กลางตำหนักที่สร้างขึ้นจากประกายเมฆสีน้ำเงินเข้มหนึ่งแห่ง

“บอกตามตรงทุกท่านมาไม่ถูกเวลาจริงๆ พักนี้เผ่าข้าประสบกับเรื่องวุ่นวายใหญ่อย่างหนึ่ง เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของเผ่าข้า หัวหน้าเผ่าไม่อยากให้ทุกท่านมาเข้ามาพัวพันด้วย ดังนั้นจึงวางท่าปั้นปึ่งไปบ้าง หวังว่าทุกท่านจะให้อภัย”

ชายชุดฟ้าที่ถูกเรียกว่าหลันเหยียนอธิบายอย่างนอบน้อม

เผ่าทอเมฆาขึ้นชื่อเรื่องจิตใจเมตตาอารี ไม่แก่งแย่งชิงดีกับโลกหล้ามาโดยตลอด จุดนี้สามารถสัมผัสได้จากตัวของไฉไฉ่

หลินสวินย่อมไม่ถือสาเรื่องพวกนี้ คลี่ยิ้มเป็นมิตรให้

“พวกเจ้าเจอเรื่องวุ่นวายอะไรกับแน่”

เจ้าคางคกกลับอดเอ่ยถามไม่ได้

หลันเหยียนทอดถอนใจกล่าวว่า “เมื่อครู่ทุกท่านก็ได้ยินแล้ว นายน้อยของเผ่ากระจิบลำนำทองมาขอแต่งงาน ต้องการสู่ขอน้องไฉไฉ่ไปเป็นภรรยา…”

เผ่ากระจิบลำนำทอง เป็นเผ่าเก่าแก่เผ่าหนึ่งที่พำนักอยู่ในบึงฝันเมฆาเช่นกัน รากฐานและขุมอำนาจไม่ด้อยไปกว่าเผ่าทอเมฆาสักเท่าไหร่

เดิมทีระหว่างสองเผ่าต่างไม่ยุ่งเกี่ยวกันและกัน ทว่าพักหลังๆ มานี้ จู่ๆ เผ่ากระจิบลำนำทองกลับเปลี่ยนท่าทีก่อนหน้านี้อย่างฉับพลัน เปลี่ยนเป็นอานุภาพเดือดพล่าน เริ่มเคลื่อนไหวสอดแนมอาณาเขตของเผ่าทอเมฆา

หลันเหยียนสีหน้าโกรธแค้น กัดฟันกรอดกล่าวว่า “ขอแต่งงานเดิมก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง หากเผ่ากระจิบลำนำทองมีความจริงใจ และน้องไฉไฉ่เองก็เห็นชอบด้วย เรื่องการแต่งงานย่อมไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”

“แต่จากข่าวที่เผ่าข้าสืบมาได้ เผ่ากระจิบลำนำทองนี่ภายนอกมาสู่ขอแต่งงาน แต่ความจริงหวังจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง ยึดครองเผ่าของข้า!”

คราวนี้พวกหลินสวินก็เข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นมาทันที

“เหตุใดพวกเขาต้องทำเช่นนี้”

จ้าวจิ่งเซวียนคล้ายขบคิด “การต่อสู้แห่งเผ่าพันธุ์ ว่ากันถึงที่สุดก็เป็นการแย่งชิงผลประโยชน์ หรือว่าเผ่ากระจิบลำนำทองหมายตาอะไรบางอย่างในเผ่าทอเมฆาของพวกเจ้า”

หลันเหยียนอึ้งไป กัดฟันกล่าวว่า “แม่นางเดาไม่ผิด เผ่ากระจิบลำนำทองนี่หมายตาสมบัติเก่าแก่ชิ้นหนึ่งของเผ่าข้า”

สมบัติเก่าแก่!

ในใจพวกหลินสวินเย็นวาบ ตระหนักได้ว่าสมบัติเก่าแก่ที่เรียกกันต้องไม่เล็กจ้อยอย่างแน่นอน หาไม่ย่อมเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะทำให้เผ่ากระจิบลำนำทองบีบบังคับกันเช่นนี้

เจ้าคางคกคล้ายกับคิดอะไรขึ้นมาได้ กล่าวติดตลกว่า “ให้ข้าเดาดู เผ่ากระจิบลำนำทองคงไม่ได้หมายตา ‘เข็มดารานำวัฏจักร’ สมบัติตกทอดจากบรรพบุรุษของพวกเจ้าหรอกกระมัง”

เสียงดังเคร้งหนึ่งครา จอกชาในมือหลันเหยียนร่วงหล่น กล่าวเสียงหลงว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”

เจ้าคางคกเข้าใจฉับพลัน ทายถูกแล้ว!

เขากล่าวสบายๆ “สมบัตินี้ในยุคบรรพกาลมีชื่อเสียงสะท้านโลกถึงขีดสุด ลือกันว่าสามารถ ‘ชักนำเข็มทะลวงดารา ถักทอเป็นอาภรณ์’ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร”

หลันเหยียนยิ้มขื่น “สหายยุทธ์ช่างมีความรู้กว้างขวางจริงๆ เพียงแต่สิ่งที่เผ่ากระจิบลำนำทองนั่นคิดจะฮุบไปไม่ใช่เข็มดารานำวัฏจักร แต่เป็น ‘อาภรณ์สวรรค์ปีกดารา’ ชุดหนึ่งที่บรรพบุรุษเผ่าข้าใช้เข็มดารานำวัฏจักรมาถักทอต่างหาก”

เจ้าคางคกแค่นหัวเราะ “เฮอะ เผ่ากระจิบทองน้อยนี่ตะกละตะกลามนัก! อาภรณ์สวรรค์ปีกดาราเป็นถึงสมบัติอริยะที่เลื่องชื่อในยุคบรรพกาล มีประสิทธิภาพน่าอัศจรรย์ที่ตัดข้ามความว่างเปล่า ตัดขาดสิ่งกีดขวางระหว่างห้วงอากาศ สมบัติระดับนี้ หากตกไปอยู่ในมือพวกเขาเท่ากับแปดเปื้อนชัดๆ”

“เหตุใดก่อนหน้านี้พวกเขาถึงไม่ลงมือ มาเลือกลงมือเวลานี้”

จู่ๆ หลินสวินก็เอ่ยถาม

หลันเหยียนอึ้งไป ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

และในเวลานี้ ไกลออกไปที่ด้านนอกตำหนักใหญ่มีเสียงแค่นหัวเราะดังขึ้นระลอกหนึ่ง…

“จำไว้ให้ดี เหลือเวลาคิดทบทวนเพียงสามวัน ถึงตอนนั้นหากพวกเจ้าเผ่าทอเมฆายังไม่สามารถตัดสินใจได้ เช่นนั้นก็ให้เผ่ากระจิบลำนำทองของข้าตัดสินใจแทนพวกเจ้าเอง!”

“ขอตัวลา!”

กล่าวเสร็จเสียงก็หายลับไป

เมื่อได้ยินคำพูดยโสเช่นนี้ หลันเหยียนก็โกรธจนสีหน้ามืดทะมึน ร้องด่าทอว่า “น่าชังนัก! ถึงกับกล้าอวดศักดาภายในเผ่าของข้า เผ่ากระจิบลำนำทองนี่ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาสักนิด!”

พวกหลินสวินเองก็ขมวดคิ้ว ฟังจากน้ำเสียงเมื่อครู่นั้น ไม่ใช่บ้าระห่ำแบบทั่วไป แต่เหิมเกริมจองหองอย่างที่สุด

“หลันเหยียน เจ้าพาแขกเข้ามาเถิด”

เสียงสายหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงของหัวหน้าเผ่าเผ่าทอเมฆา

……

ยังคงอยู่ภายในตำหนักสีม่วงดังเดิม เพียงแต่ยามเมื่อพวกหลินสวินเห็นหญิงกระโปรงม่วงคนนั้นอีกครั้ง หว่างคิ้วของฝ่ายหลังกลับเจือแววอ่อนล้าอย่างไม่อาจปกปิด

หนำซ้ำนอกจากหญิงกระโปรงม่วง ยังมีคนใหญ่คนโตระดับสูงของเผ่าทอเมฆาอยู่ด้วย แต่ละคนล้วนสีหน้าอึมครึมอย่างยิ่ง

หลังจากพวกหลินสวินคารวะเสร็จ ต่างก็หย่อนตัวนั่งลง และมีสาวใช้ยกน้ำชาของว่างมาให้

“ทำให้พวกเจ้าเห็นเรื่องขายหน้าแล้ว” บนตำแหน่งที่นั่งประธาน หญิงกระโปรงม่วงกล่าว

เจ้าคางคกเอ่ยว่า “เผ่ากระจิบลำนำทองนั่นใจซ่อนเจตนาร้าย ข้าขอแนะนำให้ผู้อาวุโสอย่าตอบตกลงจะดีกว่า”

หญิงกระโปรงม่วงอึ้งไป มองไปทางหลันเหยียนที่อยู่ข้างๆ แล้วอดถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่งไม่ได้ กล่าวว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าเป็นสหายของไฉไฉ่ ขืนยังปิดบังพวกเจ้าอีกกลับจะดูเหมือนข้าใจแคบเกินไป”

นิ่งไปพักหนึ่ง นางกล่าวต่อว่า “หากเพียงแค่เผ่ากระจิบลำนำทอง เผ่าทอเมฆาของข้าย่อมไม่กริ่งเกรงอยู่แล้ว แต่ช่วงก่อนหน้านี้ไม่นาน เผ่ากระจิบลำนำทองกลับได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวยในแดนดาราอุดร ผ่านความสัมพันธ์ทางการแต่งงาน เมื่อเป็นเช่นนี้ หากต่อต้านเผ่ากระจิบลำนำทอง เผ่าข้าก็จำเป็นต้องไตร่ตรองถึงอันตรายที่ล่วงเกินตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวยด้วย”

สีหน้าของเจ้าคางคกและจ้าวจิ่งเซวียนพลันแปลกไปทันที ทอดสายตามองไปทางหลินสวินอย่างอดไม่ได้ ตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวย?

นั่นไม่ใช่ตระกูลที่มารกระบี่เยี่ยเฉินอยู่หรอกหรือ

หลินสวินกล่าวว่า “ผู้อาวุโส พอจะเล่าให้ฟังโดยละเอียดได้หรือไม่ บางทีข้าอาจพอช่วยเหลือได้บ้าง”

“พ่อหนุ่ม หลายวันก่อนเจ้าฆ่าอริยะหลายคน นั่นน่าทึ่งยิ่งจริงๆ แต่ใครต่างก็รู้ว่าเจ้าหยิบยืมพลังภายนอก และเจ้าควรรู้ว่าตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวยนั่นเป็นถึงตระกูลอริยะ ดำรงอยู่มาตราบเท่าปัจจุบันตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้ว ลือกันว่าเป็นไปได้มากที่จะมีบุคคลแห่งยุคระดับมหาอริยะควบคุมดูแล!”

ชายชราทอดคนหนึ่งในตำหนักใหญ่ถอนใจ ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหลินสวินเป็นอย่างยิ่ง

“เฮ้อ”

คนใหญ่คนโตเผ่าทอเมฆาคนอื่นๆ ในที่นี้ต่างก็ทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อสักนิด ว่าความช่วยเหลือของหลินสวินจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้

สิ่งนี้พาให้ในใจเจ้าคางคกไม่เบิกบานอยู่บ้าง ในดินแดนรกร้างโบราณตอนนี้ใครกล้าดูเบาพี่ใหญ่บ้าง ขุมอำนาจใหญ่พวกนั้นยังถูกฆ่าจนขวัญผวา พอมาถึงที่นี่กลับถูกคนดูเบา พาให้ผู้คนหัวเสียจริงๆ

“หลินสวิน เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ทุกคนหาได้มีเจตนาไม่ดี”

หญิงกระโปรงม่วงกล่าวเสียงนุ่ม “เพียงแต่เจ้ายังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวนัก ตอนนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ”

หลินสวินระบายยิ้ม ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ

จู่ๆ หญิงกระโปรงม่วงก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กล่าวว่า “จริงสิ ครั้งนี้พวกเจ้ามาเพื่ออะไรหรือ”

“พวกข้าอยากขอให้ ‘ผู้นำทาง’ ในเผ่าของผู้อาวุโสช่วย ชี้แนะเส้นทางมุ่งหน้าสู่โลกชั้นล่างให้พวกข้าเสียหน่อย”

หลินสวินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ประโยคเดียวทำเอาผู้คนในที่นี้ต่างหรี่ตาลง

“หากเป็นเมื่อก่อน สำหรับเผ่าข้าแล้วเรื่องนี้เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย ทว่าตอนนี้มหายุคมาเยือน พลังกฎเกณฑ์กลางฟ้าดินบังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อุโมงค์อากาศที่เชื่อมจากดินแดนรกร้างโบราณสู่โลกภายนอกก็แทบจะพังทลายเลือนหายไปเกือบหมด…”

หญิงกระโปรงม่วงเงียบไป “นี่อาจจัดการยากสักหน่อยแล้ว”

“ใช่แค่จัดการยากเสียที่ไหน ยากยิ่งกว่าปีนขึ้นฟ้าชัดๆ!”

ทันใดนั้นคนใหญ่คนโตเผ่าทอเมฆาคนหนึ่งในที่นี้เอ่ยปาก “พ่อหนุ่ม เกรงว่าคงทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว คำขอร้องนี้เผ่าทอเมฆาของพวกเราทำให้ไม่ได้”

คนอื่นๆ ในที่นี่ต่างพากันพยักหน้า

หลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกต่างขมวดคิ้ว นี่ก็คือรสชาติของการร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ถูกคนปฏิเสธยังได้แต่จำใจยอมรับ

หญิงกระโปรงม่วงคล้ายออกจะทนไม่ได้ กล่าวว่า “อันที่จริงก็พอมีหวังจะสามารถช่วยพวกเจ้าได้ เพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายมากมายเกินไป ยามนี้เผ่าข้าเผชิญหน้ากับวิกฤตชี้เป็นชี้ตาย แบ่งพลังออกมาทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้จริงๆ หวังว่าพวกเจ้าคงพอให้อภัย”

“แค่ทำได้ก็พอแล้ว”

เจ้าคางคกตบหน้าตักฉาดใหญ่ “ไม่ใช่แค่เผ่ากระจิบลำนำทองเผ่าเดียวหรอกหรือ เรื่องนี้มอบหมายให้พวกข้าจัดการก็พอแล้ว”

หลินสวินเองก็พยักหน้า

ทว่าท่าทีเช่นนี้ขอองพวกเขากลับกระตุ้นเสียงขำขันระลอกหนึ่งจากกลุ่มคนในโถงใหญ่ ต่างพากันส่ายหน้าไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าพวกเขามองเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น

หลินสวินเองก็คร้านจะอธิบายอะไรอีก หยัดตัวขึ้นกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ให้พวกข้าได้พบกับแม่นางไฉไฉ่สักครั้งได้หรือไม่”

หญิงกระโปรงม่วงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับปาก กำชับหลันเหยียนพาพวกหลินสวินออกไปพร้อมกัน

“เฮ้อ เดิมข้านึกว่าเทพมารหลินนี่จะแกล้วกล้าเปี่ยมล้มเหมือนที่เล่าลือกัน ทว่าตอนนี้ดูแล้วกลับเหมือนดาบไร้ซึ่งประกายคมใดๆ”

มีคนถอนหายใจเบาๆ

“ผิดแล้ว ไม่ได้ยินเขาบอกว่าจะช่วยพวกเราคลี่คลายวิกฤตหรือ ถึงแม้ออกจะคุยโวไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่ามีความอาจหาญอยู่ หากเป็นคนอื่นเกรงว่าคงจะรักตัวกลัวตาย แอบหนีเอาตัวรอดตั้งนานแล้ว มีหรือจะยอมเอาตัวเข้ามาพัวพันกับน้ำขุ่นระดับนี้ได้”

และมีคนกล่าวอธิบาย

“ใช่ เด็กนี่ยังถือว่าไม่เลวยิ่ง แต่น่าเสียดาย… เขาไม่เข้าใจความน่ากลัวของตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวยเลยสักนิด”

เสียงปลงตกระลอกหนึ่งดังขึ้น ทุกคนต่างออกอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด

นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวยก็เป็นขุมอำนาจชั้นยอดในแดนดาราอุดรเรื่อยมา ความน่ากลัวของรากฐานพลังอันแข็งแกร่ง อยู่เหนือกว่าขุมอำนาจของเผ่าพันธุ์ทั้งปวง!

มีพวกยักษ์ใหญ่เช่นนี้หนุนหลัง วิกฤตคับขันครั้งนี้ที่เผ่ากระจิบลำนำทองนำมา เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็สามารถคลี่คลายได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ

“ข้าได้ยินว่าวันแห่งอริยะร่วงหล่นก่อนหน้านี้ไม่นาน อริยะเยี่ยจิ่วเซียวของตระกูลเยี่ยก็เคยมุ่งหน้าไปสนับสนุนหลินสวินคนนี้ด้วย”

จู่ๆ ก็มีคนเอ่ยปาก พาให้บรรยากาศของโถงใหญ่เปลี่ยนไป คนไม่น้อยล้วนตาลุกวาวขึ้นมา หรือว่าเด็กคนนี้มีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวย

“แค่เรื่องเล่าเท่านั้น คิดจริงจังไม่ได้ ยังมีข่าวลือเล่าว่าตอนนั้นกึ่งจักรพรรดิไป๋อวี้จิงก็เคยมาเยือนด้วยตนเอง หมายจะขัดขวางเรื่องทั้งหมดนี้ นี่ก็เห็นได้ชัดว่าเหลวไหลทั้งเพ ใครไม่รู้บ้างว่าผู้อาวุโสไป๋อวี้จิงต่อสู้เข่นฆ่าอยู่ที่สนามรบแนวหน้าดินแดนรกร้างโบราณมาโดยตลอด”

มีคนไม่เห็นด้วย

“เอาล่ะ เรื่องนี้ปล่อยให้ข้าคิดทบทวนอีกสักหน่อย”

หญิงกระโปรงม่วงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หยัดตัวขึ้นเต็มความสูงก่อนออกจากโถงใหญ่ไป

……

“คุณชายหลิน ท่านถึงกับมาหาข้าจริงๆ หรือ”

เมฆสีขาวหิมะก้อนหนึ่งลอยวูบไหวอยู่ด้านข้างเนินเขาเขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำ ในชั้นเมฆ เมื่อมองเห็นเงาร่างของหลินสวิน ไฉไฉ่ก็ร้องโพล่งออกมาด้วยความยินดีทันที

เด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีขาวหิมะ เอวคาดเข็มขัดไหมทอง เรือนผมดำมัดรวบ งามประณีตละเมียดละไม

“ไฉไฉ่ ยังมีข้าอีกคนนะ”

เจ้าคางคกหัวเราะร่วนกล่าวทักทาย

“พี่ใหญ่จิน”

ไฉไฉ่กล่าวเสียงใส “อื๋อ ท่านนี้คือ?”

“จ้าวจิ่งเซวียน” จ้าวจิ่งเซวียนกล่าวยิ้มๆ “แม่นางน้อยงดงามนัก หว่างคิ้วเจือกลิ่นอายงามวิไลเป็นธรรมชาติ ข้าเห็นแล้วเอ็นดู”

“พี่สาวชมเกินไปแล้ว” ไฉไฉ่ขวยเขินอยู่บ้าง รีบร้อนเชิญพวกหลินสวินมานั่ง ก่อนรินชาให้พวกเขาด้วยตัวเอง

ดูแล้วสภาพจิตใจของนางไม่เลวยิ่ง ทั่วร่างอบอวลด้วยความปิติยินดี หลังจากทำจัดการทุกอย่างเสร็จก็นั่งลงข้างๆ พูดคุยกับพวกหลินสวิน น้ำเสียงเจื้อยแจ้วใสกังวาน ซุกซนมีชีวิตชีวา

พวกหลินสวินเองก็พลอยได้รับอิทธิพลไปด้วย พูดคุยกลั้วหัวเราะ

“ไฉไฉ่ พวกเราได้ยินว่านายน้อยของเผ่ากระจิบลำนำทองต้องการสู่ขอเจ้าเป็นภรรยา เจ้าคิดเห็นอย่างไร”

ทันทีที่เจ้าคางคกเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทำให้บรรยากาศในที่นั้นเงียบกริบทันที และแววร่าเริงยินดีบนหน้าไฉไฉ่ก็ค่อยๆ จางหายไป เปลี่ยนเป็นหมองมัว

——