อาเหลียงลุกขึ้นยืน ได้ยินเสียงแตรสัญญาณจากบนสนามรบดังแว่วมาแต่ไกล ใต้หล้าเปลี่ยวร้างสั่งถอนกำลังแล้ว
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องเก็บกวาดสนามรบฝั่งของตัวเอง และการปิดฉากของสงครามใหญ่ครั้งหน้าก็อาจไม่จำเป็นต้องใช้เสียงแตรสัญญาณแล้ว
อาเหลียงมาหยุดอยู่ตรงศาลาบนหน้าผาสังหารมังกร คลายกาเหล้าที่อยู่ในมือออก หมุนตัวเป็นวงหนึ่งรอบ ร้องตะโกนเสียงดัง เตะกาเหล้าออกไปนอกศาลาทำให้มันหล่นกระแทกลงบนสนามประลองยุทธ
ศึกใหญ่ปิดฉากลงพักหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองจึงเป็นเหมือนนกที่บินกลับทิศเหนือ พากันกลับบ้าน แสงกระบี่แต่ละเส้นที่พุ่งมาทำให้ทัศนียภาพประดุจภาพวาด
ปิดด่าน พักรักษาตัว หลอมกระบี่ ดื่มเหล้า
คนที่จากไปก็จากไปแล้ว ความเสียใจของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ล้วนอยู่ในถ้วยเหล้า บ้างก็กระดกดื่มคำใหญ่ บ้างก็จิบคำเล็กๆ คลายทุกข์กันไปบนโต๊ะสุรา
อาเหลียงลืมไปแล้วว่ายอดฝีมือคนใดเคยเอ่ยบนโต๊ะสุราว่า ท้องของคนก็คือถังเหล้าที่ดีที่สุดในโลก คนเก่าๆ เรื่องราวเก่าๆ ก็คือวัตถุดิบที่ดีที่สุด บวกกับดีขมๆ ที่ผสมด้วยความสุขความทุกข์การพบการจาก ก็จะสามารถหมักเหล้ารสดีที่สุดในโลกออกมาได้
พอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็ตบเข่าฉาดใหญ่ ที่แท้ยอดฝีมือคนนั้นก็คือตนนั่นเอง
เป็นคนหากดูถูกตนเองมากเกินไปก็ไม่ดีเลยจริงๆ ต้องเปลี่ยนแปลงเสียหน่อย
เพียงไม่นานก็มีคนผู้หนึ่งขี่กระบี่จากหัวกำแพงเมืองกลับมายังจวนหนิง หนิงเหยาพลันทิ้งตัวลงดิ่งที่หน้าประตูใหญ่ เอ่ยพูดคุยกับหญิงชรา
คนอื่นๆ อย่างเฉินซานชิว เตี๋ยจ้าง ต่งฮว่าฝู เยี่ยนจั๋ว ฟ่านต้าเช่อพากันขี่กระบี่ตรงดิ่งไปที่ศาลา พลิ้วกายลงบนพื้นแล้วเก็บกระบี่กลับใส่ฝัก
อาเหลียงเอามือข้างหนึ่งยันเสาศาลา ปลายเท้ายันพื้น มองสตรีที่เรือนกายสูงโปร่งสะโอดสะองแล้วทอดถอนใจเอ่ยว่า “เตี๋ยจ้างโตเป็นสาวแล้ว”
เตี๋ยจ้างยิ้มเอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าอาเหลียง
ตอนที่นางยังเด็ก เตี๋ยจ้างมักจะนั่งยองอยู่บนหัวถนนบ้างก็ท้ายตรอกด้วยความกลัดกลุ้มเป็นเพื่อนอาเหลียงประจำ บุรุษกลัดกลุ้มว่าตนควรจะหาเงินค่าเหล้ามาได้อย่างไร แม่นางน้อยกลุ้มว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ให้ตนไปซื้อเหล้าเสียที ทุกครั้งที่ซื้อเหล้าล้วนจะต้องได้เงินเหรียญทองแดง เศษก้อนเงินเป็นค่าเหนื่อย เหรียญทองแดงกับเหรียญทองแดงจะต้อง ‘ทะเลาะกัน’ อยู่ในถุงเงินขาดๆ หากมีเศษเงินสักก้อนสองก้อน ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดในใต้หล้าแล้ว น่าเสียดายที่อาเหลียงติดเงินไว้มากเกินไป เถ้าแก่ร้านเหล้าเหลาสุราหลายแห่งแค่เห็นนางก็กลัวแล้ว
ต่งฮว่าฝูยิ้มถาม “โตตรงไหน?”
อาเหลียงยิ้มตาหยีเอ่ย “ไปถามแม่เจ้าดูสิ”
ต่งฮว่าฝูหัวเราะร่า “ยอดเขาสลับทับซ้อน ท่านแม่บอกว่าท่านตั้งชื่อให้นางว่าเตี๋ยจ้าง ต้องไม่ได้มีเจตนาดีแน่นอน”
อาเหลียงกล่าวอย่างจนใจ “อะไรกับอะไรของเจ้า บอกให้แม่เจ้าอ่านนิยายรักของใต้หล้าไพศาลให้น้อยหน่อย หนังสือมากมายที่มีอยู่ในบ้านเจ้า ไม่รู้ว่าสามารถเลี้ยงพวกคนขายหนังสือใจดำของทักษินาตยทวีปได้กี่มากน้อย จัดพิมพ์ก็ไม่ดี เนื้อหายังหยาบกระด้างต่ำช้า ในหนังสือสิบเล่มไม่มีสักเล่มที่จะทำให้คนหยิบมาอ่านซ้ำเป็นรอบที่สองได้ พี่สาวเจ้าก็ยิ่งไร้มโนธรรม หน้าหนังสือที่สำคัญตั้งหลายหน้าขนาดนั้นฉีกออกไปทำไม เอาไปเป็นกระดาษเช็ดก้นหรือไร?”
ต่งฮว่าฝูไม่เอ่ยอะไร เรื่องนี้เขาเองก็มีส่วน พี่สาวเขาพลิกเปิดหน้าหนังสือดังฟั่บๆ เปี่ยมไปด้วยปราณสังหาร เขาได้แต่รับผิดชอบฉีกหน้ากระดาษพวกนั้นออกมา จากนั้นพี่สาวของเขาก็แอบจับพวกมันมารวมเล่มเข้าด้วยกัน
เฉินซานชิวสลัดรองเท้าที่สวมอยู่ออก นั่งขัดสมาธิเอนหลังพิงราวระเบียงท่วงท่าผ่อนคลาย
เขาชอบต่งปู้เต๋อ ต่งปู้เต๋อชอบอาเหลียง แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เฉินซานชิวไม่ชอบอาเหลียง
ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เฉินซานชิวนับถือในความสง่างามของอาเหลียง แล้วก็ซาบซึ้งใจกับการกระทำบางอย่างที่อาเหลียงเคยทำในอดีต
ยกตัวอย่างเช่นเพื่อตนแล้ว อาเหลียงเคยทะเลาะกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ด่าเฉินซีเจ้าประมุขตระกูลเฉินไปรอบหนึ่ง แต่กลับไม่เคยบอกเฉินซานชิว เฉินซานชิวเพิ่งจะมารู้เรื่องวงในพวกนี้ภายหลัง เพียงแต่ตอนที่เขารู้ อาเหลียงกลับออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว สวมงอบพกดาบไม้ไผ่ หวนกลับคืนบ้านเกิดเงียบๆ ทั้งอย่างนั้น
เซียนกระบี่บางคนมีเวทกระบี่สูงมาก แต่กลับไร้อิสระ คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกมักไม่มีอิสระเสรีที่แท้จริง
อาเหลียงที่ดูเหมือนว่าจะมีอิสระมากที่สุดกลับเอ่ยว่าอิสระที่แท้จริง ไม่ใช่ว่าต้องไร้ห่วงไร้พันธะเท่านั้น
เจ้าอ้วนเยี่ยนนวดไหล่ทุบหลังให้บุรุษ ถามเสียงเบาว่า “อาเหลียง อาเหลียง ทุกวันนี้เวทกระบี่ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ไปที่ใต้หล้าไพศาลสามารถทำให้หัวใจของเทพธิดาเหมือนมีกวางน้อยพุ่งชนได้แล้วหรือยัง? เจ้าเคยบอกว่าขอแค่เป็นเซียนกระบี่ ต่อให้ไม่ได้หล่อเหลาสักเท่าไร ยามออกกระบี่ก็คือเครื่องประทินโฉมที่ดีที่สุดของสตรี เห็นเวทกระบี่ที่สูงส่งเลิศล้ำของพวกเรา พวกนางก็คล้ายได้ปัดแก้มสีแดง สรุปว่าเรื่องนี้เชื่อถือได้หรือไม่?”
อาเหลียงพยักหน้ารับ “เชื่อถือได้สิ จะเชื่อถือไม่ได้ได้อย่างไร ใต้หล้าไพศาลน่ะข้าคุ้นเคยดี วันหน้าหากเจ้ามีโอกาสไปหาประสบการณ์ที่นั่น ข้าจะมอบแผนที่ฉบับหนึ่งให้เจ้า จะระบุภูเขาที่พำนักของเทพธิดาทั้งหลายไว้ให้ครบถ้วน เจ้าเองก็อย่าไปถามกระบี่อย่างโง่เง่าเข้าล่ะ แค่ต้องไปให้ถึงตีนเขา แล้วขี่กระบี่ทะยานขึ้นสูง วนอ้อมรอบภูเขารอบหนึ่งก็พอ ระหว่างที่วนก็ร่ายวิชากระบี่สักชุด รำกระบี่เสร็จก็ปิดงานได้ ระหว่างนี้ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ปลดกาเหล้าลงมา ทิ้งแผ่นหลังที่กำลังแหงนหน้าดื่มเหล้าไว้ให้พวกเทพธิดาได้เห็นก็พอ กระทั่งถึงตอนนั้นเจ้าค่อยท่องบทกวีเสียงดังๆ สักบทแล้วจากไปอย่างสง่างาม…”
เยี่ยนจั๋วรู้สึกหัวโตเท่ากระด้ง “อาเหลียง ข้าไม่ถนัดเรื่องบทกวีเลยนะ”
อาเหลียงเอ่ย “ข้ามี ตำราเล่มหนึ่งมีมากถึงสามร้อยกว่าประโยค ทั้งหมดล้วนเป็นบทกวีที่สร้างขึ้นเพื่อเซียนกระบี่อย่างพวกเรา จะขายให้เจ้าในราคาสหายดีไหมล่ะ?”
ต่งฮว่าฝูถาม “บทกวีในตำราเล่มนั้นคงถูกท่านเอาไปใช้จนปรุแล้วกระมัง?”
อาเหลียงรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย
ฟ่านต้าเช่อวางตัวอย่างสำรวมมากที่สุด
เขาไม่สนิทกับผู้อาวุโสอาเหลียง
ต่อให้ผู้อาวุโสอาเหลียงจะเข้ากับคนอื่นได้ง่าย แต่สำหรับฟ่านต้าเช่อแล้วอีกฝ่ายก็ยังคงสูงส่งยากจะปีนป่าย ใกล้เพียงตรงหน้า แต่กลับห่างไกลสุดขอบฟ้า
นี่ก็เหมือนกับยามที่ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์หลายคนพบเจอกับเซียนกระบี่ใหญ่ เซียนกระบี่ผู้อาวุโสอย่างต่งซานเกิง ลู่จือ ฯลฯ พวกผู้อาวุโสอาจจะไม่ได้ดูแคลนอะไรพวกเด็กรุ่นหลัง แต่พวกเด็กรุ่นหลังกลับรู้สึกดูแคลนตัวเองอย่างอดไม่ได้
อาเหลียงยิ้มกล่าว “เจ้าชื่อฟ่านต้าเช่อกระมัง?”
ฟ่านต้าเช่อรีบพยักหน้ารับ รู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝัน
อาเหลียงเอ่ย “เจ้าเลื่อนเป็นขอบเขตโอสถทองเร็วกว่าที่ข้าและเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคาดการณ์เอาไว้เสียอีก”
ฟ่านต้าเช่อไม่กล้าเชื่อนัก
ตนเข้าตาผู้อาวุโสอาเหลียงกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสด้วยหรือ?
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “อันที่จริงการเติบโตของเด็กทุกคนล้วนอยู่ในสายตาของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมีนิสัยขี้อาย ไม่ค่อยชอบพูดคุยกับคนอื่นตามมารยาทก็เท่านั้น”
ประโยคนี้รับคำได้ยากแล้ว
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่เถ้าแก่รองที่ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างมีมารยาทเสมอ
หลังจากหนิงเหยาแยกกับป๋ายหมัวมัวก็เดินขึ้นมาบนเส้นทางหินของหน้าผาสังหารมังกร พอหนิงเหยามาถึงศาลา อาเหลียงกับทุกคนก็แยกย้ายกันนั่งลงแล้ว
สีหน้าของหนิงเหยาเหนื่อยล้าเล็กน้อย ถามว่า “อาเหลียง เขาเป็นอะไรมากหรือไม่?”
“เจ้าเด็กนั่นหลับไม่สนิทอยู่ตลอด เลยถูกข้าตีให้สลบไป เวลานี้ส่งเสียงกรนดังสนั่นเหมือนเสียงฟ้าผ่า ดีขึ้นมากแล้วล่ะ”
อาเหลียงบอกเล่าอย่างตรงไปตรงมา “ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้คงยากที่เฉินผิงอันจะออกจากเมืองไปเข่นฆ่าได้อีก เจ้าควรจะห้ามไม่ให้เขาลงสนามรบก่อนหน้านี้ อันตรายเกินไป จะเดิมพันด้วยชีวิตจนติดเป็นนิสัยไม่ได้”
หนิงเหยาส่ายหน้า “เรื่องใหญ่ล้วนให้เขาตัดสินใจเอง ข้าห้ามไม่อยู่”
อาเหลียงจุ๊ปากพูด “แม่หนูหนิงยังใช่แม่หนูหนิงที่ข้ารู้จักอยู่อีกไหม?”
หนิงเหยานั่งลงเงียบๆ เอนหลังพิงเสาศาลา
นางสะพายกล่องกระบี่ สวมชุดคลุมอาคมสีขาวหิมะ
ทุกคนที่อยู่ในศาลาพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระ
ส่วนใหญ่เป็นต่งฮว่าฝูที่ถามอาเหลียงเกี่ยวกับเรื่องราวของใต้หล้ามืดสลัว อาเหลียงจึงคุยโวว่าตนอยู่ที่นั่นร้ายกาจอย่างไร ต่อยเต๋าเหล่าเอ้อร์ได้ไม่นับเป็นความสามารถ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ได้รู้แพ้ชนะ แต่เขาไม่ออกกระบี่แม้แต่ครั้งเดียวก็สามารถใช้มาดอันสง่างามล้มคว่ำป๋ายอวี้จิงได้แล้ว นั่นถือเป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถทำได้
แสร้งทำเป็นพูดจาผ่อนคลาย ย่อมต้องมีเรื่องที่ปล่อยวางไม่ลงอยู่แน่นอน
สุดท้ายอาเหลียงช่วยชี้แนะเวทกระบี่ให้กับคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับคอขวดและด่านในการฝึกตนของพวกเขาเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นเอ่ยขอตัว “ข้าจะไปดื่มเหล้ากับคนรู้จักสักหน่อย พวกเจ้าเองก็รีบแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมันเถอะ”
หนิงเหยาลุกขึ้นมองส่งอาเหลียงและสหายทุกคนทยอยกันขี่กระบี่จากไป
นางเดินลงจากหน้าผาสังหารมังกรมาเพียงลำพัง เดินไปยังเรือนหลังเล็ก เปิดประตูห้องออกเบาๆ เดินข้ามธรณีประตูไปนั่งอยู่ข้างเตียง กุมมือซ้ายของเฉินผิงอันที่ไม่รู้ว่ายื่นออกมาจากผ้าห่มตั้งแต่เมื่อไหร่ไว้เบาๆ มือข้างนั้นยังคงสั่นระริก นี่คือการแสดงออกของจิตวิญญาณที่สั่นเทาและลมปราณที่ยังไม่มั่นคง หนิงเหยาเอามือข้างนั้นของเฉินผิงอันสอดกลับเข้าไปในผ้าห่มด้วยท่วงท่าอ่อนโยน ยื่นมือไปเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาของเฉินผิงอัน ใช้นิ้วข้างหนึ่งปาดหัวคิ้วที่ขมวดน้อยๆ ของเฉินผิงอันให้ราบเรียบ
เฉินผิงอันชอบตน หนิงเหยาดีใจมาก
แต่เฉินผิงอันชอบนางแล้วต้องเหนื่อยขนาดนี้ หนิงเหยาจึงรู้สึกโกรธตัวเอง
ดังนั้นหัวคิ้วของเฉินผิงอันที่หลับสนิทเพิ่งจะคลายออก หนิงเหยากลับขมวดคิ้วเสียเอง
จะทำอย่างไรดี จะไม่ชอบเขาก็ไม่ได้ แล้วก็ตัดใจให้เขาไม่ชอบตัวเองไม่ลง
ความกลัดกลุ้มเช่นนี้แม้ไม่ปรากฏบนหัวคิ้ว แต่กลับปรากฎอยู่ในหัวใจ
……
อาเหลียงตรงกลับไปที่หัวกำแพงเมือง แต่กลับไม่ได้ไปที่กระท่อมหลังนั้น เขาไปนั่งอยู่ข้างกายอู๋เฉิงเพ่ยที่มานะหลอมกระบี่อยู่ดังเดิม
อู๋เฉิงเพ่ยทอดสายตามองสนามรบ แม่น้ำยาวสีทองสายนั้นถูกอริยะสามลัทธิเก็บเอาไปแล้ว บนพื้นดินยังมีการเข่นฆ่ากระจัดกระจายเกิดขึ้น
ใบหน้าไร้ซึ่งสีหน้าเศร้าโศกขมขื่น ตัวคนย่อมต้องมีความทุกข์ตรมที่มิอาจเอื้อนเอ่ย
สำหรับผู้ฝึกกระบี่จากต่างถิ่นหลายคนที่มาหาประสบการณ์ในช่วงแรกๆ เซียนกระบี่ในพื้นที่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แต่ละคนล้วนมีนิสัยประหลาด ยากจะใกล้ชิดสนิทสนม
อาเหลียงเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
สุดท้ายเป็นอู๋เฉิงเพ่ยที่เอ่ยว่า “ได้ยินหมี่ฮู่บอกว่า ก่อนโจวเฉิงจะตาย ได้เอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมาย ถ้าอย่างนั้นก็ลองตายดู’ ส่วนเถาเหวินกลับเอ่ยว่าได้ตายอย่างสะใจ คือความผ่อนคลายที่หาได้ยาก ข้ารู้สึกอิจฉาพวกเขามาก”
อาเหลียงกล่าว “ก็จริงที่ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเลือกวิธีมีชีวิตอยู่รอดได้ ดังนั้นจึงได้แต่เลือกว่าจะตายอย่างไร แต่ข้าก็ยังจะพูดประโยคหนึ่งว่า ตายดีไม่สู้มีชีวิตอย่างเกียจคร้าน”
อู๋เฉิงเพ่ยเอ่ย “ช่วงเวลาหลายปีที่เจ้าไม่อยู่ที่นี่ ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นทุกคน ไม่ว่าทุกวันนี้จะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ไม่ว่าขอบเขตจะสูงหรือต่ำ ล้วนทำให้คนต้องมองพวกเขาเสียใหม่ ข้าไม่มีความอาฆาตแค้นใดๆ ต่อใต้หล้าไพศาลอีกแล้ว”
อาเหลียงหยิบเหล้าหมักตระกูลเซียนกาหนึ่งออกมา เปิดผนึกดินออก แกว่งเบาๆ กลิ่นหอมของสุราลอยโชยมาปะทะจมูก ก้มหน้าลงดมแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “สุราผ่านฤดูใบไม้ร่วงมาได้อีกปี กลิ่นสุราของแต่ละปีก็หอมยิ่งกว่ากลิ่นดอกกุ้ยเสียอีก เหล้าของใต้หล้าไพศาลและของใต้หล้ามืดสลัวล้วนสู้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้จริงๆ”