บทที่ 665.2 มือกระบี่สองคน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

อู๋เฉิงเพ่ยพลันถามว่า “อาเหลียง เจ้าเคยมีสตรีที่ชื่นชอบอย่างแท้จริงบ้างไหม?”

อาเหลียงครุ่นคิด กำลังจะตอบ อู๋เฉิงเพ่ยกลับส่ายหน้าขึ้นมาก่อน “ไม่ต้องตอบแล้ว ถามคำถามนี้ไปข้าก็นึกเสียใจภายหลังขึ้นมาทันที คาดว่าได้ยินคำตอบ ข้าคงยิ่งเสียใจมากกว่าเดิม”

อาเหลียงหัวเราะ “ท่องอยู่ในยุทธภพ หากไม่มีความรู้สึกฉันท์ชายหญิงบ้างเลย จะดื่มเหล้าไปทำไม เจ้าลองมองดูพวกคนลุ่มหลงในรักทั้งหลาย มีใครบ้างที่ไม่ใช่นักดื่มที่แช่ตัวมาจากถังเหล้า ในเรื่องของความรัก ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นผีขี้ขลาดกันทั้งนั้น”

อู๋เฉิงเพ่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเจ้าอาเหลียงชาติสุนัขผู้นี้จะพูดจาเป็นจริงเป็นจังที่ไม่แฝงนัยสัปดนกับเขาได้ด้วย

ลู่จือเผยกายอย่างที่หาได้ยาก นางมานั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของอู๋เฉิงเพ่ย

อาเหลียงโยนกาเหล้าในมือไปให้ ผลกลับถูกลู่จือตบกลับคืนมา อาเหลียงรับกาเหล้าแล้วพูดบ่นว่า “จะเกรงใจกับพี่อาเหลียงของเจ้าไปไย ก็แค่เหล้ากาเดียวเท่านั้น”

ลู่จือยกมือขึ้น

อาเหลียงทอดถอนใจ หยิบเหล้ากาใหม่โยนไปให้นาง “สตรีผู้กล้าหาญ อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยแบบนี้สิ”

ลู่จือกระดกเหล้าดื่มแล้วก็ถามว่า “ได้ยินว่าสายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋าใต้หล้ามืดสลัวมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เวทกระบี่ของพวกเขาเป็นอย่างไรกันแน่? เมื่อเทียบกับเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์แล้วเป็นอย่างไร?”

อาเหลียงลูบคลำปลายคาง “เจ้าพูดถึงเจ้าลัทธิซุนของอารามเสวียนตูใหญ่กระมัง ไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง พวกพี่สาวนักพรตหญิงของอารามเสวียนตูใหญ่…อ้อ ไม่ถูกสิ ต้องบอกว่าป่าท้อของอารามแห่งนั้น ไม่ว่าจะมีคนหรือไม่มีคน ทัศนียภาพก็เป็นเลิศที่สุด ส่วนเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ ข้ากลับสนิทสนมอยู่มาก พวกชนชั้นสูงหวงจื่อของจวนเทียนซือทั้งหลาย ทุกครั้งที่รับรองแขกจะต้องกระตือรือร้นกันอย่างมาก ถึงขั้นเรียกได้ว่าระดมกำลังอย่างเอิกเกริกเลยล่ะ”

เจอหน้าไม่ทันพูดจาก็ปล่อยห้าอสนีฟาดใส่หัวก่อนเลย แน่นอนว่าต้องกระตือรือร้นมากๆ

อาเหลียงผลักหัวอู๋เฉิงเพ่ยให้พ้นทาง ยิ้มเอ่ยกับลู่จือว่า “หากเจ้าสนใจ วันหน้าที่ไปเยี่ยมเยือนจวนเทียนซือก็สามารถแจ้งชื่อข้าให้พวกเขาทราบก่อนได้”

ลู่จือหัวเราะเสียงเย็น “แจ้งชื่อของเจ้า? นั่นเท่ากับว่าถามกระบี่กับภูเขามังกรพยัคฆ์แล้วหรือไม่?”

อาเหลียงหัวเราะเสียงดังลั่น “คนที่รู้ใจข้าที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็คือลู่จือนี่เอง”

อู๋เฉิงเพ่ยเอ่ย “ทั้งสองท่าน ข้ากำลังหลอมกระบี่ ดื่มเหล้าคุยเล่น เชิญไปที่อื่น”

ลู่จือเอ่ย “คนที่ต้องตายอย่างแน่นอน ย่อมไม่อาจหลอมกระบี่ที่ดีอะไรออกมาได้”

อู๋เฉิงเพ่ยเอ่ย “ไม่รบกวนให้เจ้าต้องเปลืองแรงใจ ข้ารู้แค่ว่าต่อให้ไม่ได้หลอมกระบี่บิน ‘น้ำค้างหวาน’ แล้ว มันก็ยังคงอยู่ในสามอันดับแรกของอันดับหนึ่ง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่ใหญ่ลู่จือได้แต่อยู่อันดับรองเท่านั้น ในสมุดเจี่ยเปิ่นของคฤหาสน์หลบร้อนล้วนมีบันทึกไว้อย่างชัดเจน”

ลู่จือเอ่ย “รอให้ข้าดื่มเหล้าหมดก่อน”

อู๋เฉิงเพ่ยกล่าว “ขอให้เจ้าดื่มเร็วๆ หน่อย”

เซียนกระบี่อู๋เฉิงเพ่ยไม่เชี่ยวชาญการจับคู่ต่อสู้ ทว่าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ขึ้นชื่อเรื่องความไม่เกรงกลัวใคร ปีนั้นอาเหลียงเองก็เคยเจอกับความยากลำบากจากอู๋เฉิงเพ่ยไปไม่น้อย

อู๋เฉิงเพ่ยเอ่ยง่ายๆ แค่ประโยคเดียวก็สามารถทำให้อาเหลียงดื่มเหล้าดับทุกข์ได้นานเกือบครึ่งปีแล้ว

‘เจ้าอาเหลียงขอบเขตสูง ประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่ ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องตาย จะมาโอ้อวดบารมีอะไรกับข้า?’

ถ้อยคำที่ทำให้คนลำบากใจ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยใช่ถ้อยคำที่ไร้เหตุผลไปเสียหมด แต่เป็นถ้อยคำที่ฟังดูเหมือนจะมีเหตุผล แต่กลับคล้ายว่าจะไม่มีเหตุผลมากขนาดนั้น

เวลานี้อาเหลียงโบกมือเป็นวงกว้าง ตะโกนพูดกับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าสองคนที่แยกกันเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองเหนือและใต้ซึ่งอยู่ห่างไปไกล “เป็นเจ้ามือแล้ว! เฉิงเฉวียน จ้าวเก้ออี๋ มาลงเดิมพัน ลงเดิมพัน!”

แต่ลู่จือกลับลุกขึ้นยืนแล้ว นางโยนกาเหล้าทิ้งไปนอกกำแพงแล้วขี่กระบี่จากไป

พอลู่จือจากไปไกลแล้ว อาเหลียงก็เอ่ยว่า “เมื่อก่อนไม่ว่ากับใครลู่จือก็คล้ายจะเห็นเป็นคนนอกไปเสียหมด ตอนนี้เปลี่ยนไปมากแล้ว อุตส่าห์พูดจาแบบคนกันเองกับเจ้าอย่างที่หาได้ยาก เหตุใดถึงไม่ยอมรับน้ำใจ”

อู๋เฉิงเพ่ยสีหน้าเลื่อนลอย เอ่ยว่า “คำพูดของคนกันเองต่างหากที่ฟังแล้วรู้สึกแย่”

อาเหลียงพยักหน้า “ก็จริงนะ”

อู๋เฉิงเพ่ยกล่าว “เรื่องของเซียวสวิ้น เจ้ารู้แล้วกระมัง?”

อาเหลียงทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง เอาหัวหนุนบนแขนตัวเอง ยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง “ทุกคนต่างมีปณิธานเป็นของตัวเอง”

อู๋เฉิงเพ่ยพลันเอ่ยว่า “เรื่องในปีนั้น ไม่ได้เอ่ยขอบคุณ แล้วก็ไม่เคยขอโทษ วันนี้ก็เอ่ยพร้อมกันเลยแล้วกัน ขอโทษด้วย ขอบคุณมาก”

อาเหลียงกลับพูดว่า “อยู่ในใต้หล้าแห่งอื่น ผู้ฝึกกระบี่ที่เวทกระบี่ยอดเยี่ยม แต่หน้าตากลับดียิ่งกว่าอย่างพวกเราสองพี่น้อง ได้รับความนิยมมากเลยล่ะ”

อู๋เฉิงเพ่ยเป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่งจริงๆ ในถ้อยคำของสตรีต่างถิ่นจำนวนมากจึงมักจะเรียกเขากับหมี่อวี้ว่า ‘คู่หยกงาม’

เพียงแต่ว่าคนหนึ่งรักเดียวใจเดียว คนหนึ่งเจ้าชู้หลายใจ

เคยเห็นรูปโฉมของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบทั้งสองท่านกับตาตัวเองมาก่อน สตรีต่างถิ่นทั้งหลายที่แต่ละคนต่างก็รู้สึกว่าการเดินทางมาเยือนที่นี่ไม่เสียเที่ยวจึงพลันเข้าใจกระจ่างแจ้งว่า ที่แท้บุรุษก็สามารถรูปงามได้ถึงเพียงนี้ สาวงาม สาวงาม ไม่ได้มีเพียงสตรีเท่านั้นที่คู่ควรกับคำว่างดงาม

อู๋เฉิงเพ่ยวางกระบี่พกพาดขวางไว้บนหัวเข่า ทอดสายตามองไปไกล เอ่ยเสียงเบาว่า “เดินไปถึงจุดแร้นแค้นน้ำ นั่งลงมองเมฆผุดลอย”

จากนั้นอู๋เฉิงเพ่ยก็ถาม “นั่งลงมองเมฆขุนเขาผุดลอย เพิ่มคำว่าขุนเขาเข้าไปคำหนึ่ง ให้สอดคล้องกับคำว่าน้ำ จะดีกว่าเดิมหรือไม่?”

อาเหลียงตอบอย่างง่ายๆ “ไม่ดี อักษรมาก ความหมายก็จะน้อยลง”

อู๋เฉิงเพ่ยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้า “มีเหตุผล”

อาเหลียงยิ้มเอ่ย “ทำไมถึงแสร้งทำตัวเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนเสียแล้วเล่า?”

อู๋เฉิงเพ่ยตอบ “อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็เลยลองเปิดตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่อ่านดู รู้สึกว่าน่าสนใจมาก”

อาเหลียงถามอย่างสงสัย “มันคืออะไร?”

อู๋เฉิงเพ่ยยิ้มกล่าว “ไม่รู้จักคำว่าปี้ (ปี้ 皕 แปลว่าสองร้อย เป็นคำที่ใช้ไม่บ่อย เพราะปกติจะใช้คำว่า 二百 มากกว่า คำว่าสองร้อยของตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ใช้คำว่าปี้) หรือ? เป็นบัณฑิตประสาอะไร ท่านพ่อเจ้าไม่ถูกเจ้าทำให้โมโหตายเลยหรือไร?”

อาเหลียงหัวเราะคิกคัก “พ่อเจ้าใกล้จะถูกเจ้าทำให้โมโหตายแล้ว”

อู๋เฉิงเพ่ยยืดแขนบิดขี้เกียจ ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ เอ่ยเนิบช้าว่า “จิตใจของวิญญูชน ฟ้าดินเป็นพยาน ใสกระจ่างดุจน้ำใบไม้ร่วงดุจกระจกแวววาว การคบค้ากันของวิญญูชน สอดคล้องจึงร่วมทาง แยกย้ายไร้คำเลวทราม การเดินทางของวิญญูชน ต้นหญ้ารับน้ำค้าง มาเยือนก็ยินดี จากไปก็เบิกบาน”

อาเหลียงอึ้งตะลึง “ข้าเคยพูดประโยคนี้หรือ?”

อู๋เฉิงเพ่ยยิ้มตอบ “บัณฑิตเป็นคนพูด”

……

เมื่อเฉินผิงอันตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็สามารถลงจากเตียงมาเดินเหินได้เป็นปกติแล้ว พอรู้ว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างหยุดการโจมตีเมืองก็ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายสักเท่าไร

หาหนิงเหยาไม่เจอ ป๋ายหมัวมัวก็ไปสอนวิชาหมัดอยู่ที่คฤหาสน์หลบหนาว เฉินผิงอันจึงขี่กระบี่ไปที่คฤหาสน์หลบร้อน ผลคือพบว่าอาเหลียงนั่งอยู่ตรงธรณีประตู กำลังพูดคุยอยู่กับโฉวเหมียว

ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นอย่างโฉวเหมียว ต่งปู้เต๋อล้วนสนิทคุ้นเคยกับอาเหลียง แต่ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นอย่างพวกหลินจวินปี้ อันที่จริงกลับแค่เคยได้ยินชื่อของอาเหลียงที่เป็นคนต่างถิ่นเหมือนกันเท่านั้น ไม่เคยพบตัวจริงมาก่อน

อาหลียงมาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ร้อยกว่าปี สำหรับผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาลที่อายุไม่มากแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับอาเหลียงจึงมีเพียงแค่เรื่องเล่าที่บอกต่อกันปากต่อปากเท่านั้น

เจียงซ่างเจินที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปมีเรื่องราวมากมาย ทว่าอาเหลียงที่เคยเดินทางผ่านสามใต้หล้ากลับมีเรื่องเล่ามากยิ่งกว่า

เนื่องจากม้วนภาพขุนเขาสายน้ำสองภาพที่คลี่กางอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนไม่สามารถมองเห็นไปได้ถึงสนามรบทางทิศใต้ของแม่น้ำยาวสีทอง ดังนั้นตอนที่อาเหลียงออกกระบี่สองครั้งก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของสายอิ่นกวานจึงไม่ได้เห็นเองกับตา ได้แต่อาศัยรายงานข่าวมาสัมผัสกับมาดอันสง่างามนั้น ส่วนผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์อย่างหลินจวินปี้ เฉากุ่น ได้พบอาเหลียงตัวจริงกลับกลายเป็นว่าทำตัวระมัดระวังยิ่งกว่าฟ่านต้าเช่อเสียอีก

ซ่งเกาหยวนที่มาจากฝูเหยาทวีปก็ยิ่งมีสีหน้าตื่นเต้น ใบหน้าแดงก่ำ ก็แค่ไม่กล้าเปิดปากพูดเท่านั้น

นับตั้งแต่เด็กมาซ่งเกาหยวนก็รู้ว่าบรรพจารย์หญิงสายของตนชื่นชมบูชาอาเหลียงอย่างมาก เวลานั้นซ่งเกาหยวนอาศัยอายุที่ยังน้อยถามคำถามมากมายที่แท้จริงแล้วค่อนข้างจะเป็นการล่วงเกิน แต่บรรพจารย์หญิงก็ยอมเล่าเรื่องเก่าๆ ในอดีตให้เด็กชายฟังมากมาย ความประทับใจที่ซ่งเกาหยวนมีต่ออาเหลียงจึงลึกล้ำ ทุกครั้งที่บรรพจารย์หญิงพูดถึงอาเหลียงจะทั้งโกรธเคืองทั้งเขินอาย ทำให้ซ่งเกาหยวนไม่เข้าใจเอาเสียเลย ภายหลังถึงได้รู้ว่าสีหน้าท่าทางแบบนั้นจะมีได้ก็ต่อเมื่อสตรีชื่นชอบคนคนหนึ่งอย่างแท้จริง

กวอจู๋จิ่วนั่งยองอยู่ข้างธรณีประตู สองมือเท้าแก้ม จ้องอาเหลียงเขม็ง

นางอายุน้อยเกินไป จึงไม่เคยพบเจออาเหลียงมาก่อน

วันนี้ต้องมองให้มากเพื่อชดเชยกลับมา

บางครั้งกวอจู๋จิ่วก็จะหันไปมองสาวแก่ผู้นั้นทีหนึ่ง แล้วค่อยหันไปมองเติ้งเหลียงที่ชอบสาวแก่อีกที

อาเหลียงถูกแม่นางน้อยที่ไม่ลืมสะพายหีบไม้ไผ่ผู้นี้จ้องมองจนขนลุก

แม่นางน้อยของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ช่างไม่เลอะเลือนกันเลย

บางครั้งที่มองสบตานางพอดี แม่นางน้อยก็จะรีบฉีกยิ้มกว้าง อาเหลียงมีท่าทางกระอักกระอ่วนอย่างที่หาได้ยาก ได้แต่ยิ้มตามแม่นางน้อยไป

นี่ทำให้อาเหลียงนึกไปถึงเจ้าตะพาบน้อยหลี่ไหวของเมืองเล็กที่ขนบธรรมเนียมและผู้คนซื่อตรงจึงเป็นสถานที่รวบรวมผู้มีความสามารถอย่างอดไม่ได้

กวอจู๋จิ่วเห็นเฉินผิงอันก็รีบกระโดดผลุงลุกขึ้นยืน วิ่งมาหยุดข้างกายเขา ทันใดนั้นนางก็พลันรู้สึกเป็นกังวล ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร แค่ค่อยๆ รักษาบาดแผลไปก็พอ”

กวอจู๋จิ่วพยักหน้ารับอย่างแรง จากนั้นชี้นิ้วไปทางธรณีประตู กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “อาจารย์! ตัวเป็นๆ อาเหลียงตัวเป็นๆ เลยนะ!”

เฉินผิงอันลูบศีรษะแม่นางน้อย “ลืมไปแล้วหรือ? ข้ากับผู้อาวุโสอาเหลียงรู้จักกันมาตั้งนานแล้ว”

อาเหลียงยกนิ้วโป้งให้ ยิ้มเอ่ย “รับลูกศิษย์ที่ดี”

กวอจู๋จิ่วเองก็ตอบแทนกลับคืนด้วยการยกนิ้วโป้งให้ แต่คงรู้สึกว่าทำเช่นนี้อาจไม่มีมารยาทมากพอ จึงยกนิ้วโป้งเพิ่มอีกนิ้ว “อาจารย์ของข้าก็ได้รู้จักผู้อาวุโสที่ดี”

อาเหลียงยกนิ้วโป้งอีกข้างขึ้นตามมาด้วย “แม่นางน้อยสายตาดี”

กวอจู๋จิ่วทำค้างท่าเดิม “พี่หญิงต่งสายตาดี!”

อาเหลียงเอ่ย “เซียนกระบี่กวอมีวาสนา”

กวอจู๋จิ่วกำลังจะพูดต่อ แต่กลับถูกอาจารย์เขกมะเหงกเข้าใส่ จึงได้แต่หดสองมือกลับมา “ผู้อาวุโสท่านชนะแล้ว”

สุดท้ายกวอจู๋จิ่วเดินอาดๆ กลับไปในห้อง

เฉินผิงอันกับอาเหลียงนั่งอยู่บนธรณีประตูหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา

มือกระบี่สองคน บัณฑิตสองคน เริ่มดื่มเหล้าด้วยกัน