บทที่ 2159.2 ความร้อนได้ที่แล้ว (2)

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ยังโบกมือให้คนนำน้ำชามาวาง แล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “สถานการณ์ในใต้หล้าตอนนี้เป็นยังไง ใช่ว่าผู้ตรวจการใหญ่จะไม่รู้ เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดเปิดโปง ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ อาศัยแค่ข่าวเดียว ก็จะให้ข้าปล่อยแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นข้าจะอธิบายให้ชัดเจนได้เหรอ?”

ฮวาอี้เทียนโยนแผ่นหยกในมือออกไป “ท่านอ๋องดูเอาเองเถอะ พิธีรีตองพวกนั้นคงไม่จำเป็นสำหรับท่านอ๋อง ละเว้นไปเสียเลย”

เหมียวอี้รับมาอ่านแล้วยิ้มเบาๆ สงสัยจะนำบัญชาของประมุขชิงมาด้วยตัวเอง ถือโอกาสถ่ายทอดบัญชา ละเว้นพิธีรีตองแล้วจริงๆ

พอวางแผ่นหยกลงบนโต๊ะน้ำชา เหมียวอี้ก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เสียเลย ถามกลับว่า “มีข่าวบอกมาว่า ฝ่าบาททำเพื่อจ้านหรูอี้ ปลดผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายโพ่จวินไปแล้วเหรอ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือเปล่า?”

ฮวาอี้เทียนเม้มริมฝีปาก “เรื่องของกองทัพองครักษ์ ท่านอ๋องก็อยากสอดมือเข้ามายุ่งเหมือนกันเหรอ?”

เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที “ในปีนั้นข้าล่วงเกินอิ๋งจิ่วกวง หัวแทบจะหลุด ถ้าไม่ใช่เพราะโพ่จวินพูดขอร้องไห้ เกรงว่าข้าคงเดินมาไม่ถึงวันนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรู้จักบุญคุณอะไรหรอก ตำหนักสวรรค์เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น อ๋องผู้นี้จะถามบ้างไม่ได้เชียวหรือ?”

ฮวาอี้เทียนบอกว่า “ถ้าอยากจะถามจริงๆ ท่านอ๋องก็ไปถามตอนประชุมราชสำนักให้ชัดเจนได้เลย” ความหมายที่จะสื่อก็คือ เจ้าเคยเข้าประชุมราชสำนักหรือเปล่าล่ะ? มัวเสแสร้งอยู่อย่างนี้สนุกนักหรือไง?  เขาวกเข้าประเด็นหลักเสียเลย “คำบัญชาก็มาถึงแล้ว ท่านอ๋องออกคำสั่งให้ปล่อยให้เข้ามาเถอะ”

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วเอียงหน้าบอกว่า “ถ่ายทอดคำสั่งข้า ปล่อยให้เข้ามา!”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน “ผู้ตรวจการใหญ่เป็นแขกที่มาไม่บ่อย ไม่ง่ายเลยกว่าจะให้เกียรติมาเยือน ข้าเตรียมสุราไว้แล้ว ผู้ตรวจการใหญ่ได้โปรดไว้หน้า”

“น้ำใจของท่านอ๋องถ้ารับไว้แล้ว ติดงาน ไม่กล้าชักช้า ครั้งหน้ามีเวลาว่างค่อยมารบกวน ท่านอ๋องโปรดอย่าถือสา” ฮวาอี้เทียนลุกขึ้นยืน แล้วกุมหมัดขอตัว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มีกิจธุระรัดตัว ข้าก็ไม่ฝืนใจแล้ว ส่งแขก!” เหมียวอี้โบกมือเชิญ

รอจนกระทั่งส่งแขกไปแล้ว หยางเจาชิงกลับมาหาเหมียวอี้ในสวนดอกไม้ แล้วถามว่า “ท่านอ๋อง จะปล่อยให้เข้ามาจริงเหรอ?”

“บัญชามาแล้ว ไม่ปฏิบัติตามไม่ได้หรอก” เหมียวอี้พูดจาประหลาดแฝงความนัย แล้วกล่าวเสริมอย่างไม่ตรงประเด็นอีกว่า “แต่จะทำให้เสียกฎระเบียบไม่ได้ ถ้าให้พระปีศาจปะปนเข้ามาจะทำยังไงล่ะ? ให้คนไปตรวจสอบที่เข้มงวด ตรวจสอบให้ชัดเจนทีละคนแล้วค่อยปล่อย!”

หยางเจาชิงปาดเหงื่อเล็กน้อย ฮวาอี้เทียนมีกำลังคนเยอะขนาดนั้น ถ้าจะให้ตรวจสอบทีละคน จะต้องตรวจสอบไปถึงเมื่อไหร่? แต่เขาก็เข้าใจเจตนาของเหมียวอี้ กำลังรังแกประมุขชิงที่ในเวลานี้ไม่กล้าแตกคอกันง่ายๆ

ที่จริงจะว่าไปแล้ว ในตอนนี้คนที่ทำอย่างนี้ก็ไม่ใช่แค่ฝั่งนี้เท่านั้น ตามข่าวที่ฝั่งนี้ได้รับมา ทัพตะวันตกกับทัพเหนือก็กำลังจงใจถ่วงเวลาไม่ให้กำลังพลกองทัพองครักษ์รวมตัวกัน ไม่ต้องบอกกันและกันก็เกิดเป็นสัญญาณลับที่รู้กันได้ ทุกคนต่างกำลังรังแกประมุขชิงเพราะอาศัยว่าอีกฝ่ายยังไม่กล้าแตกคอกันง่ายๆ ชัดเจนว่าต้องการเห็นเรื่องน่าขำระหว่างสองพ่อลูก ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วมีการเคลื่อนไหวใหญ่โตอะไรเพื่อตัดกำลังของประมุขชิง นั่นก็ยิ่งดีเลย แม้แดนสุขาวดีจะปล่อยข่าวแล้ว ว่าระดมทัพใหญ่เตรียมเข้ามาในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ แสดงออกชัดเจนว่าจะสนับสนุนประมุขชิง แต่ทุกคนก็ยังต้องสร้างปัญหายุ่งยากต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่ก็ไม่ได้จะแตกคอกับเจ้าเช่นกัน ฟังคำสั่งแล้ว เพียงแต่หาข้ออ้างต่างๆ นานามาถ่วงเวลาเจ้าไว้

การปกครองใต้หล้าก็มีข้อดีของการปกครองใต้หล้า ข้อเสียก็มีเช่นกัน คนอื่นสามารถก่อเรื่องซี้ซั้วได้  แต่เจ้ากลับไม่สามารถโจมตีใครได้ง่ายๆ

เดินขึ้นไปบนตึกช้าๆ เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนพิงระเบียง ทอดสายตามองครู่หนึ่ง แล้วพึมพำว่า “ความร้อนได้ที่แล้ว ลงมือทางแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้แล้ว! แจ้งไปที่เหิงอู๋เต้า ถอนกำลังพลไปที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาล!”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ

จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ในศาลาของสวนดอกไม้ ชิงหยวนจุนมองเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เก็บระฆังดาราเงียบๆ แล้วถามว่า “เสด็จแม่ เป็นยังไงบ้าง?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขมวดคิ้วส่ายหน้า “ติดต่อแล้ว  ตามที่พวกบ่าวไพร่ฝั่งนั้นบอก สมาชิกตระกูลคนสำคัญที่อยู่จวนท่านปู่สวรรค์หนีออกไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าไปที่ไหน เหลือแค่คนเฝ้าบ้านจำนวนหนึ่งเท่านั้น”

ก่อเรื่องแบบนี้แล้ว เฉาหม่านก็ไม่ใช่คนโง่ ยังจะรอให้ประมุขชิงส่งทหารมาปราบอีกหรือ ก็ต้องหลบอยู่แล้ว

เพียงแต่สิ่งนี้ทำให้นางกลุ้มใจมาก นางอยากติดต่อหาเฉาหม่าน ในเมื่อตระกูลเซี่ยโห้วต้องการจะสนับสนุนนาง นางก็อยากจะติดต่อกลับตระกูลเซี่ยโห้วโดยตรง อยากหลบเลี่ยงคนกลางอย่างเหมียวอี้ นางไม่ใช่คนโง่บริสุทธิ์ ไม่อยากถูกเหมียวอี้จูงจมูกเดินตลอดไป อีกเรื่องหนึ่งก็คืออยากครอบครองสายมะเส็งไว้ตลอดเพื่อขยายกำลังทหาร เนื้อติดมันที่เอาเข้าปากมาแล้ว ทำไมต้องคายด้วยล่ะ? ที่สำคัญก็คือไม่สะดวกจะอธิบายกับพวกลูกน้อง คนเราเวลาไม่มีก็อยากมี แต่พอมีแล้วก็ได้คืบจะเอาศอก

แต่อาศัยกำลังของพวกเขา ถ้าคิดจะต่อต้านทั้งทัพใต้ก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงอยากขอการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว แต่เฉาหม่านเหมือนจะไม่อยากสนใจฝั่งนี้

ชิงหยวนจุนเริ่มขมวดคิ้วเช่นกัน ไม่เข้าใจว่าตระกูลเซี่ยโห้วทำแบบนี้หมายความว่าอะไร

“เหนียงเหนียง ท่านบุรุษขอเข้าเฝ้าเพคะ” เอ๋อเหมยเดินมาจากกำแพงดอกไม้อีกด้านหนึ่ง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกทันทีว่า “เชิญมา”

เอ๋อเหมยออกไป ประเดี๋ยวเดียวหยางชิ่งก็มาแล้ว หลังจากทำความเคารพ ก็รายงานว่า “ฝั่งท่านอ๋องเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว สามารถส่งอาณาเขตสายมะเส็งให้ได้ทุกเมื่อ องค์ชายโปรดเคลื่อนทัพไปรับโดยเร็ว”

สองแม่ลูกสบตากันแวบหนึ่ง ชิงหยวนจุนบอกว่า “เคลื่อนทัพเมื่อไหร่ก็ได้ ติดแค่ฝั่งกองทัพองครักษ์ ข้าได้ยินว่าฝ่าบาทระดมพลกองทัพองครักษ์แล้ว”

หยางชิ่งเข้าใจความกังวลของเขา ในส่วนลึกยังคงกลัวประมุขชิง อย่างไรเสียกำลังของประมุขชิงก็เห็นกันอยู่ เขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กำลังระดมพล แต่กลับเคลื่อนไหวช้า นี่ก็คือความเก่งกาจของตระกูลเซี่ยโห้ว ไม่ใช่แค่ท่านอ๋องเท่านั้น ทัพตะวันตกกลับทัพเหนือก็จงใจถ่วงเวลาไม่ให้กองทัพองครักษ์ระดมพลเช่นกัน แล้วกองทัพองครักษ์ทางฝั่งทัพตะวันออกก็ถูกเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อถ่วงไว้แล้วด้วย แล้วอีกอย่าง องค์ชายก็แค่ยืมใช้อาณาเขตสายมะเส็งชั่วคราว ยังไม่ทันรอให้กองทัพองครักษ์มาโจมตี  พวกเขาก็ถอนกำลังออกไปแล้ว องค์ชายยังคิดจะให้ประจำการอยู่ในระยะยาวเชียวหรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เกรงว่าจะยั่วโมโหท่านอ๋องนะสิ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าฝั่งนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านอ๋อง ถ้าท่านอ๋องปล่อยให้กองทัพองครักษ์บุกโจมตีเมื่อไหร่ องค์ชายเองก็รับไม่ไหวเหมือนกัน”

ประโยคสุดท้ายพูดแทงใจสองแม่ลูก ซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้องชายคิดมากไปแล้ว พวกเราไม่ใช่คนที่พูดจากลับกลอก ก็แค่กังวลว่าช้าเร็วกองทัพองครักษ์ก็จะโจมตีเข้ามาในแดนรัตติกาล”

หยางชิ่งถอนหายใจ “เคลื่อนทัพก็เพื่อเป็นพันธมิตรกัน พอทัพใหญ่แดนรัตติกาลออกมา ท่านอ๋องมอบอาณาเขตให้ ถึงตอนนั้นไม่ว่าใครก็ดูออกว่าท่านอ๋องกับองค์ชายเป็นพวกเดียวกัน กองทัพองครักษ์ยังจะกล้าโจมตีเข้ามาในแดนรัตติกาลอีกหรือ? เรื่องบางเรื่องยั่วยุกันไม่ได้ แค่ขู่ให้หยุดได้ก็เพียงพอแล้ว! ดังนั้นหลังจากฝั่งนี้เคลื่อนทัพแล้ว ก็ต้องทำให้สมจริงสักหน่อย ต้องแสร้งว่ากำลังพลสายมะเส็งถูกกำลังพลขององค์ชายโจมตีจนถอยร่นไป ถึงตอนนั้นแม้ตำหนักสวรรค์จะรู้อยู่แก่ใจ แต่กลับคว้าจุดอ่อนอะไรของท่านอ๋องไม่ได้”

สองแม่ลูกได้ยินแล้วพยักหน้าช้าๆ ทำสีหน้าเหมือนตื่นรู้

จวนอ๋องสวรรค์หนิว โถงหลักในเรือนชั้นใน เหมียวอี้สองคนที่หน้าตาเหมือนกันกำลังยืนอยู่ตรงข้ามกัน อวิ๋นจือชิวที่เพิ่งเข้าประตูมาเห็นแล้วตกใจ มองคนนี้แล้วก็มองคนนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจสงสัย

ในสองคนนี้ย่อมมีคนหนึ่งที่เป็นตัวจริง ส่วนอีกคนก็คือไป๋เฟิ่งหวง

ไป๋เฟิ่งหวงส่งเสียงผู้หญิงออกมา ทำเสียงฮึดฮัดเหมือนไม่สบอารมณ์ “ครั้งนี้จะให้ข้าไปทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอะไรอีกล่ะ?”

เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม “วางใจเถอะ ครั้งนี้รับรองว่าเจ้าจะไม่อันตรายเลยสักนิด แค่ให้เจ้าโผล่หน้าไปก็เท่านั้นเอง”

หลังจากได้ยินเสียงนี้ อวิ๋นจือชิวก็ตบอกเบาๆ อย่างโล่งใจ

……………