ตอนที่ 2,863 : หนึ่งคำ กระจ่างทุกสิ่ง
‘สุดท้ายอาวุโสของนิกายอมตะสือหังที่มาตามฆ่าข้า ก็เป็นนางส่งมา…’
‘แถมคนๆนั้นไม่เพียงแต่จะเคยเจอข้าแล้ว นางยังรู้ชื่อข้าอีกด้วย’
‘เช่นนั้นนางจะเคยเห็นภาพเหมือนของข้า ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร’
ด้วยเรื่องทั้งหมด กอปรกับสายตาที่ประมุขนิกายอมตะสือหังใช้มองมาที่เขา ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาได้ไม่ยาก ว่าหนานกงซิ่วจำเขาได้แล้ว!
‘แต่เมื่อครู่ จิตสังหารในแววตาของนางคล้ายสลายไปหลังคุยกับโจวฉู่ชิงรอบหนึ่ง ทั้งหลังจากนั้นก็เริ่มอ่อนจางลง’
‘ถ้าให้เดา สิบในสิบไม่พ้นโจวฉู่ชิงต้องบอกเรื่องข้าให้นางฟังแล้วแน่นอน…’
‘พอนางรู้ว่ากระทั่งหลี่อันของนิกายอมตะสราญรมย์ยังไม่กล้าลงมือกับข้าง่ายๆ นางเองก็คงไม่กล้าผลีผลามเช่นกัน…เพราะสุดท้ายแล้ว ตัวนางก็เป็นประมุขนิกายอมตะสือหัง ไหนเลยจะเสี่ยงกับเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ และนางไม่คิดลงมือกับข้าง่ายๆแน่ หากยังยืนยันฐานะข้าไม่ได้’
‘เพราะหากข้าเป็นคนที่มีภูมิหลังมาจากตระกูลในภาคกลางจริง การที่นางแตะต้องข้า ก็ไม่ต่างอะไรจากนางชักนำเภทภัยมาสู่นิกายอมตะสือหังด้วยตัวเอง’
ในชั่วเวลาเสี้ยวพริบตาปานฟ้าแลบ ที่ต้วนหลิงเทียนเห็นหนานกงซิ่วคล้ายสื่อสารอะไรกับโจวฉู่ชิงอยู่ เขาก็สรุปเรื่อราวได้ทันที
“พี่หลิงเทียน…นางคือพี่สาวปิงเอ๋อที่ท่านเคยเล่าให้ข้าฟังเหรอ?”
ตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงผ่านพลังหนึ่ส่งถึงหู
เห็นเสียงผ่านพลังของฮ่วนเอ๋อ
“ใช่ เป็นนาง”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าจากนั้นก็มองตามสายตาฮ่วนเอ๋อ ไปหยุดอยู่ที่มู่หรงปิงอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม มู่หรงปิงคล้ายจะจงใจหลบสายตาของฮ่วนเอ๋อกับเขา
‘ข้าต้องหาทางเกลี้ยกล่อมนางและพานางหนีไปให้ได้…หากข้าไม่อาจเกลี้ยกล่อมนางได้ภายในงานสมัชชาเต๋าโอสถครั้งนี้ ต่อไปเกรงว่าคงยากจะหาโอกาสเจอนางได้อีกครั้ง’
ขณะมองไปยังมู่หรงปิง ต้วนหลิงเทียนก็ลอบตัดสินใจอย่างลับๆ
“อาจารย์ลุงเหอซาน…พวกเรามิพบกันเสียนาน”
ตอนนี้เองกลุ่มคนของนิกายอมตะสือหัง ก็เริ่มก้าวเดินอีกครั้ง ยังเดินเข้ามาหากลุ่มคนของนิกายอมตะโดยมีหนานกงซิ่วผู้เป็นประมุขนำมา แถมนางยังเป็นฝ่ายกล่าวทักบรรพจารย์ไท่อีก่อน!
ในแง่ของลำดับอาวุโสแล้ว นางเรียกบรรพจารย์ไท่อีว่าอาจารย์ลุงก็นับว่าเหมาะสม
“ยาโถวซิ่ว…จะว่าไปตั้งแต่ที่เจ้ากลายเป็นประมุขนิกายอมตะสือหัง พวกเราก็มิเคยได้พบกันอีกเลยใช่ไหม?”
บรรพจารย์ไท่อี มองไปยังหนานกงซิ่วพลางกล่าวทักออกไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นแฝงความชื่นชม
มันยังจำได้ ว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นหนานกงซิ่วนั้น ก็ผ่านไปหลายปีแล้ว…
และตอนนั้นหนานกงซิ่วก็ยังไม่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขนิกายอมตะสือหัง
กระทั่งยังเป็นแค่สาวน้อยนางหนึ่ง
พริบตาเดียว โดยที่ไม่ทันรู้ตัว…ไม่เพียงแต่หนานกงซิ่วจะเหนือกว่ามันไปแล้ว กระทั่งยังกลายไปเป็นประมุขนิกายอมตะสือหังอีกด้วย
“ใช่ หลายปีแล้วจริงๆ…แล้วอาจารย์ลุงเหอซานเป็นอย่างไรบ้างเล่า หลายปีที่ผ่านท่านสบายดีหรือไม่?”
หนานกงซิ่วคลี่ยิ้มบางๆถามอย่างสุภาพ
อาจารย์ของนางกับบรรพจารย์ไท่อี ถือได้ว่ามีมิตรภาพเล็กๆต่อกัน แม้จะไม่ได้ลึกซึ้งอะไร แต่ท้ายที่สุดก็นับว่าเป็นสหายกัน เช่นนั้นนางจึงให้หน้าอีกฝ่าย
ต้องทราบด้วยว่าอาศัยพลังฝึกปรือของนางในตอนนี้ ต่อให้นางไม่คิดจะทักบรรพจารย์ไท่อีออกไปก่อน แต่บรรพจารย์ไท่อีก็จำต้องเข้ามาทักทายนางด้วยความสุภาพ
ท้ายที่สุดแล้ว โลกนี้ก็เคารพผู้เข้มแข็ง
“ข้าก็ยังเหมือนเดิมนั่นล่ะ”
บรรพจารย์ไท่อีก็กล่าวตอบออกไปเร็วไว ไม่กล้าละเลย
เพราะมันเองก็รู้ดี ว่าอาศัยฐานะและความสามารถของหนานกงซิ่วทุกวันนี้ การที่อีกฝ่ายเป็นฝ่ายทักมันก่อน แถมยังเรียกหามันว่าอาจารย์ลุงด้วยน้ำเสียงสุภาพ ก็นับว่าให้หน้ามันอย่างมากแล้ว…
เพราะสุดท้ายแม้มันกับอาจารย์ของหนานกงซิ่วจะถือได้ว่าเป็นสหายกัน แต่ก็แค่รู้จักกันผิวเผิน เรียกว่าเจอกันก็พยักหน้าให้เพราะเป็นคนรู้จักเท่านั้น
ถึงแม้หนานกงซิ่วจะไม่ให้หน้าอะไรมัน มันก็เข้าใจ
แต่ตอนนี้เป็นหนานกงซิ่วให้หน้ามัน ตัวมันก็ย่อมปฏิบัติต่อนางด้วยดี ไม่กล้าละเลย
“อาจารย์ป้าหนานกง”
ตอนนี้เองประมุขนิกายอมตะเชียนจี เจี่ยนชิวหลัว ก็เป็นฝ่ายกล่าวคำทักทายหนานกงซิ่วออกมา นางยังเรียกหาหนานกงซิ่วเหมือนโจวฉู่ชิงว่า อาจารย์ป้า…
ได้ยินคำทักจากเจี่ยนชิวหลัว หลังหนานกงซิ่วพยักหน้าให้บรรพจารย์ไท่อีอีกครั้ง นางก็ละสายตาไปหาเจี่ยวชิวหลัวทันที
“ชิวหลัว จะว่าไปพวกเราก็ไม่พบกัน 30 ปีแล้ว..หากข้าจำไม่ผิดครั้งสุดท้ายที่พวกเราเจอกัน ก็เหมือนว่าจะเป็นงานสมัชชาเต๋าโอสถครั้งก่อนใช่หรือไม่?”
หนานกงซิ่วกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“ค่ะ…30 ปีที่แล้วเป็นเช่นไร 30 ปีผ่านไปอาจารย์ป้าก็ยังเป็นเช่นนั้น ท่านยังคงสวยเหมือนเดิมมิเปลี่ยนเลย…”
เจี่ยนชิวหลัวกล่าวด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี
ทั้งคู่คุยกันอยู่สักพัก
หลังรำลึกคววามหลังกับเจี่ยนชิวหลัวจบแล้ว สายตาของหนานกงซิ่วก็หันมามองต้วนหลิงเทียน พลางกล่าวถามด้วยรอยยิ้มบางๆ “นี่สมควรเป็นหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี ปรมาจารย์โอสถต้วนใช่หรือไม่?”
อย่างไรก็ตาม แม้จะเผชิญหน้ากับการถามไถ่ด้วยรอยยิ้มของหนานกงซิ่วประมุขนิกายอมตะสือหัง แต่ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวถามออกไปด้วยรอยยิ้มแสยะเย็นชา “ประมุขซิ่ว ท่านคงจำได้แล้วกระมัง…ว่าข้าคือคนที่ท่านส่งคนไปไล่ฆ่าในอดีต?”
ถึงแม้หนานกงซิ่วจะตระหนักได้แล้ว ว่าหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีเบื้องหน้า คือสารเลวน้อยที่นางเคยส่งคนไปตามฆ่าในอดีตจริงๆ
แต่นางเองก็คิดไม่ถึงจริงๆว่าอีกฝ่ายจะโพล่งเรื่องนี้ออกมาโต้งๆ!
จังหวะนี้นางจึงอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปด้วยความตะลึง!
สีหน้าของมู่หรงปิงบัดนี้ก็เปลี่ยนไปทันที!
“เจ้า…ไฉนเจ้าถึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา! เจ้าเบื่อชีวิตนักหรือไง!?”
มู่หรงปิงถึงกับส่งเสียงผ่านพลังไปถามต้วนหลิงเทียนอย่างร้อนใจ น้ำเสียงยังไม่ขาดความวิตกกังวลแม้แต่น้อย เห็นชัดว่านางห่วงใยต้วนหลิงเทียนจริงๆ
“นางจำข้าได้แล้ว…หากข้าไม่ใช่ผู้ชายของเจ้า นางคงลงมือฆ่าข้าไปแล้วล่ะ!”
ต้วนหลิงเทียนหันไปส่งเสียงผ่านพลังถึงมู่หรงปิงเช่นกัน กระทั่งใบหน้ายังเริ่มฉายรอยยิ้มสดใสออกมา มองกล่าวกับมู่หรงปิงด้วยสายตาอ่อนโยน “เจ้าห่วงข้ามากหรือ?”
“ข้า…ข้าไม่ได้ห่วงเจ้า!”
ใบหน้างดงามใต้ผ้าผืนบางของมู่หรงปิงเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ หลังกล่าวตอบต้วนหลิงเทียนแล้ว นางก็ละสายตาออกไป และหันไปส่งเสียงผ่านพลังคุยกับโจวฉู่ชิงแก้เขินทันที
“ไล่ฆ่า!?”
“ประมุขหนานกงของนิกายอมตะสือหัง เคยส่งคนไปไล่ฆ่าปรมาจารย์โอสถต้วนด้วยหรือ!?”
“นี่…เรื่องนี้เป็นความจริงงั้นเหรอ ด้วยภูมิหลังของปรมาจารย์โอสถต้วน แต่ประมุขนิกายอมตะสือหังยังกล้าส่งคนไปฆ่าอีกเหรอ? หรือนางไม่กลัวตระกูลต้วนนภาล่องเบื้องหลังปรมาจารย์โอสถต้วนมีโมโห จนบุกเข่นฆ่าเข้ามาจากภาคกลาง ทำลายนิกายอมตะสือหังทิ้งเพื่อระบายโทสะ?”
…
ทันทีที่เสียงต้วนหลิงเทียนดังจบคำ ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่นทันที
แม้แต่บรรพจารย์ไท่อีกับเจี่ยนชิวหลัวประมุขนิกายอมะตเชียนจี ก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปด้วยความตะลึง!
พวกมันไม่เคยคิดเลย…
ว่าประมุขนิกายอมตะสือหัง เคยมีเรื่องมีราวกับต้วนหลิงเทียนในลักษณะนี้!
“หึ!”
และในขณะที่ผู้คนหันมาจับจ้องการเผชิญหน้ากันระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหนานกงซิ่วประมุขนิกายอมตะสือหังไม่วางตา ต้วนหลิงเทียนก็แค่นคำสบถออกมาเสียงเย็นคำหนึ่ง มองกล่าวกับประมุขนิกายอมตะสือหังต่อว่า…
“ในตอนแรกหากไม่ใช่เพราะข้าเห็นแก่หน้ามู่หรงปิง ข้าไม่มีทางหยุดคนของตระกูลต้วนนภาล่องข้าไม่ให้ฆ่าอาวุโสของนิกายอมตะสือหังทิ้งแน่! ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะข้าหยุดไม่ให้คนตระกูลต้วนนภาล่องของฆ่าลงมือฆ่าหญิงชรานั่น ข้าเลยต้องเสียยันต์เงาว่างเปล่าไปใบนึงอย่างไร้จำเป็น!”
กล่าวจบ ต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องประมุขนิกายอมตะสือหังงด้วยสายตาเย็นชา เรียกว่ากล้ามองสบตานางอย่างเอาเรื่องตรงๆ โดยไม่มีแม้แต่อาการหวาดกลัวทั้งยำเกรงใดๆ! กระทั่งยังทำราวกับมองข้าทาสไร้สำคัญคนหนึ่ง!!
และทันทีที่ได้ยินวาจาประโยคนี้ทั้งเห็นสายตานั่นของต้วนหลิงเทียน หน้าหนานกงซิ่วก็เปลี่ยนสีไปทันที
ก่อนหน้านี้ตอนที่โจวฉู่ชิงเลาเรื่องต้วนหลิงเทียนให้นางฟัง นางยังคิดไปอยู่เลย…
ว่าถ้าหากต้วนหลิงเทียนมาจากตระกูลอันทรงพลังในภาคกลางจริง ด้วยความสามารถขนาดนี้ไม่พ้นต้องมีคนในตระกูลลอบติดตามออกมาเพื่อดูแลความปลอดภัยในเงามืดแน่นอน…
ถ้าเป็นอย่างงั้น…แล้วทำไมตอนนางส่งคนไปฆ่าอีกฝ่าย อีกฝ่ายถึงต้องหลบหนีไปแบบนั้นด้วย?
หากภูมิหลังความเป็นมาของอีกฝ่ายยิ่งใหญ่ทรงพลังจริงๆ แล้วมียอดฝีมือเร้นกายลอบให้ความคุ้มครองอย่างลับๆ ไฉนยอดฝีมือที่ว่า…ไม่ลงมือฆ่าคนของนางเพื่อขจัดเภทภัยให้นายน้อยตัว?
มาตอนนี้วาจาของต้วนหลิงเทียน นับว่าทำให้ข้อคลางแคลงสงสัยในกาลก่อนของนางกระจ่างทันที!
‘สิ่งที่มันกล่าวมิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…ที่สำคัญหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็สามารถอธิบายได้ทันทีว่าไฉนมันที่อยู่ในสถานที่ไกลห่างล้าหลังเช่นนั้น ถึงได้มียันต์เงาว่างเปล่าที่ราชาอมตะเป็นผู้สร้างติดตัว!’
หนานกงซิ่วลอบกล่าวในใจอย่างลับๆ
“เช่นนั้น ข้าต้องขอขอบคุณปรมาจารย์โอสถต้วนแล้ว ที่ให้คนของท่านยั้งมือไว้ไมตรี”
หนานกงซิ่วมองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวขอบคุณออกมา
ขณะเดียวกันสายตาที่นางใช้มองต้วนหลิงเทียน ยิ่งมาก็ยิ่งจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งในใจยังลอบพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ‘ช่างเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ยิ่งนัก’
‘ทั้งๆที่ยังอายุไม่ถึงร้อยปีแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่สามารถหลอมโอสถหลัวเทียนได้ แถมยังบรรลุขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับได้แล้ว…’
‘ต่อให้มันจะไม่มีภูมิหลังอันใด…ก็นับว่าคู่ควรกับปิงเอ๋ออย่างยิ่ง’
ถึงแม้ว่านอกเหนือจากหนานกงซิ่วแล้ว จะไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าที่แท้นางกับมู่หรงปิงมีความสัมพันธ์อะไรกัน กระทั่งไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่ามู่หรงปิงก็คือลุกสาวคนเดียวของพี่สาวฝาแฝดนาง…
อย่างไรก็ตามนางมักมองว่าตัวเองเป็นผู้ปกครองของมู่หรงปิง!
หากไม่อาจฆ่าต้วนหลิงเทียนได้ นางก็หวังว่ามู่หรงปิงจะมีความสุข
“หากท่านคิดขอบคุณ ก็ไปขอบคุณนางเถอะ”
ขณะกล่าวถึงจุดนี้ สายตาต้วนหลิงเทียนก็ละออกจากหนานกงซิ่วและเบนไปตกยังร่างมู่หรงปิง สีหน้าเอาเรื่องแววตาเยียบเย็น ยังกลับกลายเป็นอ่อนโยนอบอุ่นปานสายลมฤดูใบไม้ผลิ
ด้านมู่หรงปิงตอนนี้ ก็ได้รับทราบเรื่องราวความเป็นไปที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจากโจวฉู่ชิงแล้ว
พอสัมผัสได้ว่าต้วนหลิงเทียนมองมา นางก็พยายามเลี่ยงสายตาต้วนหลิงเทียนสุดตัว
“เจ้า…เจ้ามาจากตระกูลใหญ่ในภาคกลางจริงๆหรือ?!”
อย่างไรก็ตามแม้นางจะหลบหน้าไม่กล้าสบตากับต้วนหลิงเทียน แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงผ่านพลังไปถามต้วนหลิงเทียนในเรื่องนี้
มู่หรงปิงย่อมจดจำได้ดี ว่าครั้งแรกที่นาพบเจอชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องงหน้า พลังฝึกปรือของอีกฝ่ายช่างอ่อนด้อยจนน่าสมเพชขนาดไหน…
อย่างไรก็ตามพึ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่ปี ด่านพลังของอีกฝ่ายก็ทะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะ กระทั่งบรรลุถึงขั้นลี้ลับ!
เรื่องนี้ทำให้นางต้องตกตะลึงพรึงเพริดแล้วจริงๆ!
แถมอีกฝ่ายยังเป็นถึงปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่สามารถหลอมโอสถหลัวเทียนได้อีกด้วย…
ที่สำคัญอีกฝ่ายยังประสบความสำเร็จทั้งหมดด้วยวัยไม่ถึงร้อยปี!
ตัวตนเช่นนี้ ต่อให้จะกวาดตามองไปทั่วแดนสวรรค์ใต้ ก็สมควรเป็นตัวตนที่พบพานได้ยากยิ่งใช่ไหม?
“หากข้าบอกว่าใช่…แล้วเจ้าจะตามข้าไปรึเปล่า?”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองวูบ เร่งกล่าวถามออกไปเสียงอ่อนทันที
“ข้า…ข้า…ข้าต้องถามความเห็นท่านอาจารย์…”
มู่หรงปิงก้มหน้าลง พลางตอบกลับผ่านพลังเสียงอ่อน
หากกล่าวได้ว่าครั้งแรกที่พบกัน ต้วนหลิงเทียนไม่นับเป็นตัวอะไรในสายตามู่หรงปิง การที่มู่หรงปิงจะเพิกเฉยไม่แยแสก็นับว่าเหมาะสม…
มาตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะเติบโตจนสามารถมองมู่หรงปิงในระดับเท่าเทียมกันเท่านั้น แต่เขายังสามารถมองมู่หรงปิงด้วยสายตที่เหนือกว่าได้…
ถึงแม้ระดับพลังฝึกปรือของเขาในตอนนี้จะยังอ่อนด้อยกว่ามู่หรงปิง
อย่างไรก็ตามตัวเขายังมีอีกฐานะหนึ่ง
ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูง ที่สามารถหลอมโอสถหลัวเทียนได้
ฐานะนี้ของเขา กระทั่งมู่หรงปิงยังต้องแหงนหน้ามอง!
“อาจารย์ของเจ้า?”
ได้ยินคำตอบของมู่หรงปิง ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วยู่ย่นกล่าวถามออกไปเสียงเข้ม “แล้วถ้าหาก…อาจารย์ของเจ้าอยากให้เจ้าตายเล่า?”
“เช่นนั้นข้าจะขอขมาท่านอาจารย์ด้วยความตาย!”
น้ำเสียงผ่านพลังที่ตอบกลับมาของมู่หรงปิงนั้น ช่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เหลือเกิน ราวกับนางไม่แยแสความเป็นตายของตัวเองแล้ว…