิก ‘สัญชาติทาส’ อนุญาตให้ลูกหลานของพวกเขาเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ได้ นอกจากนี้ยังก่อตั้งการสอบฝ่ายบู๊ ลูกหลานของทหารชายแดน ทหารในค่ายทัพที่บรรพบุรุษสามรุ่นมีประวัติความเป็นมาใสสะอาดล้วนสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกได้ ในพระราชโองการระบุไว้ชัดเจนว่าเป้าหมายของการสอบฝ่ายบู๊ก็เพื่อเลื่อนขั้นให้แก่แม่ทัพนายทหารผู้มีใจภักดีมาอุทิศตนรับใช้แว่นแคว้น เรื่องที่สามก็คือฟื้นฟูศาลภูเขาสายน้ำ บอกให้กรมพิธีการพลิกเปิดอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่นของอำเภอและเขตการปกครองแห่งต่างๆ แล้วคัดเลือกขุนนางที่ตอนมีชีวิตอยู่ประพฤติดีซื่อสัตย์มา สร้างร่างทองให้กับพวกเขา หวังว่าตายไปจะได้กลายเป็นวิญญาณวีรบุรุษที่ทำการปกป้องคุ้มครองพื้นที่แถบหนึ่งต่อไป นอกจากนี้ฮ่องเต้สกุลเว่ยของแคว้นหนันเยี่ยนยังเริ่มให้การประคับประคองช่วยเหลือและรวบรวมผู้ฝึกตนมาอย่างลับๆ ช่วยพวกเขาสยบกำราบภูตผีของสถานที่ต่างๆ ป้องกันไม่ให้ฝ่ายหลังก่อหายนะให้แต่ละพื้นที่ ไม่อย่างนั้นต่อให้วีรบุรุษผู้กล้าในจอมยุทธทั้งหลายจะมีวิชาหมัดวิชาการต่อสู้ล้ำเลิศแค่ไหน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลประหลาดที่ไม่เคยคบค้าสมาคมด้วยพวกนี้ก็คงจะมีใจแต่ไร้กำลัง มีแต่จะเหนื่อยยากเปลืองแรง

แต่ต่งจ้งเซี่ยกลับเป็นยอดฝีมือในกลุ่มปรมาจารย์รุ่นใหม่ของยุทธภพ อายุสี่สิบปี เมื่อหลายปีก่อนก็เพิ่งฝ่าทะลุคอขวดวิถีวรยุทธ หลังจากออกเดินทางไกลก็คอยกำราบพวกภูตผีปีศาจที่ดุร้ายไปตลอดทาง จนมีชื่อเสียงเลื่องลือ ถึงได้ถูกเว่ยเหยี่ยนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าหลีหมายตา ให้มารับตำแหน่งเป็นหนึ่งในผู้ถวายงานฝ่ายบู๊ของแคว้นหนันเยวี่ยน แต่ทุกวันนี้ต่งจ้งเซี่ยเองถึงได้รู้ว่า ฮ่องเต้ต่างหากถึงจะเป็นปรมาจารย์ด้านวิถีวรยุทธที่แท้จริง อีกทั้งยังมีพรสวรรค์สูงส่งอย่างยิ่ง

เผยเฉียนยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสไม่ใช่คนของแคว้นหนันเยวี่ยนหรือ?”

ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่ตอนที่นางจงใจเผยท่าหมัดยอดเขาซึ่งเป็นท่าหมัดของอาจารย์จ้งอดีตราชครูแคว้นหนันเยวี่ยน อีกฝ่ายก็น่าจะจำได้แล้ว

ต่งจ้งเซี่ยพยักหน้ารับ “ข้าผู้แซ่ต่งคือคนแคว้นซงไล่ เพิ่งจะมาอยู่แคว้นหนันเยวี่ยนได้ไม่นานเท่าไร”

เผยเฉียนหันหน้าไปมองจุดอื่น ขมวดคิ้วมุ่น ป่านนี้แล้วยังทำตัวลับๆ ล่อๆ มีความหมายหรือ? ก่อนหน้านี้ตอนที่นางออกหมัด ความเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไปหน่อย ยอดฝีมือของแคว้นหนันเยวี่ยนจึงมาสืบเสาะ แต่ก็เพราะมีสถานะเป็นคนของราชสำนักจึงมีหน้าที่ภารกิจให้ต้องทำเช่นนี้ เผยเฉียนจึงปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างมีมารยาท ทว่าคนผู้นั้นที่ไม่ใช่ต่งจ้งเซี่ย หลังจากเผยเฉียนปรากฎตัวก็คงเข้าใจผิดคิดว่านางสัมผัสไม่ได้ ไม่เพียงแต่ไม่หยุดมือ กลับกันยังได้คืบจะเอาศอก แอบร่ายวิชาลับสร้างหยดน้ำที่เล็กมากหลายหยดขึ้นมาบริเวณใกล้เคียงกับเผยเฉียนและต่งจ้งเซี่ย ราวกับว่าจะใช้สิ่งนี้มาแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาทั้งคู่

เผยเฉียนเอ่ยลาต่งจ้งเซี่ย

ต่งจ้งเซี่ยประหลาดใจเล็กน้อย ดูท่าจะไม่ใช่เจ๋อเซียนที่มาจากฟ้าดินที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่าจริงๆ

แผ่นกระเบื้องรอบกายของเผยเฉียนแทบจะไม่ขยับเขยื้อน ทว่าดินชั้นที่อยู่เหนือกระเบื้องหลังคากลับระเบิดแตก นาทีถัดมาต่งจ้งเซี่ยก็มองไม่เห็นเงาร่างของเผยเฉียนแล้ว

เผยเฉียนมานั่งยองอยู่ข้างชายคาตวัดงอนของเรือนหลังหนึ่งที่ห่างจากต่งจ้งเซี่ยมาไกลแล้ว นางจ้องบุรุษหนุ่มผู้นั้นเขม็ง อีกฝ่ายนั่งขัดสมาธิ สองมือทำมุทรา บนร่างสวมชุดคลุมอาคมที่ยังมีให้เห็นได้ไม่มากนักในพื้นที่มงคลรากบัวทุกวันนี้ สวมกวานหยกสูง ตรงเอวห้อยดาบสั้นสีขาวหิมะเล่มหนึ่ง

คนหนุ่มยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “เค่อชิงแห่งจวนชินอ๋อง หวังกวงจิ่งคารวะแม่นางเผย”

เผยเฉียนถาม “หวังเซียนซือของจวนชินอ๋อง? เจ้าไม่ได้รับคำสั่งให้ออกจากเมืองหลวงไปพร้อมกับยอดฝีมืออีกสองคนเพื่อเปิดบ่อมังกรถ้ำหินฝนหมึกหรอกหรือ?”

ทุกวันนี้เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนมีทั้งปลาและมังกรปะปนกัน พวกเซียนซือและนักพรตที่มีชื่อเสียงจอมปลอมมีมากมาย แต่คนของตระกูลเซียนที่เหยียบลงบนเส้นทางการฝึกตนอย่างแท้จริงก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน หากไม่รีบช่วงชิงสถานการณ์ใหญ่ ‘เปิดสำนักก่อตั้งพรรค’ อยู่ในสถานที่ที่เป็นภูเขาเขียวน้ำใส ก็จะต้องพากันไปพึ่งพาฮ่องเต้จักรพรรดิของสามแคว้น เพื่อเอาเงินเทพเซียนที่ทุกคนต่างก็เพิ่งเคยเห็นกันเป็นครั้งแรกมา เรื่องพวกนี้ทางภูเขาลั่วพั่วมีบันทึกอย่างละเอียด ทุกๆ สามวันห้าวันหน่วนซู่จะทำการคัดลอกมาไว้หนึ่งฉบับแล้วส่งไปเก็บที่ห้องเก็บเอกสารของศาลบรรพจารย์ภูเขาจี้เซ่อ ส่วนต้นฉบับจะเก็บไว้ที่พ่อครัวเฒ่า ภูเขาลั่วพั่วแอบสร้างช่องทางลับในการรวบรวมข่าวสารสองเส้นทางไว้ที่พื้นที่มงคลรากบัว เส้นทางหนึ่งอาจารย์จ้งเป็นผู้สร้างขึ้นด้วยตัวเอง ทั้งเว่ยเหลียงอดีตฮ่องเต้และเว่ยเหยี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่ล้วนรู้ชัดเจนดี เพราะถือเป็นหนึ่งในเงื่อนไขการลงนามทำสัญญาระหว่างภูเขาลั่วพั่วกับแคว้นหนันเยวี่ยน ส่วนอีกเส้นหนึ่งสร้างขึ้นในอาณาเขตของแคว้นซงไล่ จูเหลี่ยนเป็นคนจัดการ

แม้ว่าเผยเฉียนจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องในราชสำนักพวกนี้สักเท่าไร แต่ก็รู้ว่าระหว่างพ่อลูกอย่างฮ่องเต้องค์เก่าและองค์ใหม่ไม่ได้กลมเกลียวกันอย่างที่แสดงออกภายนอก ไม่อย่างนั้นฮ่องเต้องค์เก่าก็คงไม่ทำตัวสนิทสนมกับเว่ยอวิ้นบุตรชายคนรองมากขนาดนั้น และเว่ยเหยี่ยนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็ยิ่งไม่มีทางให้น้องชายอย่างเว่ยอวิ้นรับหน้าที่เป็นเจ้าเมืองของเมืองหลวง แล้วยังให้ขุนนางเก่าแก่มีอำนาจคนหนึ่งที่เห็นดีในตัวเว่ยอวิ้นมานานแล้วทำหน้าที่เป็นจี้เซียง (ขุนนางที่ดูแลเรื่องการเงินของพวกเสนาบดี) หากไม่เป็นเพราะวันหน้าเจ้ากรมพิธีการที่จะดูแลเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำคือคนสนิทของฮ่องเต้หนุ่ม เผยเฉียนก็คงนึกว่าอดีตฮ่องเต้ก็คือเจ้าประมุขที่ยังปกครองแคว้นหนันเยวี่ยนไปแล้ว

ในใจหวังกวงจิ่งประหลาดใจเล็กน้อย พูดด้วยสีหน้าละอาใจ “ก่อนออกเดินทางรีบร้อนฝ่าด่าน เพราะถ่วงเวลาการฝึกตนจึงทำให้เกิดช่องโหว่ที่ไม่เล็ก จำต้องหยุดพักรักษาตัวที่เมืองหลวง”

ก่อนที่ต่งจ้งเซี่ยจะจากไปได้มองเห็นภาพนี้อยู่ไกลๆ อารมณ์ของเขาพลันหนักอึ้ง

ชินอ๋องเว่ยอวิ้นผู้นั้นไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันอะไรแน่นอน อีกทั้งหลายปีมานี้ยังมีไท่ซ่างหวงคอยหนุนหลัง จึงรวบรวมผู้ฝึกตนมาได้กลุ่มใหญ่แล้ว

หากครั้งนี้จวนชินอ๋องตีสนิทผู้ฝึกยุทธหญิงเผยเฉียนได้ รับตัวนางมาเป็นผู้ถวายงาน จะไม่ทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนรุนแรงกว่าเดิมหรอกหรือ?

ต่งจ้งเซี่ยรีบกลับไปยังเรือนพักแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในสถานที่มิดชิดซึ่งอยู่ใกล้กับวังหลวง ที่นั่นเคยเป็นสถานที่ฝึกตนของราชครูจ้งชิ้ว ต่งจ้งเซี่ยเจอกับบุรุษคนหนึ่งที่ปลอมตัวออกมานอกวัง ในใจก็ให้ตกตะลึง เขารีบพลิ้วกายลงมา กุมหมัดเอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาท”

ฮ่องเต้เว่ยเหยี่ยนรับฟังคำบอกเล่าอย่างละเอียดจากต่งจ้งเซี่ยแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หนูและงูตามป่าเขาก็กล้ามาอยู่ตรงหน้าเผ่าพันธ์เจียวหลง กล้าพูดเรื่องจะรวบรวมคนอย่างนั้นหรือ?”

บ่อน้ำเล็กๆ ในจวนชินอ๋องของเว่ยอวิ้นมีน้ำมากพอให้มังกรข้ามแม่น้ำที่ว่ายผ่านสายน้ำใหญ่มาจนชินได้สูดกินสักกี่อึก? ถ้าอย่างนั้นจะพูดถึงเรื่องการรับรองแขกได้อย่างไร?

ข้างกายของเว่ยเหยี่ยนยังมีสตรีเรือนกายสะโอดสะองอีกคนหนึ่งยืนอยู่ น้องสาวของเขาเว่ยเจิน

เว่ยเจินถามเสียงเบา “ในเมื่อเด็กสาวคนนั้นมาจากภูเขาลั่วพั่ว จะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเซียนกระบี่เฉิน? เสด็จพี่ ไม่สู้ลองถามนางดู?”

เว่ยเหยี่ยนเอ่ยเตือน “เรื่องใหญ่เกี่ยวกับกองกำลังของแคว้นเช่นนี้ เจ้าห้ามทำอะไรเหลวไหล”

เว่ยเจินรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

ทุกวันนี้นางเป็นผู้ฝึกตนครึ่งตัวแล้ว จึงค่อนข้างจะเลื่อมใสในใต้หล้าอันเป็นที่ตั้งของภูเขาลั่วพั่ว หลายปีมานี้ได้พลิกเปิดเอกสารลับของวังหลวงก็ยิ่งใฝ่ฝันหา

ทางฝั่งของเผยเฉียน พอได้ยินคำพูดที่วกวนอ้อมค้อมของหวังกวงจิ่ง สีหน้าของนางก็ยังคงเป็นปกติ เพียงแต่ว่าในใจรู้สึกขำ

แม้ว่าเมื่อก่อนนี้ทั้งสติปัญญาและเรือนกายของเผยเฉียนจะถูกตัวนางเองจงใจ ‘สะกด’ เอาไว้ ตัวจึงไม่สูง ยังคงเป็นแม่หนูถ่านดำอยู่ตลอดเวลา แต่หากพูดถึงเรื่องจิตใจคน ต่อให้เป็นช่วงที่เพิ่งออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัว เผยเฉียนก็ไม่ถือว่าเป็นเด็กแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นมือปราบที่เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพสองคนของเมืองเล็กริมชายแดนราชวงศ์ต้าเฉวียนก็คงไม่ถึงขั้นถูกคำพูดเหลวไหลของนางหลอกจนหัวหมุน พานางมาส่งถึงโรงเตี๊ยมของจิ่วเหนียงอย่างนอบน้อมตลอดทาง ภายหลังแม้แต่หลี่ไหวและสหายสองคนในสำนักศึกษา จนถึงทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกว่าเผยเฉียนคือ ‘องค์หญิงที่พลัดถิ่นมาตกระกำลำบากในหมู่ชาวบ้าน’

เผยเฉียนปฏิเสธคำเชิญของหวังกวงจิ่งอย่างละมุนละม่อม คิดจะกลับไปเจอกับหมี่ลี่น้อยที่เรือนหลังนั้นแล้ว

คาดไม่ถึงว่าหวังกวงจิ่งยังคงไม่ถอดใจ ตอแยนางไม่เลิกรา ยกเอาชินอ๋องเว่ยอวิ้นมาพูด บอกว่าชินอ๋องของตนเป็นยอดฝีมือผู้ปรีชามีมารยาท ปฏิบัติต่อผู้ฝึกยุทธเป็นอย่างดี ต่อให้เผยเฉียนไม่ยินดีไปเยือนจวนอ๋องที่อยู่ห่างไปไม่กี่ก้าวก็ไม่เป็นไร ชินอ๋องสามารถมาเยี่ยมเยือนนางถึงบ้านได้ด้วยตัวเอง ขอแค่เผยเฉียนพยักหน้าตอบตกลง ชินอ๋องจะต้องวางกิจธุระอันรัดตัวเพื่อปลีกตัวมาหานางอย่างแน่นอน

เผยเฉียนฟังแล้วก็ปวดกบาล ไม่รู้จักหัดพูดจาดีๆ เสียบ้าง หากไม่ยกที่พึ่งมาขู่คนอื่นก็ทำเป็นพูดให้ฟังยากเหมือนคนมีความรู้ เหตุใดเว่ยอวิ้นถึงหาเค่อชิงที่โง่งมแบบนี้มาได้นะ สรุปว่าจะช่วยหาคนในจวนชินอ๋องหรือช่วยไล่คนกันแน่?

แต่พอเผยเฉียนมาคิดอีกที แม้ว่าหวังกวงจิ่งผู้นี้จะพูดโป้ปดมดเท็จเต็มปาก เรื่องปิดด่านของเขาไม่ใช่ว่ามีความผิดพลาด แต่ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง สามารถเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตได้แล้ว ถือเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางกลุ่มแรกสุดของพื้นที่มงคลรากบัว ถือเป็นนายท่านเทพเซียนครึ่งตัวได้แล้วจริงๆ พื้นที่มงคลในทุกวันนี้ยิ่งนานก็ยิ่งมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น คนที่เดินขึ้นเขาไปฝึกตนก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผู้ฝึกตนที่สามารถเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางได้นั้นกลับมีจำนวนไม่มาก แต่ละคนจึงมีค่ายิ่งกว่าทองคำ ประเด็นสำคัญคือเดินเร็วขึ้นทุกฝีก้าว ผู้ฝึกลมปราณที่คุณสมบัติดีที่สุด การหยุดเดินในครั้งถัดไปก็น่าจะเป็นตอนที่พื้นที่มงคลรากบัวเจอกับคอขวดของพื้นที่มงคลระดับกลางแล้ว

เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเมื่อไหร่พื้นที่มงคลรากบัวถึงจะเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับสูงได้นั้น พ่อครัวเฒ่าเคยเอ่ยประโยคหนึ่งบอกว่า ต่อให้เอาเงินฝนธัญพืชก้อนนั้นออกมาได้ก็ไม่ต้องรีบร้อน แล้วนับประสาอะไรกับที่ภูเขาลั่วพั่วก็ไม่มีเงินก้อนนี้จริงๆ

ตอนนั้นเจิ้งต้าเฟิงยังเอ่ยสัพยอกว่า “คำพูดต้องค่อยๆ พูด แต่เงินต้องหามาให้ได้เร็วๆ”

เว่ยป้อยิ้มบางๆ “หากพวกเจ้ายังเป็นแบบนี้อีก ข้าจะคว่ำกระดานหมากแล้วนะ”