อยู่ดีๆ อาเหลียงก็จุ๊ปากพูดขึ้นมา “ยิ่งนานวันก็ยิ่งเหมือนสามีภรรยากับแม่หนูหนิงมากขึ้นทุกทีแล้ว”
เฉินผิงอันยกถ้วยเหล้าขึ้น จู่ๆ ก็หันหน้ามาถามว่า “เถ้าแก่เนี้ยะ มีกับแกล้มที่ไม่คิดเงินบ้างไหม?”
นี่ไม่เหมือนแม่หนูหนิงอย่างมากแล้ว
เกี่ยวกับเฉินผิงอันและหนิงเหยา อาเหลียงรู้สึกมาตั้งนานแล้วว่าทั้งสองคนเหมาะสมกันมาก ตอนนั้นคนหนึ่งยังเป็นหนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกคนหนึ่งยังเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งเคยออกท่องยุทธภพ
คนหนึ่งคือแม่นางที่ไม่ว่าอะไรก็ไม่ยินดีจะคิดให้มากความ เจอกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนยินดีคิดให้มาก ยังมีเรื่องไหนที่เหมาะสมยิ่งกว่านี้อีกหรือ?
ไม่ใช่บุรุษทุกคนจะตระหนักได้ว่าคนรักของคนข้างกายตนจะมีโชควาสนาชีวิตคู่กับคนคนนี้เพียงแค่คนเดียวในหมื่นๆ ปี
สตรีผู้นั้นยิ้มกล่าว “การค้าเล็กๆ ของพวกเราไม่ได้เจริญรุ่งเรืองอย่างร้านเหล้าของเถ้าแก่รองหรอกนะ อีกอย่างเถ้าแก่รองก็เป็นทั้งเจ้ามือทั้งขายเหล้า แล้วยังเก็บตกสมบัติอาคมที่หล่นตามพื้นได้เก่งนัก ยังจะขาดเงินอีกหรือ?”
เฉินผิงอันเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น
อาเหลียงมองเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยเนิบช้า “เมื่อคนคนหนึ่งทำได้แค่เรื่องที่หนักสองสามจิน แล้วไม่อาจพูดหลักการเหตุผลสักครึ่งจินออกมาได้ ต่อให้เคยอ่านตำรามาก่อน สามารถพูดได้ คนอื่นไม่ฟังก็เท่ากับว่าไม่ได้พูดอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ใช่หลักการนี้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ช่วงเวลาที่พวกเราต้องใช้เหตุผล ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นช่วงเวลาที่เหตุผลไม่มีประโยชน์แล้ว อย่างหลังแอบไปอยู่ข้างหน้า ส่วนอย่างหน้าก็มาอยู่ข้างหลังอย่างเปิดเผย ดังนั้นเรื่องราวทางโลกถึงได้มีเรื่องให้จนใจเช่นนี้”
อาเหลียงยิ้มกล่าว “เบื่อมากหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่เบื่อ น่าสนใจมาก ยิ่งเป็นเช่นนี้พวกเราก็ยิ่งควรมีชีวิตให้ดี พยายามทำให้วิถีทางโลกใบนี้มั่นคงมากขึ้น”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ดื่มเหล้าอึกใหญ่ด้วยสีหน้าเยือกเย็น แต่แววตาใสกระจ่าง “ก็เหมือนคนคนหนึ่งที่ขอแค่ดื่มเหล้าได้เก่งมากพอ ตนก็สามารถดื่มเรื่องวุ่นวายใจที่อยู่ในชามเหล้าไปได้หมด ไม่จำเป็นต้องเอาไปพูดกับคนอื่นยามเมามาย”
อาเหลียงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่นอย่างเบิกบานใจ
เพราะบนร่างของเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้านี้ เขามองเห็นเงาร่างของใครอีกคนหนึ่ง
คนผู้นั้นไม่เคยออกท่องยุทธภพ คนหนุ่มเบื้องหน้าที่ถูกเขาฝากความหวังเอาไว้จึงช่วยเขาเดินทางมาไกลมากๆ แล้ว
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “แม้ข้าจะไม่เคยไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่ข้าก็รู้ดีว่าบนสนามรบ เผ่าปีศาจที่อยู่ภายใต้หมัดใต้กระบี่ของข้า ยามอยู่นอกสนามรบก็มีส่วนหนึ่งที่ถือว่าเป็นคนอ่อนแอ ถึงขั้นที่ว่ายังเป็นคนอ่อนแอที่ไม่มีอิสระเป็นของตัวเองตามความหมายที่แท้จริงอีกด้วย”
อาเหลียงหัวเราะ เขารู้ว่าเจ้าเด็กนี่อยากจะพูดอะไร มองดูเหมือนเฉินผิงอันกำลังพูดถึงตัวเอง แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการปลอบใจอาเหลียงเสียมากกว่า
เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “หากกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกตีแตก พวกผู้อ่อนแอที่แท้จริงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่มีอิสระเป็นของตัวเองอีกเหมือนกัน”
อาเหลียงกลับไม่รับน้ำใจ ยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นสมควรตายไหม?”
เขาต่างหากถึงจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เข้าใจขนบธรรมเนียมประจำท้องถิ่นของใต้หล้าเปลี่ยวร้างดีที่สุด อย่างน้อยที่สุดก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น
ยามอยู่ที่นั่น อยู่นอกสนามรบ อาเหลียงยังถึงขั้นมีสหายอย่างหลิวชา นอกจากหลิวชาแล้ว ผู้ฝึกตนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมากมายที่อาเหลียงรู้จักก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเผ่ามนุษย์มานานแล้ว
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหมดไปสองชามแล้วจึงรินชามที่สาม ชามเหล้าของร้านนี้ใหญ่กว่าร้านบ้านตนเสียอีก หากรู้แต่แรกก็คงซื้อเหล้าเป็นชามไปแล้ว
เฉินผิงอันดื่มเหล้าชามที่สามรวดเดียวหมดแล้วโคลงศีรษะ เอ่ยว่า “ก็เพราะว่าข้าความสามารถไม่มากพอ ไม่อย่างนั้นใครกล้าขยับเข้ามาใกล้กำแพงเมืองปราณกระบี่ ปีศาจใหญ่ทุกคนบนสนามรบล้วนต้องถูกต่อยตายด้วยหมัดเดียว ฟันตายด้วยกระบี่ด้วย ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์กับมารดามันสิ…วันหน้าหากข้ามีโอกาสกลับไปยังใต้หล้าไพศาล ทุกคนที่โชคดีไม่อยู่ในเหตุการณ์ ใครกล้าเกิดใจสงสารต่อคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ข้าเจอคนหนึ่งก็จะ…”
แล้วก็เรอดังเอิ้ก เฉินผิงอันเริ่มรินเหล้าอีกครั้ง เรื่องการดื่มเหล้านี้ แรกเริ่มสุดก็เป็นอาเหลียงที่ยุยงส่งเสริม ส่วนที่บอกว่าเจอคนหนึ่งแล้วจะทำอย่างไร เขากลับไม่ได้พูดต่อ
อาเหลียงไม่ได้ห้ามปราม
เขาเพียงแค่ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “เจ้าเฉินผิงอันพบเจอคนเหล่านั้นแล้วจะยังทำอย่างไรได้อีก คนเขาก็มีเหตุผลของตัวเองนี่นา ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มีใครบีบบังคับให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องมีคนตายมากขนาดนี้เสียหน่อย”
เฉินผิงอันหยุดดื่มเหล้า สองมือสอดเข้าชายแขนเสื้อ เอนตัวพิงโต๊ะเหล้า “อาเหลียง ลองบอกหน่อยสิว่าท่านจะทำอย่างไร? ข้าอยากเรียนรู้”
เรียนรู้ข้อดีของคนอื่นคือเรื่องที่เฉินผิงอันเชี่ยวชาญมาโดยตลอด
เรื่องของการคิดบัญชี เป็นนักบัญชี เขาก็เรียนรู้มาจากจงขุยตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมเล็กๆ เมืองหูเอ๋อร์ชายแดนแคว้นต้าเฉวียน
เป็นร้านผ้าห่อบุญ คอยเก็บตกเศษซากผุพัง ทว่างานหลักที่แท้จริงควรจะอยู่ในขอบเขตใด เฉินผิงอันได้เปิดโลกกว้างจากนักพรตซุนที่ท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปร่วมกัน
ถึงขั้นที่ว่าย้อนไปนานยิ่งกว่านั้น ประโยคที่เอ่ยอย่างไม่ได้ตั้งใจของหลินโส่วอี ความหมายคร่าวๆ คือบอกว่าออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก สามารถเข้าไปดูแลเรื่องต่างๆ ได้ แต่ต้องไม่ไปยุ่งวุ่นวายให้มากนัก ยิ่งเป็นช่วงหลังๆ เฉินผิงอันก็ยิ่งเข้าใจประโยคนี้อย่างลึกซึ้ง ยิ่งรู้สึกว่าชวนให้ขบคิด
หรือนานยิ่งกว่านั้น ตัวอักษรของเฉินผิงอันที่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญหลายคนอาจมองว่า ‘รูปลักษณ์สวยงาม แต่ขาดจิตวิญญาณ’ แท้จริงแล้วเขาก็ได้เรียนรู้มาจากเทียบยาสามแผ่นของลู่เฉิน ปีนั้นลู่เฉินเอ่ยสามเรื่อง แต่กลับอธิบายแค่สองเรื่องซึ่งรวมถึงเรื่องที่ให้ไปเก็บหินดีงูมาไว้เพื่อเสี่ยงโชค ตอนนั้นเฉินผิงอันถามไปคำหนึ่ง แต่ลู่เฉินกลับไม่ได้เอ่ยอะไร ที่แท้เรื่องของการเรียนรู้ตัวอักษรก็คือเรื่องสุดท้ายนั่นเอง
อาเหลียงให้คำตอบเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่สนใจเลยสักนิด”
เฉินผิงอันเหม่อลอยไร้คำพูด นึกถึงตอนที่อยู่ในร่องเจียวหลงแล้วได้ยิน ‘เสียงในใจ’ ของคนรอบด้าน นึกถึงเมืองสุยเจี้ยหลังจากผ่านทัณฑ์สวรรค์
เฉินผิงอันยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ จิบเหล้าหนึ่งคำ มือหนึ่งถือชามเหล้า มือหนึ่งเกาหัว “ค่อนข้างจะเรียนรู้ได้ยากแหะ”
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องเรียน”
หลังจากขึ้นเขามาฝึกตนแล้ว เงยหน้าขึ้นมอง ท้องฟ้าก็อยู่ห่างไปไม่ไกล
ผู้ฝึกตนยิ่งอยู่ใกล้กับยอดเขามากเท่าไร ก็ยิ่งไร้ความอดทนกับโลกมนุษย์มากเท่านั้น
อาจมีกรณียกเว้นอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่มีไม่มาก
อาเหลียงเองก็เป็นกังวลว่าเฉินผิงอันจะกลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาเช่นนั้น
ก็เหมือนเรื่องการเรียนรู้ตัวอักษรของเฉินผิงอัน ใช่ว่าอาเหลียงจะไม่รู้ถึงอุบายอันลึกล้ำที่ลู่เฉินมอบเทียบยาไว้ให้เขา พูดถึงแค่เรื่องการวาดยันต์ของเฉินผิงอัน เหตุใดถึงได้ราบรื่นเพียงนี้? แทบจะเรียกได้ว่าไร้ธรณีประตู เดินก้าวเดียวก็ข้ามผ่านไปได้แล้ว? ต้องรู้ว่าวิถีของสายยันต์นั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณของลัทธิเต๋าหรือไม่ ล้วนถูกมองเป็นปราการธรรมชาติด่านหนึ่ง เหมือนกับผู้ฝึกกระบี่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน หากไม่สำเร็จก็คือไม่สำเร็จ
แต่เรื่องแบบนี้เขาอาเหลียงกลับไม่สามารถเปิดปากพูดได้ ได้แต่รอให้เฉินผิงอันใคร่ครวญหาคำตอบเอาเอง
เวทกระบี่สูงก็รู้สึกว่าเรื่องราวทางโลกล้วนง่ายดายแล้ว? ไม่มีเรื่องดีแบบนี้หรอก เขาอาเหลียงเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เหล้ามื้อนี้ ยิ่งนานคนทั้งสองก็ยิ่งดื่มช้าลง อาเหลียงไม่รีบร้อน ตนดื่มเหล้าเก่ง เฉินผิงอันเองก็อยากดื่มให้มากขึ้นอีกหน่อย
ถึงอย่างไรสตรีขายเหล้าก็เป็นสหายเก่ากับอาเหลียง จึงไหว้วานให้คนไปเอากับแกล้มมาจากเหลาสุรา พอเอามาวางก็ยิ้มเอ่ยกับเถ้าแก่รองว่าไม่คิดเงิน
แล้วก็เป็นเช่นนี้ คนทั้งสองดื่มกันตั้งแต่ฟ้าสลัวจนม่านรัตติกาลหนาหนัก นักดื่มรอบด้านเบาบางลงทุกที ระหว่างนี้มีผู้ฝึกกระบี่บางส่วนที่เข้ามาทักทายปราศรัย พวกเขาล้วนไม่ปฏิเสธ เชิญนั่งลงดื่มเหล้าได้ตามสบาย แต่จำไว้ว่าต้องจ่ายเงินด้วย
ดังนั้นดื่มมาถึงตอนนี้ คนทั้งสองคนจึงแค่ต้องจ่ายเงินค่าเหล้ากาหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะเท่านั้น
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีใครใช้ความสามารถของผู้ฝึกกระบี่มาดื่มเหล้า ใช้แค่ความคอแข็งก่อนกำเนิดเท่านั้น
อาเหลียงหน้าแดงก่ำนานแล้ว เขาชี้ไปยังพระจันทร์บนท้องฟ้า ยิ้มเอ่ยกับสตรีคนนั้นว่า “น้องหญิงเซี่ย ข้าเคยไปเยือนมาก่อน เจ้าเชื่อหรือไม่?”
ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก เจอคนที่อายุน้อยกว่าตนเรียกว่าน้องสาว หรือเรียกว่าแม่นางก็ได้ แต่เจอกับสตรีที่อายุมากกว่าตนก็ไม่ต้องไปสนใจว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่ากี่ปีหรือกี่ร้อยปี ล้วนเรียกเหมือนกันว่าพี่สาว นี่คือความเคยชินที่ดี
สตรีฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงิน ชำเลืองตามองดวงจันทร์ โพล่งตอบกลับมาว่า “มีผู้หญิงไหม?”
อาเหลียงโบกมือ “เป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง พูดจาซุกซนนัก”
สตรีกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “จะปิดร้านแล้ว ดื่มเหล้ากานี้หมดก็รีบไสหัวไปได้แล้ว”
อาเหลียงกับเฉินผิงอันดื่มเหล้ากาสุดท้ายหมดก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป เฉินผิงอันควักเงินจ่ายค่าเหล้า สตรีที่ทำการค้าแบบเดียวกันซึ่งเดิมทีนับเป็นศัตรูกลับยิ้มพลางโบกมือ “เฉินผิงอัน ถือว่าข้าเลี้ยงเจ้า”
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ถามถึงสาเหตุ เขาเก็บเงินเกล็ดหิมะพวกนั้นไปแล้วเอ่ยขอบคุณคำหนึ่ง
คนทั้งสองเดินอยู่บนถนนใหญ่กลางดึกที่ไร้ผู้คน ฝีเท้าของพวกเขาโซเซเล็กน้อย แล้วก็ไม่คิดจะสลายกลิ่นเหล้าที่โชยคลุ้ง
ขยับเข้ามาใกล้จวนหนิง
อาเหลียงกล่าวว่า “เฉินผิงอัน พวกเราไม่ได้อยู่ในพื้นที่มงคลกระดาษขาว คนข้างกายไม่ใช่คนในตำรา ตอนนี้จำได้ไม่ถือเป็นความสามารถ แต่วันหน้าต้องยิ่งจดจำให้ขึ้นใจ”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
แล้วจู่ๆ อาเหลียงก็พูดขึ้นด้วยท่าทางขึงขัง “เรื่องที่เจ้าไปดื่มเหล้าแล้วไม่ต้องจ่ายเงินนี้ ข้าไม่มีทางบอกแม่หนูหนิงแน่นอน แล้วที่เจ้าบอกว่าทั้งหวงถิงและเหยาจิ้นจือล้วนสวยมากทั้งคู่ ข้าก็ยิ่งไม่มีทางพูด”
เฉินผิงอันสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย “ต่อให้ท่านพูดแล้วข้าจะกลัวหรือ? ล้อเล่นอะไรกัน อาเหลียง ไม่ใช่ว่าข้าโม้หรอกนะ…”
ตรงประตูใหญ่ของจวนหนิงมีเรือนกายหนึ่งปรากฏขึ้น อิ่นกวานหนุ่มรีบสูดลมหายใจเข้าลึก สลายความเมามาย กระเทือนกลิ่นเหล้าให้จางหายไปในทันที แล้ววิ่งตุปัดตุเป๋ไปหา มือข้างหนึ่งอ้อมมาไว้ข้างหลังบอกเป็นนัยให้บุรุษที่อยู่ด้านหลังรีบๆ ไสหัวไป เขาวิ่งเหยาะๆ ขึ้นบันไดไปตลอดทาง พอเห็นนางก็หยุดยืนนิ่ง เอ่ยว่า “ขอโทษนะ กลับมาดึกไปหน่อย อันที่จริงไม่ได้ดื่มเหล้ามากเท่าไรหรอก อาเหลียงคอยยุให้ดื่มตลอด ขนาดข้าบอกว่ายังไม่หายดีก็ไม่ได้ผล คราวหน้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
อาเหลียงยืนอยู่ที่เดิม เงี่ยหูฟังบทสนทนาของฝั่งนั้นแล้วก็ต้องปากอ้าตาค้าง เถ้าแก่รองไม่ได้มีชื่อเสียงเสียเปล่าจริงๆ เป็นศิษย์ที่เก่งกว่าครูซะแล้ว
หนิงเหยาหันหน้าไปมองอาเหลียง
ถูกรังเกียจซะแล้ว
อาเหลียงจึงหมุนตัวจากไปอย่างขุ่นเคือง พึมพำประโยคหนึ่งว่าไปดื่มเหล้าของร้านแม่นางเซี่ยแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วไม่ต้องจ่ายเงิน ก็เพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก ขนาดข้ายังทำไม่ได้เลย
ตรงหน้าประตู
หนิงเหยาไม่พูดไม่จา
เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ
หนิงเหยาไม่ได้สนใจคำฟ้องของอาเหลียงแม้แต่น้อย เอาแต่จ้องมองเฉินผิงอัน
ทำไมดูเหมือนว่าเขาจะสูงขึ้นอีกแล้วนะ
นางเขย่งปลายเท้า ขยับคิ้วตาให้เสมอเขา
เฉินผิงอันเอียงศีรษะ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “รีบบอกมาว่าเจ้าเป็นใคร หากยังน่ารักแบบนี้อีกข้าจะไม่ชอบหนิงเหยาหันมาชอบเจ้าแทนแล้วนะ”
หนิงเหยายังคงไม่เอ่ยอะไร
รอกระทั่งเฉินผิงอันฉลาดขึ้น หนิงเหยาก็หมุนตัวจากไปแล้ว
บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เว่ยจิ้นถูกบีบให้ร่ายใช้วิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำ ภาพที่เห็นก็คือตรงหน้าประตูใหญ่ของจวนหนิง อาเหลียงตีอกชกตัว “เจ้าเด็กโง่หัวทึบเอ้ย”
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเอาสองมือไพล่หลัง ค้อมเอวลงมองภาพนั้น พยักหน้าตามไปด้วย “โง่ไปหน่อยจริงๆ”
เว่ยจินที่เดิมทีไม่ใคร่จะยินดีร่ายเวทคาถา เวลานี้กลับยิ้มเอ่ยคล้อยตาม “เถ้าแก่รองไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ คำเอ่ยนี้ทำลายบรรยากาศจริงๆ”
อาเหลียงกระแอมหนึ่งที ผลักฝ่ามือของเว่ยจิ้นออกเบา “เว่ยจิ้นอ่า เป็นเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เจ้ากลับทำเรื่องแบบนี้ ไม่ค่อยมีคุณธรรมในยุทธภพสักเท่าไรเลยนะ มโนธรรมในใจเจ้าไม่เจ็บปวดบ้างหรือไร?”
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสหมุนตัวจากไป “ไม่สมควรจริงๆ”
ตรงจุดเดิมเหลือเพียงแค่เซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะที่เดิมทีก็หลอมกระบี่ของตนอยู่ดีๆ
บนหัวกำแพงเมืองที่ตั้งกระท่อมของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส อาเหลียงนั่งขัดสมาธิ “เปลี่ยนคนได้ไหม ยกตัวอย่างเช่นข้า?”
เฉินชิงตูส่ายหน้า “ไม่ได้”
อาเหลียงเอ่ยอย่างมีโทสะ “ข้าไม่ได้ขอบเขตสูงกว่าหรอกหรือ?”
เฉินชิงตูเอ่ย “มาถึงระดับสูงอย่างพวกเรา ขอบเขตจะมีประโยชน์กะผายลมอะไร เมื่อก่อนเจ้าไม่เข้าใจก็ช่างเถิด ตอนนี้จะยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
อาเหลียงเงียบงัน
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสพูดจาไม่รื่นหู แต่เหตุผลกลับถูกต้อง
คนทั้งสองเงียบกันไปนาน เฉินชิงตูนั่งลงข้างกายอาเหลียง
อาเหลียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
น้อยครั้งมากที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจะมีการกระทำเช่นนี้
เฉินชิงตูเอ่ยเบาๆ “เริ่มเหนื่อยแล้ว”
เพียงแต่ผู้เฒ่าก็ยิ้มเอ่ยอีกว่า “ผู้ฝึกกระบี่เฉินชิงตูโชคดีนักที่จะได้เจอผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเจ้า”
อาเหลียงหัวเราะเสียงดัง “คำพูดแบบนี้พูดให้ดังๆ หน่อย ตะโกนพูดไปเลย!”
เฉินชิงตูเหล่ตามอง
อาเหลียงรีบกลับคำทันที “ดื่มเหล้าเมาก็เลยพูดเพ้อเจ้อไปหน่อย แค่นี้ก็ไม่ได้หรือไง”
เฉินชิงตูเอ่ยเบาๆ “ไม่รู้ว่าหมื่นปีให้หลังจะเป็นทัศนียภาพแบบใด”
อาเหลียงเอ่ย “ก็คงจะยังทำให้คนผิดหวังแล้วมีความหวังอีกครั้งกระมัง”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับ “ปลอบใจคนได้ดี”
——