บทที่ 656.2 จุดสูงไม่มีใคร

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เวลานี้เผยเฉียนพลันนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งที่พ่อครัวเฒ่าเอ่ยเตือนก่อนนางจะออกเดินทางขึ้นมาได้ อย่าทำตัวเลียนแบบอาจารย์พ่อไปเสียทุกเรื่อง เจ้าเองก็มียุทธภพของตัวเองให้ต้องเดิน หากเหมือนอาจารย์พ่อมากเกินไป อาจารย์พ่อของเจ้าก็จะไม่อาจวางใจในตัวเจ้าได้ ในสายตาของอาจารย์พ่อ เจ้าจะเป็นเด็กที่ต้องให้เขาคอยประคับประคองไปตลอดกาล

เผยเฉียนเลิกคิ้วขึ้น รู้สึกว่ามีเหตุผล พอมองหวังกวงจิ่งอีกครั้ง เผยเฉียนก็เปลี่ยนบุคลิก ไม่มีท่าทางเหมือนตอนที่เอ่ยคุยกับต่งจ้งเซี่ยอีกแล้ว แต่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เลิกคิดจะใช้อุบายกับภูเขาลั่วพั่วของข้าเสียที ข้าไม่มีทางไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องในบ้านของสกุลเว่ยแน่นอน เค่อชิงจวนอ๋องอย่างเจ้ารีบๆ ไปเสียให้พ้น ไปตั้งใจฝึกตนของเจ้าเถิด จำไว้ว่าเหตุผลของข้าจะพูดแค่รอบเดียวเท่านั้น คนอื่นพูดจาดีๆ ด้วยก็จงฟังให้ดี วันหน้าหากยังมีเจตนาไม่ซื่อคิดจะใช้ลูกไม้ตื้นๆ มาหยั่งเชิงข้าอีก…”

เผยเฉียนชูหมัดข้างหนึ่งขึ้นโบกเบาๆ “หมัดนี้ของข้าต่อยลงไป เกรงว่าเจ้าจะรับไม่ไหว”

หวังกวงจิ่งแสร้งทำเป็นกล่าวอย่างจนใจว่า “ได้ยินมาว่าเซียนกระบี่เฉินท่านนั้นชอบใช้เหตุผลเป็นที่สุด ในฐานะเจ๋อเซียนครึ่งตัวและคนบ้านเดียวกันครึ่งตัว คุณหนูเผย…”

“อาจารย์พ่อเคยบอกว่าเอาคุณธรรมยิ่งใหญ่มาทำให้คนดีลำบากใจ กับพวกคนที่ชอบใช้อำนาจรังแกคนอื่น อันที่จริงสองฝ่ายนี้ไม่ได้ต่างกันเท่าไร”

เผยเฉียนกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง พริบตาเดียวก็มาโผล่เบื้องหน้าหวังกวงจิ่ง ฝ่ายหลังหลบไม่ทัน ในใจพลันผวาพรั่นพรึง หมัดของเด็กสาวเกือบจะแนบติดหน้าผากของหวังกวงจิ่งแล้ว ห่างไปแค่ชุ่นกว่าๆ เท่านั้น

เผยเฉียนเอ่ย “ยังไม่ไปอีกรึ? หรือชอบนอนเสวยสุข ต้องรอให้คนแบกหามไป?”

กระบี่สั้นหยกขาวที่มีลักษณะเหมือนที่ทับกระดาษบนโต๊ะหนังสือของหวังกวงจิ่งมีประกายแสงไหลริน

เผยเฉียนไม่แม้แต่จะชายตามอง “คิดจะถามกระบี่กับหมัดจริงๆ หรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเคยพบเจอผู้ฝึกกระบี่และเซียนกระบี่มากี่มากน้อย?!”

หวังกวงจิ่งถอยหลังหนึ่งก้าว ยิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อคุณหนูเผยไม่ยินดีรับความหวังดีจากจวนอ๋อง ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด ภูเขาสูงสายน้ำยาวไกล ล้วนเป็นผู้ฝึกตนเหมือนกัน ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจมีโอกาสได้เป็นเพื่อนกัน”

เผยเฉียนเก็บหมัดกลับมา ชำเลืองตามองภาพเหตุการณ์ในทะเลสาบหัวใจของหวังกวงจิ่ง บุคลิกพลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง นางเอ่ยเสียงหนักว่า “ท่านปู่ชุยเคยบอกว่า หากผู้ฝึกยุทธออกหมัด สามารถต่อยให้น้ำสกปรกที่มีอยู่เต็มท้องของคนเลวลดจนเหลือตื้นเขิน ต่อยให้ความกล้าของคนชั่วเล็กลงได้ ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะออกหมัดอย่างเด็ดเดี่ยว”

หวังกวงจิ่งยิ้มเจื่อน “เหตุใดคุณหนูเผยต้องบีบคั้นกันขนาดนี้ด้วย? หรือจะต้องให้ข้าโขกหัวยอมรับผิด? ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ข้าเคยมีท่าทีที่ไม่ให้ความเคารพท่านหรือ?”

เผยเฉียนเริ่มคิดไม่ตก กลัวว่าตัวเองคิดไม่ผิด แล้วก็มองไม่ผิด แต่ออกหมัดไม่รู้หนักเบา กลายเป็นว่าทำเรื่องที่ผิด

ความลำบากใจของเผยเฉียนตอนนี้เหมือนยามที่อยู่เบื้องหน้าศาลเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ไม่มีผิดเพี้ยน

กลับกลายเป็นว่านางไม่อาจตัดสินใจได้คล่องแคล่วฉับไวเหมือนเฉินหลิงจวิน

ชุดยาวสีเทาทะยานลมมาถึง พลิ้วกายลงบนพื้นแล้วกดหัวของหวังกวงจิ่งเอาไว้ บิดข้อมือหนึ่งครั้งเป็นเหตุให้ฝ่ายหลังหมุนตัวหันไปทางถนนใหญ่

จูเหลี่ยนที่ยืนหันหลังให้ถนนใหญ่ยกมือขึ้นแล้วโยนอีกฝ่ายไปด้านหลังง่ายๆ หวังกวงจิ่งที่ยืนยังไม่มั่นคงรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบศีรษะ ไถลครูดไปบนถนนใหญ่หลายสิบจั้ง สองตาเหลือกค้างแล้วหมดสติไปทันที

จูเหลี่ยนพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่มีเหตุผลให้ป้องกันโจรพันวันหรอกนะ ขี้หนูก้อนเดียวก็ทำให้โจ๊กทั้งหม้อเสียได้แล้ว”

จูเหลี่ยนเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย มองไปยังจุดอื่น มีผู้ฝึกตนที่แฝงตัวอยู่ตำแหน่งอื่นเตรียมจะมาช่วยหวังกวงจิ่งกลับไป จูเหลี่ยนจึงถามว่า “คนของจวนชินอ๋องชอบเก็บขี้ไก่ขี้หมากลับบ้านกันหรือ?”

เว่ยอวิ้นผู้นั้นก่อเรื่องมานานมากแล้ว

ส่วนเว่ยเหลียงอดีตฮ่องเต้ก็ยิ่งมีนิสัยใจคอของคนเป็นจักรพรรดิที่แท้จริง ต่อให้มีใจอยากจะฝึกตน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เคยได้เห็นทัศนียภาพของใต้หล้าไพศาลของจริงมาก่อน เป็นไท่ซ่างหวง ถอดชุดคลุมมังกรแล้ว แต่ตอนนี้ฝึกตนยังไม่ประสบความสำเร็จจึงมีการกระทำเล็กๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา แน่นอนว่าก็มีความคิดที่จะอาศัยสิ่งนี้มาต่อรองกับภูเขาลั่วพั่วด้วย

หากไม่เป็นเพราะเว่ยเหยี่ยนโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันพอจะมีคุณธรรมอยู่บ้าง พื้นที่มงคลรากบัวแห่งนี้ก็คงเต็มไปด้วยมลพิษสกปรกภายในเวลาอันรวดเร็ว ถึงเวลานั้นคนที่ต้องเหนื่อยใจมากที่สุดก็มีแต่ราชครูจ้งชิวและเฉาฉิงหล่าง

เผยเฉียนรวมเสียงให้เป็นเส้น ถามอย่างสงสัย “พ่อครัวเฒ่า ทำไมถึงเปลี่ยนใบหน้าแล้วล่ะ?”

จูเหลี่ยนเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ลมบนภูเขาแรงเกินไป พัดจนหน้ากากหายไปแล้ว”

จูเหลี่ยนหันตัวกลับไปมองเทพเซียนหนุ่มที่นอนหลับอยู่บนถนนใหญ่เงียบๆ

เผยเฉียนพลันถามคำถามหนึ่งขึ้นมา “พ่อครัวเฒ่า อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วเจ้าไม่มีอิสระใช่หรือไม่”

จูเหลี่ยนเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “เติบใหญ่แล้วจริงๆ ด้วย ถึงได้รู้จักถามคำถามแบบนี้ เดิมทีคิดว่าต้องรอให้นายน้อยกลับบ้านมาก่อนเจ้าถึงจะถามข้าแบบนี้”

เผยเฉียนยิ้มกล่าว “ข้าก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง คราวหน้าเจ้าก็บอกคำตอบกับอาจารย์พ่อเองแล้วกัน”

จูเหลี่ยนเอ่ยเนิบช้าว่า “อิสระในการออกหมัดอาจมีไม่มาก แต่คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก อิสระในการพูดอย่างไม่ต้องกริ่งเกรงสิ่งใด อิสระในการทำอาหาร อิสระที่ว่าจะหาเงินมาและใช้จ่ายเงินอย่างไร อิสระในการก้มหน้าเปิดตำรา เงยหน้าชมทัศนียภาพ อิสระในการเล่นหมากล้อมกับเพื่อนสนิทโดยไม่ต้องสนแพ้ชนะ อิสระในการมองดูเด็กรุ่นหลังเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน มีอะไรบ้างที่ไม่ใช่อิสระ”

เผยเฉียนไม่ค่อยคุ้นชินกับผู้เฒ่าที่ไม่ใช่พ่อครัวเฒ่าสักเท่าไร ดังนั้นจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย ถามว่า “จะทำอย่างไรกับเจ้าหวังกวงจิ่งที่แกล้งตายดี?”

จูเหลี่ยนเอ่ย “อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยได้ขอลาหยุดกับเจ้าขุนเขาเหมาแล้ว สองปีนี้พวกเขาจะมาท่องเที่ยวที่พื้นที่มงคลรากบัวด้วยกัน ถึงเวลานั้นจะขอยืมคนจากเว่ยอวิ้น ก็ให้หวังกวงจิ่งเป็นคนนำทางแล้วกัน มีอวี๋ลู่อยู่ การฝึกจิตใจก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่”

เผยเฉียนถามอย่างใคร่รู้ “หลี่ไหวไม่มาร่วมวงเรื่องสนุกด้วยหรือ?”

จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ตามคำบอกของพี่น้องต้าเฟิง หากหลี่ไหวลงมือเอง คาดว่าผู้ฝึกตนของพื้นที่มงคลรากบัวก็คงอย่าหวังว่าจะได้ครอบครองโชควาสนาใหญ่อะไรอีกแล้ว”

เผยเฉียนมีความคิดหนึ่ง แต่ไม่กล้าพูดออกมา

จูเหลี่ยนถาม “อยากจะไปเยือนยอดเขาสิงโตของอุตรกุรุทวีป ไปหาบิดาของหลี่ไหว?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ “ผู้อาวุโสกู้ไม่อยู่บนโลกแล้ว แต่วิชาหมัดของท่านอาหลี่กลับสูงมากเหมือนกัน อีกทั้งยังเคยสอนอาจารย์พ่อมาก่อน ข้าเลยอยากจะไปฝึกหมัดที่นั่น หลี่ไหวเองก็อยากไปเยี่ยมหาพ่อแม่กับพี่สาวด้วย”

จูเหลี่ยนคิดแล้วก็ตอบว่า “ได้สิ”

เผยเฉียนนั่งอยู่ริมขอบของชายคา รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ เดิมทีควรเป็นอาจารย์พ่อที่ต้องอนุญาตถึงจะได้”

จูเหลี่ยนนั่งยองอยู่ด้านข้าง เอ่ยปลอบใจเสียงเบา “หากนายน้อยอยู่ที่นี่ต้องตอบตกลงแน่นอน”

บนถนนมีแม่นางน้อยคนหนึ่งที่บนบ่าพาดคานหาบอันเล็กห้อยถุงเมล็ดแตงไว้สองถุง จูเหลี่ยนไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พวกเจ้าคิดจะกินเมล็ดแตงแทนข้าวหรืออย่างไร”

เผยเฉียนกระโดดไปด้านหน้า พลิ้วกายลงบนถนนใหญ่

ระหว่างที่โจวหมี่ลี่วิ่งมาบนถนนก็อ้อมผ่านหวังกวงจิ่งที่นอนอยู่บนพื้นมาอย่างระมัดระวัง นางหันหลังให้หวังกวงจิ่งที่หมดสติอยู่ตลอดเวลา ข้ามองไม่เห็นเจ้า เจ้าเองก็มองไม่เห็นข้า ทุกคนต่างออกมาท่องยุทธภพ น้ำบ่อต้องไม่ยุ่งกับน้ำคลอง เดินผ่านเจ้าคนที่งีบหลับมาได้โจวหมี่ลี่ก็รีบเพิ่มความเร็วฝีเท้า ถุงผ้าป่านสองถุงเล็กที่ห้อยอยู่บนคานหาบสองด้านแกว่งไกวตามไปด้วย พอหยุดยืนหนึ่งก็ยื่นสองมือไปประคองถุงทั้งสองใบ ถามเบาๆ ว่า “พ่อครัวเฒ่า ข้ามองเห็นอยู่ไกลๆ ว่าเผยเฉียนกำลังคุยกับคนเขาอยู่ดีๆ เหตุใดเจ้าถึงได้ลอบโจมตีเขาเสียล่ะ ไม่รู้จักพิถีพิถันเอาเสียเลย คราวหน้าทักทายกันก่อนแล้วค่อยตีกันสิ ไม่อย่างนั้นหากแพร่ไปในยุทธภพต้องไม่น่าฟังแน่ ให้ข้าไปแทะเมล็ดแตงสักกำเพิ่มความกล้า แล้วตะเบ็งเสียงปลุกคนผู้นั้นขึ้นมา เจ้าค่อยมาใหม่อีกรอบดีไหม?”

จูเหลี่ยนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มพลางพูดเลียนแบบน้ำเสียงของแม่นางน้อย “ได้เลย ข้าว่าได้”

ก่อนหน้านี้จูเหลี่ยนลงมือเบาๆ ดังนั้นอันที่จริงตอนที่โจวหมี่ลี่เดินผ่าน หวังกวงจิ่งก็ฟื้นแล้ว เวลานี้เขาเงี่ยหูฟังถ้อยคำของแม่นางน้อยที่ฟังดูเหมือนมีมโนธรรม แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีเหตุผลแม้แต่น้อย เทพเซียนหนุ่มที่เป็นทั้งเค่อชิงของจวนชินอ๋องและเป็นทั้งกุนซือที่อยู่เบื้องหลังผู้นี้แทบจะหลั่งน้ำตา

เผยเฉียนดึงแก้มของโจวหมี่ลี่ โจวหมี่ลี่หัวเอียงต้องเขย่งปลายเท้าตาม ก่อนจะตีนิ้วของเผยเฉียนเบาๆ พูดเสียงอู้ว่า “ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้ว”

จูเหลี่ยนกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง

ทั้งร่างของหวังกวงจิ่งก็ดีดเด้งขึ้นมา ไม่กล้าแกล้งหลับอีกต่อไป พอยืนได้มั่นคงแล้วก็เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “คารวะเทพเซียนผู้เฒ่า”

จูเหลี่ยนพยักหน้า สีหน้ามีเมตตา ก่อนจะยื่นมือมาตบหนึ่งที

ตบให้หวังกวงจิ่งลอยกระเด็นไปสุดปลายถนน

จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “หมัดนี้ปล่อยไป ความกล้าก็น่าจะน้อยลงแล้ว”

จูเหลี่ยนกวาดตามองรอบด้าน เอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “น่าเสียดายที่ยามพบเจอกันในอดีต ติงอิงยังเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ไม่ง่ายเลยกว่าที่ข้าจะได้กลับมา เขากลับตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงจะสอนเขาได้ว่าควรทำตัวเป็นเด็กรุ่นหลังอย่างไร”

นี่หาใช่คำพูดเพ้อฝันของคนคลั่งวรยุทธไม่

อันที่จริงการกระทำทุกอย่างของติงอิงในภายหลังล้วนเป็นการเดินตามเส้นทางสายเก่าที่จูเหลี่ยนเคยเดินผ่านมาก่อน ในอดีตจูเหลี่ยนก็เคยใช้กำลังของคนคนเดียวต่อสู้กับคนเก้าคนในศึกหกสิบปี ตอนนั้นปรมาจารย์ที่มีรายชื่อติดอันดับสิบคนของใต้หล้าถูกจูเหลี่ยนคนเดียวสังหารไปเกินครึ่ง การที่จูเหลี่ยนไม่ได้ฆ่าติงอิงก็แค่เพราะรู้สึกว่าความหวังในการบินทะยานของตนริบหรี่เต็มที และนาทีนั้นก็ยิ่งรู้สึกว่าดูเหมือนความหมายในการบินทะยานจะมีไม่มาก จึงจงใจมอบศีรษะและโชคชะตาบู๊ของตัวเองให้กับติงอิงที่ถือว่าพอจะเข้าตาเขาอยู่บ้าง สามารถพูดได้ว่าความสำเร็จยิ่งใหญ่บนมหามรรคาของติงอิง ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จด้านการเรียนวรยุทธหรือการเติบโตทางด้านจิตใจ คุณความชอบครึ่งหนึ่งล้วนเป็นของจูเหลี่ยน

และตอนที่จูเหลี่ยนยังมีชีวิตอยู่

ใต้หล้าแห่งนี้ บุ๋นมีอันดับหนึ่ง บู๊ไร้อันดับสอง

เผยเฉียนเอ่ย “พวกเรากลับกันเลยไหม?”

จูเหลี่ยนพยักหน้า “แทะเมล็ดแตงหมดหนึ่งถุงค่อยว่ากัน ไม่อย่างนั้นคาดว่าหน่วนซู่คงบ่นว่าพวกเจ้าซื้อมาเยอะเกินเป็นแน่”

กลับไปที่เรือนหลังนั้น เผยเฉียนก็ถามเรื่องที่ว่าควรจะฝ่าคอขวดขอบเขตหกและควรจะปฏิบัติต่อโชคชะตาบู๊ของอุตรกุรุทวีปอย่างไร

โจวหมี่ลี่ที่อยู่ด้านข้างคอยเตือนเผยเฉียนว่าให้ถามเรื่องการฝ่าคอขวดขอบเขตเจ็ดและแปดไปพร้อมกันทีเดียวเลย

เผยเฉียนถลึงตาใส่ “ใจร้อนจะกินเต้าหู้ร้อนได้อย่างไร?”

โจวหมี่ลี่สับสนเล็กน้อย ต่อให้เต้าหู้จะร้อนแค่ไหนก็กินได้หมดคำเดียวอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

จูเหลี่ยนบอกเรื่องที่ต้องระวังบางอย่างแก่เผยเฉียน

หลังจากนั้นจูเหลี่ยนก็ต้องรีบกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่ว

เผยเฉียนบอกว่าต้องทำสองสามเรื่องให้เสร็จก่อน นางกับโจวหมี่ลี่ไปช่วยกันเก็บกวาดเรือนให้บ้านบรรพบุรุษของเฉาฉิงหล่างมารอบหนึ่ง แล้วนางก็พาหมี่ลี่น้อยไปกินของอร่อยที่ตลาดกลางคืนวัดป๋ายเหอที่อาจารย์พ่อบอกว่าทั้งชาทั้งร้อนอย่างเต็มคราบ นางสั่งให้โจวหมี่ลี่ถึงสองถ้วยใหญ่ๆ พอกินอิ่มก็ไปมองดูหอเก็บตำราส่วนตัวของพวกขุนนางที่อาจารย์พ่อเคยไปยืมหนังสืออ่านอยู่ไกลๆ ด้วยกัน พลางเล่าให้โจวหมี่ลี่ฟังว่าหอจือหลันที่เป็นบ้านเกิดของหน่วนซู่เตี้ยกว่าหมี่ลี่น้อยหลายช่วงศีรษะ

ภายหลังเผยเฉียนยังได้เห็นคนวัยเดียวกันที่เปลี่ยนเป็นเด็กสาวและหญิงสาวเร็วกว่าตัวเอง เมื่อหลายปีก่อนนางแต่งงานกับบัณฑิตจากต่างถิ่นที่เข้ามาสอบจิ้นซื่อในเมือง อนาคตขุนนางราบรื่นยาวไกล

เมื่อกลุ่มของสตรีนั่งรถม้าไปจุดธูปขอพรที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองหลวง เผยเฉียนก็สะกดรอยตามไปไกลๆ ไม่ได้เผยตัว

สุดท้ายเผยเฉียนก็ถือว่าได้ช่วยอาจารย์พ่อทำเรื่องหนึ่งด้วยการไปเยือนตรอกจ้วงหยวน ปีนั้นที่นั่นเคยมีเรื่องราวของบัณฑิตยากจนที่เข้ามาสอบในเมืองหลวงกับสตรีกอดผีผาแห่งยุทธภพ คนรักกันไม่ได้ครองรักกันจนแก่เฒ่า

เมื่อสอบถามจากเถ้าแก่ร้านหนังสือในพื้นที่ถึงได้รู้ว่าบัณฑิตคนนั้นเข้าร่วมการสอบสองครั้งติด แต่ก็ยังไม่มีชื่อติดบนกระดานทองคำ เขาร้องไห้อย่างเสียใจสุดแสนไปรอบหนึ่ง สุดท้ายก็ราวกับว่าตัดใจได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว จึงกลับบ้านเกิดไปเปิดโรงเรียนสอนหนังสือ

ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้บัณฑิตคนนั้นจะยังได้เจอสตรีที่ตัวเองจะตกหลุมรักได้อีกหรือไม่

ใครเล่าจะรู้ได้

วันสุดท้ายที่จะออกมาจากแคว้นหนันเยวี่ยน เผยเฉียนปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคากลางดึก

โจวหมี่ลี่ก็ตามไปด้วย

เด็กสาวผอมบางที่อายุไม่มากกับแม่นางน้อยที่อายุไม่น้อยนอนอยู่บนหลังคามองพระจันทร์กลมโตด้วยกัน

โจวหมี่ลี่แทะเมล็ดแตงพลางถามชวนคุย “ทำไมยิ่งฝึกหมัดมากก็ยิ่งไม่กล้าออกหมัดแล้วเล่า?”

เผยเฉียนเอ่ย “อาจารย์พ่อปฏิบัติต่อชีวิตของคนอื่นๆ เหมือนกับปฏิบัติต่อเครื่องกระเบื้องที่แค่ทุบก็แตก อาจารย์พ่อไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้ แต่ข้ามองเห็นอยู่ตลอดเวลา”

โจวหมี่ลี่พยักหน้ารับอย่างแรง “ดีมากเลยนะ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องรีบออกหมัดสิ เผยเฉียน พวกเราอย่าได้รีบร้อน อย่าได้รีบร้อน”

เผยเฉียนยิ้มกล่าว “พวกเราอะไรกัน เจ้าไม่ได้ฝึกวิชาหมัดสักหน่อย ไม่ฝึกวิชาหมัดก็ดีเหมือนกัน อันที่จริงมันลำบากมากเลยล่ะ เห็นไหมล่ะ ปีนั้นอาจารย์พ่อก็บอกแล้วว่าไม่อยากให้ข้าฝึกหมัดเร็วเกินไป เพียงแค่ครั้งเดียวที่ไม่เชื่อฟังคำของอาจารย์พ่อก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากใหญ่หลวงเลย เพราะฉะนั้นน่ะนะ จะต้องเชื่อฟังคำของอาจารย์พ่อ”

โจวหมี่ลี่แอบขยับมือที่วางเมล็ดแตงไว้ออกห่างไปเล็กน้อย ปากก็เอ่ยพูดถ้อยคำแสดงความเสียใจ เผยเฉียนยื่นมือมาคว้าเมล็ดแตงกลับเจอแต่ความว่างเปล่า แม่นางน้อยหัวเราะฮ่าๆ ชอบใจ แล้วรีบขยับมือกลับไปที่เดิม

เผยเฉียนมองม่านฟ้า นางคลี่ยิ้ม เกาหัว เดิมทียังนึกว่าหากออกหมัดในจุดที่สูงที่สุดก็จะได้พบหน้าท่านปู่ชุยสักครั้งเสียอีก