บทที่ 666.2 ไม่ใช่คนในตำรา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

กล่าวมาถึงตรงนี้ อาเหลียงก็หัวเราะ รู้สึกดีใจมากกว่าเสียใจแล้ว “ข้าถามเขาเป็นการส่วนตัวว่าหากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมาเปิดปากขอร้องด้วยตัวเองก็ไม่ได้เหมือนกันจริงๆ หรือ ผู้เฒ่าบอกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร หากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเป็นคนเปิดปาก นั่นต้องมีหน้ามีตาตั้งเท่าไร ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบังแล้ว หลังคุยกันจบค่อยเลี้ยงเหล้าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสักมื้อ ชีวิตนี้ก็ถือว่าสมบูรณ์แบบแล้ว ข้าถามอีกว่าหากเป็นต่งซานเกิงที่มาเยือนล่ะ ผู้เฒ่าบอกว่าถ้าอย่างนั้นข้าก็จะแกล้งตาย”

สุดท้ายอาเหลียงทอดถอนใจเอ่ยว่า “ในใต้หล้าไพศาล เซียนกระบี่ที่เป็นแบบนี้ก็มีอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามีอยู่น้อยเกินไป”

ซ่งเกาหยวนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

หลังจากนั้นอาเหลียงก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก

อันที่จริงเมื่อก่อนอาเหลียงไม่ค่อยชอบพูดคุยเรื่องจริงจังกับพวกเด็กรุ่นหลังสักเท่าไรนัก อายุน้อยก็ไม่ควรมีความกลัดกลุ้มมาก เรื่องใหญ่ๆ ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ให้คนที่เวทกระบี่สูงแบกรับไปแล้วกัน

เพียงแต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน วันหน้าจะต้องมีสถานการณ์ใหม่เอี่ยมที่หมื่นปีไม่เคยปรากฏมาก่อน คนหนุ่มสาวแทบทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่อให้เป็นเด็กเล็กก็จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ทุกคนจะต้องเติบโตอย่างรวดเร็ว สถานการณ์ใหญ่พุ่งมาถึง ยามที่ความกลัดกลุ้มกังวลใจมาเยือนจะไม่สนเรื่องอายุอีกแล้ว

คนทั้งกลุ่มเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ของตระกูลกวอบนถนนอวี้ฮู่ เฉินผิงอันบอกให้กวอจู๋จิ่วกลับบ้าน จากนั้นก็บอกให้ซ่งเกาหยวนที่เอ่ยขอตัวกลับตำหนักหลบร้อนไปบอกกับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของสายอิ่นกวานว่าสองวันนี้พวกเขาสามารถออกมาเดินเที่ยวเล่นข้างนอกผ่อนคลายอารมณ์กันได้

ซ่งเกาหยวนหันกลับไปมองแผ่นหลังของคนทั้งสอง

ผู้อาวุโสอาเหลียงมีชื่อเสียงอยู่ในตำหนักเขากวางอย่างมาก ปีนั้นตอนที่บรรพจารย์หรงกวานพาศิษย์น้องไล่ฆ่าเขาไปด้วยกัน บุรุษไม่เคยตอบโต้เอาคืน เพียงแค่โหวกเหวกบอกว่าตนกับเซียนกระบี่ใหญ่สวีเตียนของฝูเหยาทวีปเป็นสหายสนิทกัน ขอให้เหล่าเซียนซือของตำหนักเขากวางโปรดเห็นแก่หน้าเซียนกระบี่สวีเตียนบ้าง สวีเตียนคือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจากสำนักใหญ่แห่งที่สองของฝูเหยาทวีป แล้วก็ถือว่าเป็นคนรุ่นหลังที่โดดเด่นมีชื่อเสียงเลื่องลือคนหนึ่งในทวีป อายุน้อยๆ ก็ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว เพียงแต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกตนของตำหนักเขากวางก็ไม่สนใจใคร ต่อให้สวีเตียนจะมีความหวังบนมหามรรคา แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ใช่เซียนกระบี่ที่แท้จริง แล้วนับประสาอะไรกับที่ลำดับอาวุโสของเขายังไม่สูงมากพอ นอกจากนี้เจ้าตำหนักเขากวางยังติดหนึ่งในอันดับสิบคนของฝูเหยาทวีป มีคุณธรรมสูงส่ง เวทน้ำเลิศล้ำ ทั้งยังรักและเอ็นดูศิษย์น้องอย่างหรงกวานอย่างมาก ดังนั้นการที่บุรุษยกเอาที่พึ่งเล็กๆ ออกมาอย่างจวนตัวระหว่างที่หลบหนีเอาชีวิตรอดจึงไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ถึงท้ายที่สุดบุรุษก็เผ่นหนีไปได้สำเร็จ แล้วก็ไม่ได้ทิ้งชื่อแซ่เอาไว้ แต่กลับทิ้งบทกวีเอาไว้ไม่น้อย

ภายหลังตำหนักเขากวางส่งจดหมายกระบี่บินพร้อมกับภาพเหมือนของบุรุษไปยังสำนักของสวีเตียน หวังจะซักไซ้สวีเตียน สอบถามถึงประวัติความเป็นมาและที่อยู่ของบุรุษผู้นี้

สวีเตียนมึนงงสับสน ผู้มีพรสวรรค์บนวิถีกระบี่ที่อยู่ดีไม่ว่าดีหายนะก็พุ่งเข้าหาผู้นี้รีบส่งจดหมายตอบกลับตำหนักเขากวาง บอกว่าตนไม่รู้จักบุรุษบนภาพวาดแม้แต่น้อย

ผลคือในสำนักของสวีเตียนมีบรรพจารย์ท่านหนึ่งที่มักจะชอบลงไปเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์บ่อยๆ แม้รูปโฉมจะเป็นเด็ก ทว่าตบะของทั้งร่างกลับหวนคืนสู่ความเป็นจริงมานานแล้ว และในความเป็นจริงแล้วตบะก็ยังสูงกว่าเจ้าตำหนักเขากวางไปอีกระดับหนึ่ง พอเขารู้เรื่องนี้เข้าก็รีบขี่กระบี่ไปที่ตำหนักเขากวางด้วยตัวเองอย่างว่องไว บอกว่าสวีเตียนไม่รู้จัก แต่ข้ารู้จักนะ ข้ากับน้องอาเหลียงคือพี่น้องที่แลกชีวิตกันได้เลย

คนนอกรู้แค่ว่าตอนที่ผู้อาวุโสซึ่งเดินทางมาไกลผู้นี้ลงจากภูเขา มือข้างหนึ่งของเขากุมแก้มที่บวมฉึ่ง ปากก็สบถด่าพึมพำไปตลอดทาง พอออกห่างจากตำหนักเขากวางมาได้ก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า อาเหลียงเจ้าติดเหล้าข้าหนึ่งมื้อ

ซ่งเกาหยวนที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม มีครั้งหนึ่งทนไม่ไหวจริงๆ จึงถามคำถามที่ใจกล้ากับบรรพจารย์หรงกวาน ถามว่าอาเหลียงผู้นั้นจงใจทำเรื่องอะไรที่ทำให้บรรพจารย์ชอบอย่างนั้นหรือ?

ตอนนั้นบรรพจารย์หรงกวานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าบอกว่าเขาไม่เคยทำอะไร แต่นางก็ยังชอบเขา

หลังจากกวอจู๋จิ่วและซ่งเกาหยวนจากไป เฉินผิงอันก็เล่าเรื่องขุนเขาสายน้ำของตัวเองให้อาเหลียงฟัง ไม่ได้เล่าเรียงกันเป็นฉากๆ แต่คิดเรื่องอะไรออกก็เล่าถึงเรื่องนั้น

ครั้งแรกที่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ โดยสารเกาะกุ้ยฮวาเรือข้ามฟากของนครมังกรเฒ่า ผ่านร่องเจียวหลงเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ เป็นศิษย์พี่ใหญ่จั่วโย่วที่ออกกระบี่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ตายให้เขา

ถามหมัดกับเฉาสือคนวัยเดียวกันสามครั้ง แพ้ติดต่อกันทั้งสามครั้ง แพ้อย่างที่ไม่มีเรี่ยวแรงให้เอาคืนได้เลย

จับผลัดจับผลูหลงเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัวของใบถงทวีป ได้เดินทางท่องยุทธภพอย่างแท้จริงครั้งหนึ่ง รับเอาเฉาฉิงหล่างและเผยเฉียนมาเป็นลูกศิษย์ แต่แท้จริงแล้วไม่รู้เลยว่าควรจะถ่ายทอดความรู้ให้เฉาฉิงหล่างอย่างไร แล้วก็กังวลว่าเผยเฉียนจะรีบร้อนเติบโต

เมื่อหลายปีก่อนเปิดร้านเหล้าร่วมกับเตี๋ยจ้าง ขายเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ กิจการไม่เลว ได้เงินมาช้ากว่าเป็นเจ้ามือ แต่น้ำเส้นเล็กกลับไหลได้ยาว ใครก็ไม่เชื่อว่าเหล้าของที่ร้านเกี่ยวข้องกับภูเขาชิงเสินจริงๆ ดังนั้นอาเหลียงท่านช่วยพูดจามีมโนธรรมให้กับร้านสักสองสามประโยคเถอะ ท่านกับชิงเสินฮูหยินเป็นคนสนิทคุ้นเคยกัน พวกเราก็เป็นเพื่อนกัน แล้วเหล้าของข้าจะไม่เกี่ยวข้องกับถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ได้อย่างไร?

ที่ศาลาจัวฟ่างของภูเขาห้อยหัว ปีศาจใหญ่ที่ถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์จับตัวแล้วปล่อยออกมาอีกครั้งได้ไปสิงอยู่ในร่างของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มนามว่าเปียนจิ้ง ถูกสายอิ่นกวานลากตัวออกมาได้แล้วสังหารทิ้งบนมหาสมุทร

ภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ไม่เพียงแต่มีเรือนไม้ไผ่ซึ่งตั้งชื่อตามที่ตกลงกันไว้ บนยอดเขาจี้เซ่อยังตั้งศาลบรรพจารย์ของสำนักขึ้นมาแห่งหนึ่ง อาเหลียงวันหน้าท่านต้องไปดูให้ได้

คนทั้งสองเดินผ่านถนนใหญ่ตรอกเล็กไปด้วยกัน

ทุกสถานที่ล้วนเป็นจุดที่อาเหลียงคุ้นเคย ฟังเรื่องเล่าจากคนหนุ่ม ส่วนใหญ่เป็นอาเหลียงที่รับฟัง มีบ้างบางครั้งที่ถามคำถามที่ตัวเองสนใจ ยกตัวอย่างเช่นนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงกับเหยาจิ้นจือแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียน ใครสวยกว่ากัน

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว สวยทั้งคู่ แต่ในสายตาของข้า พวกนางรวมกันแล้วยังสวยสู้หนิงเหยาไม่ได้

อาเหลียงบอกว่าแม่หนูหนิงไม่อยู่ที่นี่สักหน่อย เจ้าคุยกับข้าตามประสาบุรุษก็ได้ เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน แต่พอคิดดูแล้วก็แค่หัวเราะหึหึ ยังคงไม่เอ่ยอะไร

ถึงช่วงหยุดพักทำสงคราม กิจการของร้านเหล้าในเมืองก็ดีขึ้น

ตลอดทางมานี้ผู้ฝึกกระบี่หลายคนที่รู้จักอาเหลียงหรือไม่ก็รู้จักอิ่นกวานหนุ่มต่างก็ไม่ได้เอ่ยทักทายอะไรพวกเขา อย่างมากก็แค่ผงกศีรษะให้พอเป็นพิธีเท่านั้น

คนที่รู้จักอาเหลียงก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะยินดีคบค้ากับอิ่นกวานหนุ่ม ส่วนคนที่เป็นลูกค้าร้านเหล้าของเฉินผิงอันก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะกล้าพูดคุยกับอาเหลียง

แม้ว่าจะเป็นคนต่างถิ่นสองคน แต่กลับมีหลายอย่างที่เหมือนกัน ทว่าในสายตาของผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว อาเหลียงชาติสุนัขกับเถ้าแก่รองชาติสุนัข ทั้งเหมือนแล้วก็ไม่เหมือนกัน

อาเหลียงไม่ได้ไปดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าของเตี๋ยจ้าง แต่กลับพาเฉินผิงอันไปนั่งในร้านเหล้าแห่งหนึ่งตรงหัวมุม

ผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัด

เพราะว่าความงามของสตรีคนขายเหล้า

คือสตรีวัยออกเรือนแล้วคนหนึ่งที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถูกทำลายไปนานแล้ว

พอเห็นหน้าอาเหลียง สตรีก็มีท่าทางกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ยกเหล้ามาวางให้บนโต๊ะด้วยตัวเอง ตวัดตามองค้อนบุรุษหนึ่งที ปากก็บ่นไปด้วยว่าเจ้าคนใจจืดใจดำ

จากนั้นสตรีก็หันมายิ้มหวานกับอิ่นกวานหนุ่ม ถ้อยคำที่เอ่ยไม่ห่างเหินแม้แต่น้อย “โอ้ นี่มันเถ้าแก่รองของพวกเราไม่ใช่หรือ ดื่มเหล้าร้านตัวเองจนเอียนแล้วก็เลยมาเปลี่ยนรสชาติงั้นรึ? เห็นสตรีงดงาม แค่หมัดเดียวก็ล้มคว่ำ ไม่ไหวเลยจริงๆ”

เฉินผิงอันปวดหัวแปลบขึ้นมาทันใด ทำได้เพียงยิ้มบางๆ ส่งไปให้

อาเหลียงยกถ้วยเหล้าขึ้นชนกับของเฉินผิงอันเบาๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็พูดปลงอนิจจังขึ้นมา “ยามอายุน้อยอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ด เคยเห็นถ้อยคำเตือนใจที่โด่งดังประโยคหนึ่งบอกว่า ข้าวสุกงอมรวงย่อมโน้มลงต่ำ เพียงแต่ว่าหากไม่ได้ออกท่องยุทธภพก็คงไม่เข้าใจมากนัก มีเพียงได้ออกท่องยุทธภพอย่างแท้จริงถึงจะรู้ว่ารวงข้าวที่อวบอิ่มย่อมต้องก้มหัวลงเอง (เปรียบเปรยถึงคนว่าพอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะเริ่มรู้จักถ่อมตน รู้จักเรียนรู้จากผู้อื่น) คือถ้อยคำที่ล้ำค่าดุจหยกดุจทองคำจริงๆ”

เฉินผิงอันมีสีหน้าปั้นยาก

อาเหลียงยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่งตัวยาว หัวเราะชั่วร้าย “คิดอะไรน่ะ หลักการเหตุผลดีๆ เจ้าคิดเลอะเทอะไปถึงไหนแล้ว?”

เฉินผิงอันถาม “ข่าวลือระหว่างท่านกับชิงเสินฮูหยิน เว่ยป้อพูดจาได้น่าเชื่อถือนัก สรุปแล้วว่ามีจริงมีเท็จกี่ส่วนกันแน่?”

อาเหลียงยิ้มเอ่ย “เทพภูเขาน้อยๆ ของภูเขาฉีตุนผู้นั้นจะรู้กะผายลมอะไร”

เฉินผิงอันเอ่ย “เคยพูดถึงท่านครั้งหนึ่งนอกภูเขาลั่วพั่ว ซานจวินใหญ่เว่ยเผยสีหน้าจริงใจอย่างที่หาได้ยาก พูดเรื่องดีๆ เกี่ยวกับท่านมากมาย”

อาเหลียงกลับคำทันที “ในฐานะอดีตซานจวินของแคว้นเสินสุ่ยในอาณาเขตแคว้นสู่โบราณ พี่น้องเว่ยยังพอจะมีดีอยู่บ้าง คำพูดคำจาก็มีจุดยืนเป็นของตัวเอง มิน่าเล่าปีนั้นที่ได้พบกันข้าถึงได้รู้สึกสนิทสนมกับเขามานานทั้งที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก”

คำว่าสนิมสนมมานานทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกของอาเหลียงก็คงจะหมายถึงการที่เขาแทงเว่ยป้อด้วยดาบไม้ไผ่กระมัง

กล่าวมาถึงตรงนี้ อาเหลียงก็พลันวางถ้วยเหล้าลง “การปรากฎของถ้ำสวรรค์หลีจูมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องวงในมากมายของเจียวหลงแคว้นสู่โบราณ แล้วยังมีเพื่อนบ้านในตรอกหนีผิงคนนั้นของเจ้า เจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เคยคิด”

“ก็แค่เคยคิดเท่านั้น เพราะไม่สามารถดึงปลายของเส้นสายที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้เส้นนั้นออกมาได้”

อาเหลียงชำเลืองตามองเฉินผิงอัน นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เรื่องวงในบางอย่าง ต่อให้เฉินผิงอันในทุกวันนี้คิดจนหัวแตกก็คงยังคิดไม่ถึง อาเหลียงส่ายหน้าอย่างอดไม่ไหว ถามคำถามหนึ่ง “ภูเขาลั่วพั่วของเจ้ามีผู้ฝึกตนที่มองดูแล้วไม่สะดุดตาอยู่บ้างหรือไม่ นอกจากพวกภูตผีทั้งหลายแล้ว จะต้องมีขอบเขตไม่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นคนประเภทที่เจ้าสามารถแน่ใจได้ว่าอีกฝ่ายขอบเขตต่ำ แล้วก็น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเฉินหลิงจวินที่ลู่เฉินผู้นั้นถูกใจ”

เฉินผิงอันไล่เรียงอยู่ในหัวไปรอบหนึ่ง ก่อนพยักหน้า “มี”

อาเหลียงยิ้มกล่าว “ถ้าพูดอย่างนี้ก็แสดงว่าการที่เจ้าออกจากภูเขาลั่วพั่วมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปเสียทั้งหมด”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “บอกต้นสายปลายเหตุให้ฟังได้ไหม?”

อาเหลียงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยว่า “ก็ใช่ว่าจะพูดไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่นี่ยังเป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้า ไม่แน่เสมอไปว่าจะถูกต้อง ข้าเดาเอาว่าเจ้าคนที่สังหารเจียวหลงมากที่สุดผู้นั้น มีความเป็นไปได้ว่าจะพาตัวไปอยู่ใกล้ๆ ภูเขาลั่วพั่ว”

อาเหลียงดื่มเหล้าหนึ่งอึก “คนผู้นี้พูดคุยด้วยง่ายมาก ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับเผ่าพันธุ์เจียวหลง ต่อให้ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งสังหารเขา เขาก็ไม่คิดจะเอาคืน อย่างมากก็แค่เปลี่ยนสถานะใหม่ เปลี่ยนเนื้องหนังมังสามาท่องอยู่ในใต้หล้าต่อไป แต่ขอแค่เกี่ยวพันกับมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้าย เขาก็จะกลายเป็นคนประหลาดที่พูดยาก ต่อให้จะแค่มีผลกรรมติดพันมาเพียงเล็กน้อย เขาก็จะยังสังหารจนสิ้นซาก เมื่อสามพันปีก่อนเผ่าพันธุ์เจียวหลงยังเป็นเจ้าแห่งโชคชะตาน้ำของใต้หล้าไพศาล จึงมีบุญวาสนาคอยปกป้อง น่าเสียดายที่เมื่ออยู่ใต้คมกระบี่ของเขากลับกลายเป็นเพียงมายาเลื่อนลอย ศาลบุ๋นเคยออกหน้ามาโน้มน้าวก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษากันได้ ลู่เฉินช่วยได้ แต่ก็ยังไม่ช่วยอยู่เหมือนเดิม ถึงท้ายที่สุดจะยังเป็นอย่างไรได้อีก กว่าจะค้นพบวิธีที่พบกันครึ่งทางได้ไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายอิรยะของสามลัทธิหนึ่งสำนักก็ได้แต่ช่วยเช็ดก้นให้ไอ้หมอนั่นเท่านั้น”

อาเหลียงยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าบนโลกนี้ไม่มีใครที่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง เรื่องวงในมากกว่านี้ ตอนนี้เจ้ารู้ไปก็สู้ไม่รู้เลยจะดีกว่า ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้น เจ้าไม่อาจดูแลทุกเรื่องได้ทั่วถึง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

หนึ่งเพราะเป็นเรื่องที่ต่อให้เค้นสมองครุ่นคิดก็ยังมิอาจคาดเดาหรืออนุมานได้ สองเพราะผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดยังไม่เกิดขึ้น อีกอย่างก็คือเขาถูกกำหนดมาแล้วว่ายังมิอาจกลับคืนไปยังแจกันสมบัติทวีปได้ คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์

จากนั้นก็ดูเหมือนว่าอาเหลียงจะเริ่มคุยโวโอ้อวดอีกครั้ง เขายกนิ้วโป้งชี้เข้าหาตัวเอง “อีกอย่างหากวันหน้าเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมาจริงๆ แค่บอกชื่อของข้าอาเหลียงไปก็พอ ยิ่งอีกฝ่ายขอบเขตสูงเท่าไรก็ยิ่งได้ผลมากเท่านั้น”

โดยทั่วไปแล้วคนที่อาเหลียงเป็นฝ่ายเรียกว่าพี่น้องด้วยตัวเอง อย่างสวีเตียนผู้ฝึกกระบี่ของฝูเหยาทวีปคนนั้น ล้วนเป็นคนที่ถูกอาเหลียงกลั่นแกล้งจนมีสภาพน่าเวทนา ซึ่งแท้จริงแล้วล้วนเป็นคนที่เขาเห็นแล้วขวางหูขวางตา

หลังจากมรสุมครั้งนั้นผ่านไป หลายครั้งที่สวีเตียนลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ ขอแค่พบเจอกับผู้ฝึกตนหญิงจากตำหนักเขากวางก็ไม่มีใครสักคนที่ไว้หน้าเขา และผู้ฝึกลมปราณหญิงของตำหนักเขากวางก็คบหาสหายอย่างกว้างขวาง ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนหญิงของสำนักครึ่งหนึ่งในฝูเหยาทวีปต่างก็พากันไม่ชอบขี้หน้าสวีเตียนไปด้วย หากเอ่ยตามถ้อยคำที่มีความสุขบนความทุกข์คนอื่นของบรรพจารย์สวีเตียนก็คือ เป็นคนที่ถูกอาเหลียงเอาถังขี้ราดใส่หัว ต่อให้ล้างจนสะอาดเอี่ยมก็ยังเป็นคนที่เคยถูกขี้ราดใส่หัวมาก่อนอยู่ดี จงยอมรับชะตากรรมเสียเถอะ

ทว่าบอกชื่อแซ่ไปแล้ว และยังกล้าพูดว่าตนเองเป็นเพื่อนของอาเหลียง บางทีอาจไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีสักเท่าไรจากแทบทุกสำนักในใต้หล้าไพศาล แต่ย่อมสามารถต้านทานหายนะและเรื่องไม่คาดฝันได้มากมายแน่นอน