มือขวาของหลินเฉาเถียนนั้นปรากฏลูกไฟก่อนสีขาวขุ่นส่งเสียงซ่าออกมา
แค่ได้เห็นนั้นมันก็แทบจะเผาดวงตาของผู้มองไป
ในมือซ้ายของเขานั้นมันมีลูกไฟสีดำอีกก้อนหนึ่งกำลังสั่นไหวไม่หยุดพร้อมทำให้คนทั้งหลายต่างรู้สึกสั่นสะท้านไปถึงจิตวิญญาณ
ไฟทั้งสองนี้มันทำให้คนทั้งหลายที่อยู่ตรงนั้นรวมไปถึงเทียนชิงและเยวี่ยเมิ่งลี่ต่างรู้สึกได้ถึงความอันตราย
“นั่นมันเพลิงสวรรค์ทิ้งเถ้าและเพลิงอเวจีโมฆะ! ในตำนานนั้นกล่าวกันว่ามันคือสองไฟที่รุนแรงที่สุดในระดับกฎแห่งธาตุไฟ! ไฟทั้งสองนั้นหนึ่งแผดเผาร้อนรุ่มทำลายทุกสิ่งอย่างสิ้น ส่วนอีกหนึ่งเป็นไฟที่เผาลึกลงถึงแก่นทำลายความคิดใดลงสิ้น! สองไฟนี้หนึ่งสูงล้ำหนึ่งต่ำตม หากใช้ออกมาพร้อมกันแล้วพวกมันคงทำลายทุกสิ่งลงได้สิ้น! ไฟทั้งสองนี้มันคือไฟในตำนานไม่ผิดแน่! ข้าไม่นึกเลยว่าคนอย่างมันนี้กลับจะบรรลุสำเร็จได้ตั้งแต่รับตำแหน่งเต๋าบรรพกาลเช่นนี้!” เทียนชิงร้องขึ้นมา
ดวงตาของเขานั้นแสดงความหวาดหวั่นออกมาอย่างชัดเจน
ตั้งแต่ขึ้นเป็นเต๋าบรรพกาลนั้นตัวเขาย่อมจะยิ่งไม่เกรงกลัวใดๆ มากไปกว่าเก่า
แต่หนึ่งในสิ่งที่ทำให้เขาหวั่นใจได้มันก็คือไฟทั้งสองนี้
ในจิตใจของเขานั้นเขาได้ยอมรับเอาหลินเฉาเถียนเป็นคู่แข่งแล้ว
เยวี่ยเมิ่งลี่ที่ได้ยินนั้นต้องขมวดคิ้วแน่น “เช่นนั้นเย่หยวนเขา…”
เทียนชิงพยักหน้ารับ “เพลิงอเวจีโมฆะนั้นมันแตกต่างจากไฟอันเร่าร้อนใดๆ เพราะมันเป็นอาวุธร้ายที่หมายทำลายจิตศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้จะเป็นบรรพบุรุษผู้นี้เองแต่หากถูกเพลิงอเวจีโมฆะเข้าไปแล้วข้าก็คงจะรอดได้ยาก! เย่หยวนนั้นมีจิตศักดิ์สิทธิ์ที่แปลกประหลาดแต่คิดจะต่อต้านพลังของเพลิงอเวจีโมฆะนั้นมันก็คงยังไม่มากพอ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้านี่มันถึงได้กล้าอวดอ้างตัวปกครองเผ่าพันธุ์ทั้งหลาย คำพูดของมันนั้นไม่ได้เกินตัวเลย!”
เยวี่ยเมิ่งลี่หน้าเปลี่ยนสีไปจนเผลอยกมือขึ้นมาเกาะชายเสื้อของเทียนชิง
แต่ทางเทียนชิงนั้นกลับกล่าวขึ้นมาต่อ “แต่หากมันคิดจะสังหารเย่หยวนข้าเกรงว่ามันคงยังไม่มากพอ แต่หากมันทำให้เย่หยวนนั้นบาดเจ็บปางตายได้บรรพบุรุษผู้นี้จะร่วมวงด้วยแน่นอน”
“หึๆ หลบ หลบ หลบ! เอาแต่หลบตั้งแต่ขึ้นอาณาจักรเจ้าฟ้าดินจนป่านนี้มีพลังระดับมหาบรรพกาลแล้วเจ้าก็ยังจะหลบ! เย่หยวน ไอ้หน้าตาขี้ขลาดของเจ้านั้นมันเหมาะสมใดๆ กับตำแหน่งนักบุญฟ้าครามกัน? เจ้ามันก็แค่ไอ้ตาขาวคนหนึ่ง!” หลินเฉาเถียนร้องลั่นขึ้นมาด้วยความเย้ยหยัน
แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่ได้หันไปสนใจมองและยกนิ้วขึ้นมาชี้ออกไป
ดาบแสงนั้นพุ่งผ่านร่างของหวังเจิ้งไปตัดทำลายชีวิตเขาลง
ม่านตาของหวังเจิ้งมันค่อยๆ ขยายใหญ่ออก
เขานั้นไม่เคยนึกฝันว่าตนเองจะได้มาตายลงหลังจากเพิ่งก้าวขึ้นเป็นเต๋าบรรพกาล!
บางทีเขาอาจจะเป็นเต๋าบรรพกาบที่อายุสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์แล้วใช่หรือไม่?
จากนั้นมันก็ค่อยๆ ปรากฏเส้นที่ดูเหมือนสายไหมหลั่งไหลออกมาจากร่างของหวังเจิ้ง
จนสุดท้ายมันก็ผสานกลายเป็นลูกผลึกสีฟ้าม่วง
ผลึกแห่งกฎ!
เย่หยวนนั้นโยนผลึกก้อนนั้นไปให้แก่ผางเจิ้นพร้อมสั่ง “ตำแหน่งเต๋าบรรพกาลสายฟ้านั้นเหมาะกับเจ้าที่สุด”
ผางเจิ้นนั้นก้มลงมองดูผลึกในมือด้วยความรู้สึกที่ยากอธิบาย
นี่… สมบัติร่วงลงมาจากฟ้าหรือ?
ไม่สิ มันเป็นสมบัติที่นายท่านให้เขามาต่างหาก!
การกำเนิดใหม่แห่งเต๋าสวรรค์มันจบลงไปแล้วแต่เขานั้นกลับยังได้รับตำแหน่งเป็นเต๋าบรรพกาล!
ในเวลานี้สายตาทั้งหลายต่างหันมามองเขาด้วยความริษยา
เมื่อการกำเนิดใหม่แห่งเต๋าสวรรค์ได้จบลงแล้วใครก็ตามที่ได้หลอมผลึกแห่งกฎย่อมจะกลายเป็นเต๋าบรรพกาลไป!
เพียงแค่ว่าการจะสังหารเต๋าบรรพกาลลงนั้นมันเป็นเรื่องที่ยากเสียยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์!
แต่เย่หยวนนั้นกลับสังหารเต๋าบรรพกาลคนหนึ่งลงด้วยมือข้างเดียว!
“นายท่าน นี่… นี่มัน… เอาให้พี่ว่านเจิ้นจะไม่ดีกว่าหรือ?” ผางเจิ้นถามขึ้นมาหลังจากตั้งสติได้
ว่านเจิ้นที่ได้ยินนั้นก็ต้องขมวดคิ้วแน่นขึ้นทันที “นายท่านบอกว่าให้เจ้า เจ้าก็รับไป! จะยังมาเรื่องมากอะไรอีก!”
แต่เย่หยวนที่ได้ยินนั้นกลับยิ้มตอบมาด้วยท่าทางสบายๆ “เต๋าของเขานั้นมันไม่เหมาะจะขึ้นเป็นเต๋าบรรพกาล! หลังจากจบเรื่องครั้งนี้แล้วข้าจะช่วยปรับปรุงวรยุทธบ่มเพาะของเขาและในวันหน้าหากเขาบรรลุธาตุทั้งห้าขึ้นได้ถึงระดับกฎนั้นเต๋าบรรพกาลมันจะยังมีค่าใด?”
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวคนทั้งหลายก็ผงะหลังไปด้วยใบหน้าแปลกๆ
ส่วนตัวว่านเจิ้นนั้นตื่นเต้นจนหัวใจแทบเต้นหลุดออกจากร่าง
อนาคตของคนรอบๆ ตัวเขานั้นเย่หยวนย่อมจะช่วยวางแผนไว้ให้ในระดับหนึ่ง
ผางเจิ้นนั้นถนัดในเต๋าแห่งสายฟ้าแค่อย่างเดียวแน่นอนว่าการให้เขาขึ้นเป็นเต๋าบรรพกาลมันย่อมเป็นเรื่องที่ดี
ที่สำคัญนี่ยังเป็นตำแหน่งเต๋าบรรพกาลสายฟ้า!
แท้จริงก่อนที่เขาจะลงเขาแห่งถงเทียนมาเย่หยวนนั้นก็คิดจะสังหารผู้คนมาก่อนแล้ว
เพียงแค่ว่าในตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าใครที่ได้ตำแหน่งเต๋าบรรพกาลสายฟ้าไป
เวลานี้เมื่อได้เห็นว่ามันเป็นสุนัขอย่างหวังเจิ้งที่ได้รับตำแหน่งไป เย่หยวนย่อมจะไม่คิดเกรงใจใดๆ อีก
เต๋าของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นมันเป็นอะไรที่แม้แต่เย่หยวนก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ วิชาการทำนายนั้นมันเป็นอะไรที่ยุ่งยากซับซ้อนเกินรับมือเย่หยวนจึงไม่อาจจะคิดช่วยเขาพัฒนาใดๆ ได้
เพราะฉะนั้นเขาจึงได้มอบตำแหน่งเต๋าบรรพกาลน้ำต้นให้ไป
ส่วนตัวว่านเจิ้นนั้นเขาย่อมจะต้องก้าวเดินต่อไปบนเต๋าห้าธาตุของเขา!
เย่หยวนนั้นสามารถให้กำเนิดมหาบรรพกาลทั้งสิบแปดได้ด้วยค่ายกลสืบทอด มันจะมีอะไรยากหากเขาคิดอยากช่วยให้ว่านเจิ้นขึ้นเป็นมหาบรรพกาลห้าธาตุ?
ที่สำคัญในเวลานี้เต๋าค่ายกลของเขามันก็ยังพัฒนาบรรลุขึ้นระดับของกฎมาแล้วด้วย!
เวลานี้ค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นมามันเหนือล้ำจนไม่อาจจะเอาค่ายกลที่เขาเคยทิ้งไว้เมื่อหมื่นๆ ล้านปีก่อนมาเทียบได้!
เพียงแค่ว่าเรื่องราวของสงครามสิ้นโลกก่อนหน้านี้มันหนักหนาเกินกว่าที่เขาจะมีเวลาได้มาสร้างมหาค่ายกลใดๆ
เย่หยวนนั้นเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นมา “เจ้าลองดูมันสิ มันนั้นแค่มีพลังของสองกฎทั้งยังไม่ได้ผสานมันเข้าด้วยกันเสียด้วยซ้ำ แต่มันกลับยังแข็งแกร่งได้ปานนี้! วันหน้าความสำเร็จของเจ้ามันจะยิ่งใหญ่ล้ำเทียนชิงไปอีก!”
คนที่เขายกขึ้นมาเป็นตัวอย่างมันย่อมจเป็นหลินเฉาเถียนแล้ว
ในเวลานี้หลินเฉาเถียนยังคงถือลูกไฟรุนแรงสะท้านฟ้าทั้งสองนั้นไว้จนทำให้คนทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะหันไปมองตาม
แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่คิดสนใจ
ความดูถูกนี้ต่อให้จะเป็นคนโง่แค่ไหนก็คงเข้าใจได้
เพียงแค่ว่าคนทั้งหลายนั้นไม่มีใครเข้าใจว่าความมั่นใจของเย่หยวนนี้มันเกิดขึ้นมาจากที่ใด!
เพราะจะอย่างไรเสียหนึ่งไฟสวรรค์หนึ่งไฟอเวจีนั้นมันก็ทำให้แม้แต่เทียนชิงยังหวั่น!
หลินเฉาเถียนนั้นคิดข่มขู่กดหัวเย่หยวนแต่ตัวเย่หยวนนั้นกลับไม่คิดสนใจ
เรื่องนี้มันย่อมทำให้หลินเฉาเถียนโกรธเคืองไม่พอใจอย่างถึงที่สุด!
“เจ้าสวะ! มันเป็นเจ้าเองที่คิดรนหาที่ตาย! อย่าได้มาโทษบรรพกาลผู้นี้ก็แล้วกัน! ไปตายเสีย!”
หลินเฉาเถียนร้องลั่นขึ้นมาพร้อมปล่อยเพลิงสวรรค์ทิ้งเถ้าและเพลิงอเวจีโมฆะออกมาพร้อมๆ กัน!
ที่ใดที่ไฟทั้งสองนี้พุ่งผ่านมันจะเกิดเป็นรอยลึกยาวลงแผ่นดินไป
แม้แต่มิตินั้นยังมอดไหม้!
เวลานี้พวกเขาทั้งหลายอยู่กันที่ตีนเขาแห่งถงเทียน แน่นอนว่าเป็นจุดที่มิตินั่นสุดแสนจะมั่นคงแต่วิชาของหลินเฉาเถียนนี้ก็ยังเผาไหม้มิติลงได้ แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าไฟทั้งสองนั้นมันรุนแรงเพียงใด!
ไฟทั้งสองนี้มันพุ่งตรงจากมือของหลินเฉาเถียนเข้าใส่ร่างของเย่หยวนทันที
แต่เย่หยวนนั้นกลับทำเหมือนไม่เห็นมันและยังกล่าวพูดกับผางเจิ้นต่อ
“ฮ่าๆๆ… เพลิงสวรรค์ทิ้งเถ้าและเพลิงอเวจีโมฆะนั้นมันจะทำลายทุกสิ่งอย่างในร่างลง! ไม่ว่าเจ้าจะหนีไปไหนมันก็จะติดตามเจ้าไปจนสุดฟ้าดิน! บรรพกาลผู้นี้อยากจะเห็นเสียจริงว่าเจ้านั้นจะยังหนีไปไหนได้!” หลินเฉาเถียนกล่าวขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ
เมื่อผางเจิ้นได้เห็นว่าเย่หยวนไม่คิดสนใจเช่นนั้นเขาจึงต้องร้องกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าซีดขาว “นายท่านระวัง!”
แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่คิดสนใจและหันไปหาว่านเจิ้น “การผสานห้ากฎ หึๆ แค่คิดถึงมันข้าก็ชักอยากจะเห็นแล้ว! หากเจ้าทำได้จริงๆ แล้ววันหน้าเผ่ามนุษย์ของเราคนเหนือกว่าเผ่าใดๆ ในโลกหล้าเป็นแน่!”
เย่หยวนนั้นยิ้มขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นแต่คนอื่นๆ นั้นแทบจะใจหยุดเต้น!
ว่านเจิ้นนั้นร้องลั่นขึ้นมา “นายท่าน! ไฟ!”
พูดไปไฟทั้งสองสีนั้นมันก็พุ่งเข้ามาถึงตัวเย่หยวนพอดิบพอดี
หลินเฉาเถียนที่เห็นเย่หยวนไม่คิดหลบนั้นต้องหัวเราะลั่นขึ้นมา “เจ้าโง่! เจ้ามันประมาทเกินไปแล้ว!”
ตูม!
ตูม!
ไฟทั้งสองปะทะกับร่างของเย่หยวนพร้อมๆ กัน
เพลิงอเวจีโมฆะนั้นมุดเข้าร่างของเย่หยวนไปทันที
ส่วนเพลิงสวรรค์ทิ้งเถ้ามันได้ลุกไหม้ทั้งร่างของเย่หยวนไป
“ฮ่าๆๆ… ตาย! เจ้าโง่ หลบเลี่ยงมาหลายปี! แต่สุดท้ายเจ้ากลับไม่คิดหลบ! สมควรแล้ว!” หลินเฉาเถียนนั้นหัวเราะลั่นขึ้นเมื่อได้เห็น
แต่ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกช่วงนั้นมันกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “คิดจะเล่นกับไฟเจ้ายังมือไม่ถึง!”