ตอนที่ 2,864 : พันธมิตรปรมาจารย์อมตะมาถึงแล้ว
“เจ้า…เจ้ากตัญญูเกินไปจนกลายเป็นโง่งมแล้ว!”
ได้ยินคำตอบที่ไม่แยแสชีวิตของตัวเองของมู่หรงปิง ต้วนหลิงเทียนรู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง ขณะเดียวกันเขาก็เลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามเรื่องที่เขามาจากตระกูลในภาคกลางไหมอย่างเนียนๆ
หนึ่งเลยก็คือเขาไม่อยากโกหกนาง
อีกอย่างที่เขาไม่อาจบอกออกไปได้ ว่าที่แท้เขาไม่ได้มีความเป็นมายิ่งใหญ่อะไร ทั้งไม่เคยไปเหยียบภาคกลางด้วยซ้ำ นั่นเพราะเขากลัวว่าถ้าบอกความจริงข้อนี้ออกไป มู่หรงปิงจะไม่หลงเหลือความหวังอะไรในเรื่องระหว่างเขากับนางอีก…
ถึงแม้ว่ามู่หรงปิงจะทำทีท่าเป็นเย็นชาไม่แยแสเขา
แต่ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะเห็นถึงความห่วงใยที่มู่หรงปิงมีให้เขา…
หากกล่าวว่าในอดีตเขารับทราบถึงความห่วงใยของมู่หรงปิงจากโจวฉู่ชิงล่ะก็ ตอนนี้เขาได้เห็นถึงความห่วงใยที่มู่หรงปิงมีให้เขาชัดเจน!
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ไร้เยื่อใยกับเขาแม้แต่น้อย
“เจ้าหนุ่มหน้าขาว!!”
และตอนนี้เอง พลันมีเสียงเจื้อยแจ้วคุ้นเคยหนึ่งดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน และพอได้ยินคำเรียกหาอันน่าหงุดหงิดนั่น เขาก็หันไปมองเจ้าของเสียงข้างๆกายมู่หรงปิงทันที
เจ้าของเสียงก็คือดรุณีน้อยในชุดเขียวนางหนึ่ง
นางก็คือ ลุ่ยหลัว ศิษย์ของนิกายอมตะสือหัง ทั้งยังเป็นศิษย์น้องคนเล็กของมู่หรงปิง
“หากเจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่ ก็ช่วยรับผิดชอบศิษย์พี่หญิงสามของข้าเสีย! รีบพาศิษย์พี่หญิงสามหนีไปให้ไกลจากพื้นที่ชายแดนโดยเร็วที่สุด พานางกลับไปตระกูลเจ้าที่ภาคกลางได้ยิ่งดี…หากเจ้าไม่พาศิษย์พี่หญิงสามข้าไปด้วย ข้าเกรงว่าหลังกลับไปถึงนิกายอมตะสือหังคราวนี้ เรื่องราวทั้งหมดคงไม่อาจปิดบังท่านอาจารย์ได้แล้ว”
เสียงลุ่ยหลัวที่ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนสืบต่อ ยังจริงจังเคร่งเครียดเป็นพิเศษ “ด้วยนิสัยของท่านอาจารย์ หากรู้ว่าศิษย์พี่หญิงสามไม่อาจมีวาสนาได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขนิกายอมตะสือหังเพราะเรื่องความบริสุทธิ์ของนางล่ะก็ ข้ากลัวว่าท่านอาจารย์จะลงมือจัดการศิษย์พี่หญิงสามอย่างไร้เยื่อใยทันที!”
“ในอดีตนานมาแล้ว ศิษย์พี่หญิงของข้าคนหนึ่ง ก็ถูกท่านอาจารย์สำเร็จโทษเพราะเรื่องทำนองนี้มาแล้ว…”
กล่าวถึงท้ายประโยค เสียงของลุ่ยหลัวก็สั่นไปเล็กน้อย ราวกับนางกังวลเรื่องความปลอดภัยของมู่หรงปิงมากจริงๆ
ตั้งแต่เล็กจนโต นางใช้เวลาอยู่กับมู่หรงปิงศิษย์พี่หญิงสามของนางคนนี้มากกว่าเวลาที่ใช้อยู่ร่วมกับอาจารย์เสียอีก!
เช่นนั้นในสายตาของนาง จึงเห็นนมู่หรงปิงไม่ต่างอะไรจากพี่สาวแท้ๆมานานแล้ว นางย่อมไม่อยากให้ศิษย์พี่หญิงสามของนางต้องเกิดเรื่อง!
“หากเจ้าเต็มใจพาศิษย์พี่หญิงสามของข้าหนีตามกัน…ต่อไปไม่เพียงแต่ข้าจะไม่เรียกเจ้าว่าเจ้าหนุ่มหน้าขาวเท่านั้นนะ ข้าจะเรียกเจ้าว่าพี่เขยเพราะๆเลยด้วย”
กล่าวถึงประโยคนี้ น้ำเสียงของลุ่ยหลัวก็อ่อนลงเล็กน้อย ราวกับนี่เป็นนางที่ประนีประนอมยอมลงมากแล้ว
เรียกว่ายอมลงให้ต้วนหลิงเทียนมากที่สุดเท่าที่นางจะทำได้…
“หากศิษย์พี่หญิงสามของเจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงนางถึงขนาดนี้ นางต้องดีใจมากแน่ๆ…”
ถึงแม้คำพูดของลุ่ยหลัวจะฟังแล้วเด็กน้อยไปหน่อย แต่ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าสิ่งที่นางกล่าวนั้น มาจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ และนางอยากให้ศิษย์พี่หญิงสามปลอดภัยไร้เรื่องราวมากขนาดไหน “ข้าเองก็ชวนให้นางไปกับข้าแล้ว…แต่นางดันไม่เต็มใจจะไปกับข้าเนี่ยสิ…”
“แถมนางยังบอกข้าอีกว่า…นางจะไปถามความเห็นของอาจารย์นางก่อน และหากอาจารย์ไม่ปล่อยนางไป นางก็ไม่คิดจะไปไหน ที่สำคัญหากอาจารย์คิดสำเร็จโทษนางจริงๆ นางยังจะขอขมาด้วยชีวิตอีก…”
ตั้งแต่ที่ลุ่ยหลัวบอกให้เขารับผิดชอบมู่หรงปิงด้วย ต้วนหลิงเทียนก็ทราบได้ทันที
ไม่พ้นลุ่ยหลัวต้องรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับมู่หรงปิง
และเขามั่นใจมากว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่พบกันครั้งแรก ลุ่ยหลัวยังไม่รู้เรื่องนี้เลย นางน่าจะพึ่งรู้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ได้ยินเสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียนรอบนี้ ลุ่ยหลัวก็เงียบไปทันที
และเมื่อสายตาของนางละออกจากต้วนหลิงเทียนไปหันมองมู่หรงปิงที่อยู่ข้างๆ ในแววตาก็ฉายชัดถึงความอับจนหนทางและไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ศิษย์พี่หญิงสามของนางก็เป็นอย่างนี้มาตลอด…
“ชิวหลัว…”
หลังจากนั้นสักพักหนานกงซิ่ว ประมุขนิกายอมตะสือหังก็กล่าวชักชวนเจีย่นชิวหลัวประมุขนิกายอมตะเชียนจี ก่อนที่ทั้งคู่จะนำคนของตัวเองออกจากจุดนี้ สุดท้ายก็คงเหลือแต่คนของนิกายอมตะไท่อี ที่ยืนอยู่ในจัตุรัสอันกว้างใหญ่…
“ปรมาจารย์โอสถต้วน หนานกงซิ่ว…เคยส่งคนไปไล่ฆ่าท่านจริงๆหรือ?”
หลังคนของนิกายอมตะสือหังและคนของนิกายอมตะเชียนจีไปกันหมดแล้ว บรรพจารย์ไท่อีก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนแล้วถามเรื่องนี้ออกไปทันที
ขณะเดียวกัน ซือถูหมิง หยางชง และอวี๋จ้งจิ่งก็พากันมองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างพร้อมเพรียง ในแววตาทั้ง 3 ยังฉายชัดถึงความสงสัยไม่ต่าง เห็นได้ชัดว่าทุกคนเองก็อยากรู้ว่าที่แท้เรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่
ประมุขนิกายอมตะสือหัง หนานกงซิ่ว ผู้นั้น ถึงกับเคยส่งคนไปตามฆ่าปรมาจารย์โอสถต้วนจริงๆหรือ?
แล้วถ้านางเคยส่งคนไปตามฆ่าปรมาจารย์โอสถต้วนจริงๆ เช่นนั้นนางมีเหตุผลอะไรกันแน่?
“ใช่ นางส่งอาวุโสขอบเขตขุนนางอมตะมาตามฆ่าข้า…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เพราะอันใดหรือ?”
บรรพจารย์ไท่อีกล่าวถามสืบต่อด้วยความอยากรู้
“เพราะว่า…เป็นข้าเอง ที่ทำให้มู่หรงปิงไม่อาจรับช่วงเป็นประมุขนิกายอมตะสือหังได้อีก!”
ต้วนหลิงเทียนที่เหม่อมองคนของนิกายอมตะสือหังและคนอื่นๆที่เดินไปถึงอีกฟากของจัตุรัสเต๋าโอสถ กล่าวออกมาเสียงเบา
“เพราะท่าน…มู่หรงปิงจึงมิอาจรับช่วงเป็นประมุขนิกายอมตะสือหังได้อีก?”
ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน บรรพจารย์ไท่อีก็อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามเพิ่ม “ทำไมเล่า?”
ถึงแม้ว่าบรรพจารย์ไท่อี จะไม่ได้ออกเดินทางไกลมาเป็นเวลานานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ถึงมันไม่ได้ออกไปไหนแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สถานการณ์ของ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในนิกายอมตะใหญ่ทั้งหลาย…
ในบรรดาเรื่องที่มันรับรู้มาเหล่านั้น ก็มีเรื่องที่มู่หรงปิงได้รับเสียงส่วนใหญ่ในนิกายอมตะสือหัง ว่าเป็นผู้ที่จะขึ้นรับตำแหน่งประมุขนิกายอมตะสือหังคนต่อไป…
กระทั่งบรรพจารย์ไท่อียังได้ยยินมาว่า
มากกว่า 9 ส่วนของเหล่าอาวุโสในนิกายยอมตะสือหัง ยังคาดหวังว่ามู่หรงปิงจะขึ้นดำรงตำแหน่ประมุขนิกายอมตะสือหังคนต่อไป
อาจกล่าวได้ว่า เรื่องที่มู่หรงปิงจะขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขของนิกายอมตะสือหังนั้น มันเป็นเรื่องที่เกือบจะแน่นอนแล้ว
ทว่ามาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลับบอกว่า…
เป็นเพราะเขา มู่หรงปิงก็เลยไม่อาจขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขนิกายอมตะสือหังได้อีก…
ครู่หนึ่งในใจของมันก็อดไม่ได้ที่จะสับสนงุนงง ยังบังเกิดอาการคันในหัวใจยากจะเกาเพราะอยากรู้เหลือเกิน…
“ก็แค่…มู่หรงปิงเป็นผู้หญิงของข้า”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบอย่างเฉยเมย “และประมุขนิกายอมตะสือหัง ไม่อาจมีชายคนรักได้…”
เรียกว่าทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกมาครั้งนี้ บรรพจารย์ไท่อีและคนอื่นๆถึงกับหน้าเหวอไปตามๆกัน จากนั้นบางคนก็เริ่มหันไปมองฮ่วนเอ๋อที่ยืนข้างๆกายต้วนหลิงเทียน แต่ก็พบว่าฮ่วนเอ๋อยังคงสงบเหลือเกิน คล้ายไม่สนใจเลยที่ต้วนหลิงเทียนจะมีผู้หญิงอีกคนอย่างมู่หรงปิง
“เช่นนั้น…นางจึงคิดว่าหากฆ่าท่านเสีย มู่หรงปิงจะสามารถขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขนิกายอมตะสือหังได้อย่างไร้บ่วงใดๆ?”
ตอนนี้บรรพจารย์ไท่อีไม่ได้นึกไปทำนองที่ต้วนหลิงเทียนกับมู่หรงปิงมีสัมพันธ์ทางกายลึกซึ้งกันแล้วเลย….
ที่มันคิดก็แค่ หากมู่หรงปิงนั้นมีใจให้ต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนยังมีชีวิตอยู่ ก็ยากที่มู่หรงงปิงจะขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขนิกายยอมตะสือหังได้ เพราะถึงตอนนั้นใครจะบอกได้ว่าทุกการตัดสินใจล้วนเกิดจากประมุข ไม่ใช่คนนอก…
ได้ยินคำถามซักไซ้ของบรรพจารย์ไท่อีอีกรอบ คราวนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
เขายังจะพูดอะไรได้อีก?
หรือจะให้เขาบอกบรรพจารย์ไท่อีไปว่า อ่อพอดีข้าหลับนอนกับมู่หรงปิงแล้วน่ะ แล้วพอดีนิกายยอมตะสือหังดันมีกฏไว้ว่าประมุขนิกายต้องครองพรหมจรรย์ เช่นนั้นมู่หรงปิงก็ขึ้นรับตำแหน่งประมุขไม่ได้อีกต่อไป?
อย่างไรก็ตาม การที่ต้วนหลิงเทียนไม่ตอบอะไร ก็ทำให้บรรพจารย์ไท่อีคิดว่าตัวเองเข้าใจถูก…
“คนของพันธมิตรปรมาจารย์อมตะมากันแล้ว!”
ทันใดนั้นเองซือถูหมิงที่เหลือบมองไปยังกลางจัตุรัสเต๋าโอสถพอดี ก็กล่าวอุทานออกมาอย่างประจวบเหมาะ
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก็หันไปมองใจกลางจัตุรัสเต๋าโอสถเช่นกัน
จึงได้เห็นว่ามีร่าง 8 ร่างเหาะลงมาจากฟ้า จากนั้นก็แยกย้ายกันออกไปยังแท่นหินทั้ง 4 ทิศๆละ 2 คน
กลุ่มแรกที่ร่อนลงมาถึงแท่นหินก่อนก็คือชายวัยกลางคนกับชายชรา ด้านชายวัยกลางคนนั้นแต่งกายสุภาพเรียบร้อยดั่งอาลักษณ์ ในมือถือพัดขนนก ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา เห็นได้ชัดว่าตอนมันยังหนุ่มสมควรหล่อเหลาเอาเรื่องทีเดียว!
ชายชราข้างๆนั้น ดวงตาสีโคลนของมันแลดูชืดชาต่อทุกสิ่ง ใบหน้ายังไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ชุดที่ใส่ก็แค่ชุดสีเทาเรียบง่ายธรรมดาๆ ไร้ชุดคลุมใดๆสวมทับ แลดูไปคล้ายชายชราธรรมดาๆคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ชายชราผู้นี้ปรากฏตัว ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆแท่นหิน ก็เร่งเข้าไปห้อมล้อมมัน ทั้งประสานมือโค้งคารวะอย่างสุภาพเรียบๆร้อยๆ
“ปรมาจารย์โอสถเคอ!”
“ปรมาจารย์โอสถเคอ!”
…
เหล่าผู้คนที่อยู่แถวนั้นและเร่งรุดไปคารวะทักทายล้วนแล้วแต่เป็นปรมาจารย์โอสถที่สวมใส่ชุดคลุมปรมาจารย์อมตะทั้งสิ้น หลายคนก็มาจากนิกายอมตะใหญ่ของ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ต้วนหลิงเทียนยังแลเห็นคนที่คุ้นๆตาไม่กี่คนอยู่ในนั้นด้วย
ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นกลุ่มปรมาจารย์หลอมโอสถของนิกายอมตะหลงหวู่กับปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะเชียนจี ที่พึ่งสนทนากับเขาไปก่อนหน้านั่นเอง
หลังจากที่ทั้ง 2 นิกายออกจากจุดนี้ ก็ไปถึงอีกฟากหนึ่งของจัตุรัส และใกล้ๆกับแท่นหินที่ชายชราผู้นั้นลงมาพอดี
และพอชายชราดังกล่าวปรากฏตัวออกมา ทุกคนก็พากันไปแห่คารวะทักทาย
“ผู้เฒ่าในชุดสีเทาผู้นั้นมีนามว่าเคอเฉวียน เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงสุดของพันธมิตรปรมาจารย์อมตะ…ถึงแม้ว่านับจากทักษะแล้วจะอยู่ชั้นล่างสุดของบรรดาปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงสุดในพันธมิตรปรมาจารย์อมตะก็ตาม แต่อย่างระดับสูงสุดก็คือระดับสูงสุด…ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงสุดนับว่ามีนับได้ด้วยนิ้วมือ เช่นนั้นสถานะของมันในพันธมิตรปรมาจารย์อมตะของภาคตะวันออกเฉียงใต้จึงนับว่าสูงมาก”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจับจ้องไปยังชายชราในชุดสีเทาแลดูธรรมดาๆด้วยความสนใจ เสียงของบรรพจารย์ไท่อีก็ดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ
“ส่วนชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างกายนั้น เป็นขุนนางอมตะ 9 ตำหนัก ชื่อแซ่เต็มๆของมันมีน้อยคนที่จะล่วงรู้…ปกติแล้วปรมาจารย์โอสถเคอมักเรียกหามันว่า ‘เสี่ยวเหอ’ ผู้คนยังพากันคาดเดาไปเรื่อยว่าที่แท้มันชื่อแซ่เต็มๆว่าอันใดกันแน่”
…
ในขณะที่ผู้คนที่เหลืออีก 6 คนกำลังเหาะลงไปยังแท่นหินต่างๆในอีก 3 ทิศที่เหลือ เสียงของบรรพจารยญ์ไท่อีก็ดังขึ้นข้างหูให้ต้วนหลิงเทียนได้ยินอีกครั้ง
และในอีก 3 คู่ที่พึ่งมาถึง หนึ่งในนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงสุดทั้งสิ้น ส่วนอีกคนก็ล้วนเป็นผู้ติดตามที่คอยดูแลอารักขาปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงสุด
ที่น่าพูดถึงก็คือ มีคู่หนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกประการ เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นพี่น้องฝาแฝดกันแน่นอน
และน้องชายฝาแฝดของปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงสุดผู้นั้น ก็เป็นถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศ!
“ปรมาจารย์โอสถจง!”
“ปรมาจารย์โอสถจง!”
…
ตอนแรกที่คู่แฝดปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงสุดกับผู้ติดตามนั้นพึ่งมาถึง ผู้คนยังไม่ค่อยได้เข้าไปทักทายเท่าไหร่ แต่พอเห็นหน้าค่าตาชัดก็เร่งไปประสานมือคารวะคนพี่ก่อนทันที
และครู่ต่อมาเสียงคารวะทักทายก็ดังขึ้นตามติด ยังดังพอๆกับตอนทักทายแฝดผู้พี่ที่เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงสุดอีกด้วย
“ใต้เท้าจงฉี!”
“ใต้เท้าจงฉี!”
…
ที่ไฉนรอบนี้ผู้คนถึงได้ทักทายผู้ติดตามที่เป็นแฝดคนน้องนั้น…
ไม่ใช่เพราะเหตุผลใดอื่น แต่เป็นเพราะว่ามันคือขุนนนางอมตะ 10 ทิศ!
และขุนนางอมตะ 10 ทิศ ก็ถือว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลังสูงสุดใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้แล้ว กระทั่งยังเป็นด่านพลังสูงสุดของพื้นที่ชายแดนทั้งมวลของแดนสวรรค์ใต้อีกด้วย!
“จงฉ่าง…จงฉี…”
สายตาต้วนหลิงเทียนก็จับจ้องไปยังร่างฝาแฝดคู่นี้เช่นกัน สำหรับนามของทั้งคู่ เขาก็ได้ยินบรรพจารย์ไท่อีบอกมาอีกที
ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงสุดที่เป็นแฝดผู้พี่เรียกว่า จงฉ่าง!
ส่วนขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เป็นแฝดผู้น้องเรียกกว่า จงฉี!