“ที่แท้พวกคุณชายก็รู้กันแล้ว”
เสียงของไฉไฉ่เบาลง เด็กสาวคนนี้จิตใจบริสุทธิ์ดั่งกระดาษขาว แม้ว่าระงับอารมณ์ภายในจิตใจไว้สุดขีดก็ยังถูกคนมองออกได้อย่างง่ายดาย
“ไฉไฉ่ เจ้าไม่ต้องทุกข์ใจไป มีพวกเราอยู่ทั้งคน”
เจ้าคางคกรีบกล่าวเป็นพัลวัน ในใจลอบด่าตัวเองที่ปากมาก ดันไปพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดเสียได้
ไฉไฉ่สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ดวงหน้าเล็กงามขาวเนียนเผยแววเด็ดเดี่ยวออกมา กล่าวว่า “หากสามารถช่วยเผ่าคลี่คลายปัญหาใหญ่ได้ ให้ข้าแต่งออกไปแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า”
ประโยคเดียวทำเอาหลินสวินอดรู้สึกสะเทือนอารมณ์ไปด้วยไม่ได้
เขายังจำได้ดี เด็กสาวงดงามคนนี้ ปีนั้นตอนที่อยู่แดนเผาเซียนก็เคยพูดขึ้นมาอย่างวาดหวัง นางหวังว่าจะเก็บเกี่ยวแก่นแห่งประกายเมฆทั่วดินแดนทั้งปวงมาถักทอชุดแต่งงานให้กับตัวเอง
และหวังว่าจะเก็บเกี่ยวน้ำค้างวิญญาณแสงอาทิตย์หมื่นชนิด หมักสุรามงคลที่เลิศรสที่สุดในโลกด้วยมือตัวเอง เชิญสหายที่เข้าร่วมพิธีแต่งงานของนางมาร่วมลิ้มลองด้วยกัน
นี่คือเส้นทางที่นางแสวงหา เป็นภาพที่นางใฝ่ปรารถนาแม้ยามหลับฝัน
ทว่ายามนี้นางถึงกับพูดประโยคเช่นนี้ออกมา นี่… ไม่ต่างอะไรจากการตัดมรรคาแห่งตน ละทิ้งความเป็นตัวเองชัดๆ!
“วางใจเถิด เรื่องราวยังไม่ถึงขั้นนี้ ที่เจ้าคางคกพูดก็ถูก มีพวกเราอยู่ จะต้องไม่ปล่อยให้เจ้าทำเรื่องที่ฝืนใจแน่นอน”
จ้าวจิ่งเซวียนปลอบใจเสียงนุ่ม ไฉไฉ่เด็กสาวคนนี้ ไม่ว่าใครได้พบเห็นก็ต้องเกิดความรักใคร่เอ็นดู บนตัวนางมีความดีงามที่ไม่แปดเปื้อนโลกีย์อย่างหนึ่ง บริสุทธิ์ไร้เดียงสา
กล่าวถึงตรงนี้จ้าวจิ่งเซวียนเหลือบมองหลินสวินปราดหนึ่ง
หลินสวินสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังทันที พยักหน้ากล่าวว่า “ถูกต้อง เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเถิด”
จ้าวจิ่งเซวียนแย้มรอยยิ้มหวานละมุนออกมา พูดกับไฉไฉ่เสียงเบาว่า “น้องสาวเจ้าดูสิ มีคนช่วยหนุนหลังเจ้าอยู่นะ”
ไฉไฉ่กล่าวอย่างหวั่นใจ “แต่… แต่ท่านแม่ข้าบอกว่าเผ่ากระจิบลำนำทองนั่นน่ากลัวมาก…”
เจ้าคางคกกล่าวยิ้มๆ “กระจิบลำนำทองอะไรกัน ก็แค่นกน้อยสีทองฝูงหนึ่งเท่านั้น นี่เจ้ายังไม่เชื่อใจพวกเราอยู่อีกรึไง”
ไฉไฉ่รีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน เพียงแต่ภายในใจของนางซาบซึ้งสุดขีด ไม่รู้ควรพูดอะไรดีไปชั่วขณะ
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
หลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิ ในจุดชีพจรห้าตำแหน่งใกล้กับเส้นปราณหัวใจของเขาสั่งสมปราณกระบี่ออกมาห้าสายได้สำเร็จแล้ว
แต่ละจุดชีพจรราวกับเตาหล่อเลี้ยงกระบี่
ปราณกระบี่ห้าสายใช้แก่นจริงแท้ไท่เสวียนตีหลอม ฟูมฟักภายในนั้น จากนั้นขอเพียงค่อยๆ หล่อหลอม ก็จะสามารถฟูมฟักออกมาเป็นประกายกระบี่ เจตกระบี่ จิตกระบี่ วิญญาณกระบี่!
‘ใช้เวลาราวๆ ครึ่งปีกว่าจะเปิดเตาหล่อเลี้ยงกระบี่สามพันเตา ฟูมฟักปราณกระบี่สามพันสายออกมาได้…’
หลินสวินคำนวณเงียบๆ คราหนึ่ง
ทันใดนั้นเสียงเซ็งแซ่ระลอกหนึ่งก็ดังลอยมาจากไกลๆ
หลินสวินขมวดคิ้ว หยัดกายขึ้นเต็มความสูง
ในเวลานี้เจ้าคางคก จ้าวจิ่งเซวียน และไฉไฉ่ก็ถูกทำให้ตกใจด้วยเช่นกัน ต่างเดินออกจากประตูห้อง
สวบ!
เกือบจะเวลาเดียวกัน หลันเหยียนพุ่งพรวดมาจากที่ไกลๆ กล่าวด้วยหน้าตาตื่น “แย่แล้ว เซี่ยงเซ่าถิงนายน้อยของเผ่ากระจิบลำนำทองนั่นมาด้วยตัวเอง หนำซ้ำยังพาสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่งที่ชื่อเยี่ยเฟยเหิงจากตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวยมาด้วย บอกว่าจะให้เยี่ยเฟยเหิงนั่นเป็นพ่อสื่อ ทาบทามการแต่งงานกับหัวหน้าเผ่า!”
“อะไรนะ”
ร่างอ้อนแอ้นของไฉไฉ่พลันสั่นระริก ใบหน้างามซีดขาว
“นี่คิดจะเอาบารมีตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวยมาขู่ มุ่งหน้ามาบังคับแต่งงานนี่!”
เจ้าคางคกก็เข้าใจขึ้นมาทันควัน
หลินสวินขมวดคิ้ว “จิ่งเซวียน เจ้าดูแลไฉไฉ่อยู่ที่นี่ ข้ากับเจ้าคางคกจะไปดูเสียหน่อย”
จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้า
จากนั้นหลินสวิน เจ้าคางคกและหลันเหยียนเคลื่อนไหวพร้อมกัน ทะยานขึ้นอากาศไป
“น่าชังเกินไปแล้ว เมื่อวานทูตของเผ่ากระจิบลำนำทองเพิ่งตกลงกันไว้จะให้เวลาพวกเราคิดสามวัน แต่วันนี้พวกเขากลับโผล่มาแล้ว รังแกกันเกินไปแล้ว!”
ระหว่างทางหลันเหยียนโกรธจนกัดฟันเกิดเสียงดังกรอด
“วางใจเถิด พวกเขามาได้เวลาพอดี ถือโอกาสนี้แก้ไขเรื่องนี้เสียหน่อย เลี่ยงไม่ให้เสียเวลาอีก”
เจ้าคางคกกล่าวสบายๆ เห็นได้ชัดว่ามั่นใจยิ่ง
สิ่งนี้ทำให้หลันเหยียนยิ้มขื่นอีกระลอก เขาไม่รู้เลยว่าเจ้าคางคกไปเอาความมั่นใจมาจากไหน นั่นเป็นถึงผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งของตระกูลเยี่ยเชียว!
หลินสวินไม่ได้พูดมากความอะไร ตอนนี้ในใจเขาเกิดความชิงชังสายหนึ่งขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เผ่ากระจิบลำนำทองนี่ช่างจองหองเกินไปแล้ว
แต่พร้อมกันนั้นสิ่งที่ในใจหลินสวินสงสัยมากยิ่งกว่าคือ เหตุใดเผ่ากระจิบลำนำทองถึงได้รีบร้อนทำเช่นนี้ แม้แต่เวลาสามวันยังไม่ยอมรอ
เป็นเพราะอาภรณ์สวรรค์ปีกดาราอย่างนั้นหรือ
หน้าตำหนักสีม่วงแห่งนั้น ยามเมื่อพวกหลินสวินมาถึงที่แห่งนี้ก็มีเงาร่างมากมายรวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว ส่วนใหญ่เป็นคนในเผ่าของเผ่าทอเมฆา
ไม่ว่าชายหญิงคนแก่เด็กเล็ก สีหน้าล้วนเจือแววเดือดดาล
และในจุดที่ไม่ไกลออกไป มีคนขบวนหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ ผู้นำมีสองคน คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มชุดทองใบหน้าเรียวตอบ นัยน์ตาคมกริบ
อีกคนเป็นชายชราชุดคลุมสีดำ ผมเคราสีขาวขุ่น สองมือไพล่หลัง สีหน้าเจือแววดุดันน่ายำเกรง
ด้านหลังของทั้งสองคนเป็นผู้ติดตามกลุ่มหนึ่ง แต่ละคนวางท่ายโส ถูกคนเผ่าทอเมฆาทั้งหมดจับจ้องด้วยสายตาเคืองแค้น แต่พวกเขากลับเห็นได้ชัดว่าดูสบายอารมณ์ยิ่ง มั่นใจเต็มเปี่ยม ปลายคางแทบจะเชิดขึ้นฟ้า
ไม่จำเป็นต้องเดาสักนิดหลินสวินก็ระบุได้ทันที ชายหนุ่มชุดทองคนนั้นคือเซี่ยงเซ่าถิงนายน้อยของเผ่ากระจิบลำนำทอง
ส่วนชายชราชุดดำที่อยู่ข้างกายเขา จะต้องเป็นเยี่ยเฟยเหิงสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันจากตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวยอย่างไม่ต้องสงสัย
หญิงกระโปรงม่วงและคนระดับสูงของเผ่าทอเมฆาทั้งหมดต่างยืนอยู่หน้าตำหนักสีม่วง สีหน้าแต่ละคนล้วนไม่น่าดูนัก
“ครั้งนี้ก็ลำบากผู้อาวุโสแล้ว”
เซี่ยงเซ่าถิงเก็บรายละเอียดทุกอย่างไว้ในสายตา แต่กลับไม่สนใจสักนิด เห็นได้ชัดว่ามั่นใจเต็มเปี่ยม
“ฮ่าๆๆ เรื่องมงคลงดงามของหนุ่มสาว ข้ามีหรือข้าจะบ่ายเบี่ยง”
เยี่ยเฟยเหิงที่อยู่ด้านข้างหัวเราะลั่น “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าน้องสาวของเจ้าได้หมั้นหมายกับนายน้อยของข้าแล้ว พวกเราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้”
เซี่ยงเซ่าถิงเองก็หัวเราะขึ้นมา สายตาที่มองไปทางพวกหญิงกระโปรงม่วงเจือแววลำพองที่ระงับไว้ไม่อยู่
มีที่พึ่งใหญ่อย่างตระกูลเยี่ยอยู่ด้วย ดูซิว่าเผ่าทอเมฆาของเจ้ายังจะกล้าปฏิเสธอีกหรือไม่!
“ท่านนี้คิดว่าคงเป็นสหายยุทธ์หลันชิงเหินหัวหน้าเผ่าทอเมฆากระมัง”
เยี่ยเฟยเหิงสีหน้าขึงขัง ทอดสายตามองไปทางหญิงกระโปรงม่วง
“เป็นข้าน้อยเอง”
หลันชิงเหินโค้งคารวะเล็กน้อย ในใจนางมีความโกรธอยู่มาก แต่ก็ทำได้เพียงข่มกลั้นไว้ชั่วคราว
ช่วยไม่ได้ สภาพการณ์คนไม่อาจกำหนด!
“ในครั้งนี้ข้ายินดีเป็นพ่อสื่อให้สักครั้ง จับคู่บ่าวสาวเข้าพิธีวิวาห์ หวังว่าสหายยุทธ์จะให้ความร่วมมือจนสำเร็จ”
เยี่ยเฟยเหิงไม่พูดพร่ำทำเพลงสักนิด และคร้านจะอารัมภบท บอกจุดประสงค์ออกมาตรงๆ เห็นได้ชัดว่าแข็งกร้าวยิ่ง และดูออกว่ายามเมื่อเผชิญหน้ากับหัวหน้าเผ่าทอเมฆา เขาก็ไม่แยแสเท่าใดนัก
นั่นเพราะเขามาจากตระกูลเยี่ย!
และในภาพจำของเขา แม้ว่าเผ่าทอเมฆาจะลึกลับยิ่ง แต่ขุมอำนาจของเผ่ากลับไม่ถึงขั้นแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับตระกูลเยี่ยก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างสิ้นเชิง
เสียงพูดของเยี่ยเฟยเหิงสิ้นสุด ในลานพลันเงียบกริบลงมาทันที อากาศประหนึ่งควบแข็ง
สีหน้าของคนเผ่าทอเมฆาแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความเดือดดาล บังคับแต่งงานจนถึงขั้นนี้ ใช่แค่รังแกกันเกินไปที่ไหน นี่ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลยชัดๆ!
เวลานี้หลันชิงเหินเองก็มีความรู้สึกอดสู โกรธกรุ่นอย่างบอกไม่ถูก นางสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งกล่าวว่า “เรื่องนี้ค่อนข้างใหญ่ ข้าคิดว่าวางแผนระยะยาวจะดีกว่า”
สีหน้าเยี่ยเฟยเหิงขรึมลง แค่นเสียงเย็นกล่าว “ทำไม อย่าบอกเชียวว่าสหายยุทธ์เห็นว่าจากสถานะของข้า ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่ออย่างนั้นหรือ”
แววข่มขู่ในคำพูดนี้ชัดเจนเกินไปแล้ว
และด้านข้างเซี่ยงเซ่าถิงอดยิ้มอย่างได้ใจออกมาไม่ได้ เขากอดอกกล่าวว่า “แค่เรื่องแต่งงานเท่านั้น มีอะไรต้องดูระยะยาวด้วย ให้ไฉไฉ่เอาสินเดิมที่พวกเราตกลงกันไว้ก่อนหน้าแล้วแต่งเข้ามาตรงๆ ก็สิ้นเรื่องไม่ไช่หรือ”
“เจ้า…”
ทันใดนั้นคนใหญ่คนโตของเผ่าทอเมฆาคนหนึ่งโกรธจนโพล่งออกมาอย่างเดือดจัด แทบจะชักสีหน้าโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่กลับถูกคนที่อยู่ข้างๆ ขวางไว้อย่างเด็ดขาด
‘สินเดิมอะไร’
และพร้อมกันนั้นหลินสวินสื่อจิตเอ่ยถาม
‘อาภรณ์สวรรค์ปีกดารา!’ หลันเหยียนพูดลอดไรฟันออกมาทีละคำ ฉายแววแค้นที่เดือดดาลหาใดเปรียบ
‘เอาสมบัติอริยะวิเศษชิ้นหนึ่งมาเป็นสินเดิม เผ่ากระจิบลำนำทองนี่ช่างกล้าคิดซะจริง…’
นัยน์ตาหลินสวินเองก็ทอแววเย็นเยียบเช่นกัน
“ในเมื่อรู้ว่าปฏิเสธไม่ได้ เหตุใดยังต้องบันดาลโทสะ เผ่าทอเมฆาของพวกเจ้าคงไม่ใช่ว่าแม้แต่ผู้อาวุโสเยี่ยเฟยเหิงก็ไม่คิดจะไว้หน้าหรอกกระมัง”
ในเวลานี้เซี่ยงเซ่าถิงส่งเสียงหัวเราะเย็นชาออกมา วางท่าเหมือนกำราบเผ่าทอเมฆาอยู่หมัดแน่นอนแล้ว
หลันชิงเหินถอนหายใจเบาๆ “เรื่องนี้ไม่สามารถหารือกันอีกสักหน่อยได้แล้วจริงๆ หรือ”
เยี่ยเฟยเหิงแสร้งไม่เข้าใจ กล่าวว่า “หนุ่มสาวแต่งงานกัน นี่สำหรับพวกเจ้าสองเผ่าแล้วเป็นเรื่องมงคลชั้นเลิศเชียว เหตุใดจึงต้องลำบากใจเช่นนี้ด้วย”
ประโยคเดียวพาให้หัวใจหลันชิงเหินร่วงหล่นสู่ก้นเหวลึก นางรู้แล้ว หากตนยังปฏิเสธอีก นั่นเท่ากับหักหน้าและล่วงเกินตระกูลเยี่ยอย่างสิ้นเชิง
“หัวหน้าเผ่า อย่าตอบตกลงเด็ดขาดเชียว!”
คนเผ่าทอเมฆาในที่นี้ต่างสีหน้าเศร้าปนขุ่นเคือง
“เฮอะ พวกเจ้าจะไปเข้าใจอะไร มีสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับเผ่ากระจิบลำนำทองของข้า เป็นโชคดีที่พวกเจ้าไขว่คว้าไม่ได้แปดชั่วโคตรแล้ว!”
เซี่ยงเซ่าถิงแค่นเสียงเย็น เรื่องมาถึงตอนนี้ เผ่าทอเมฆานี่ยังไม่รู้จักดีชั่ว ช่างเกินเยียวยาแล้วชัดๆ!
“โชคดีรึ ข้าว่าเป็นโชคร้ายเสียมากกว่า!”
ทันใดนั้นเจ้าคางคกทนไม่ไหว แค่นหัวเราะออกมา “ลองดูหน้ากระจอกอย่างเจ้าสิ ข้าเห็นแล้วยังอยากอาเจียนด้วยความขยะแขยง เตือนเจ้ารีบเชือดคอฆ่าตัวตายโดยเร็วจะดีกว่า”
ทั่วลานเงียบกริบทันที
สายตามากมายต่างมองมาทางพวกหลินสวิน ล้วนฉายแววตื่นตกใจปนสงสัย คล้ายไม่อยากจะเชื่อ
“สามหาว!”
“รนหาที่ตาย!”
“เป็นตัวอะไรกันถึงกับกล้าหยามเกียรตินายน้อยเผ่าข้า”
ทันใดนั้นด้านหลังเซี่ยงเซ่าถิง ผู้ติดตามพวกนั้นสีหน้ามืดทะมึน โพล่งผรุสวาทเสียงดัง
“พี่ใหญ่ ข้าชักจะทนไม่ไหวแล้ว”
เจ้าคางคกสีหน้าไร้ความรู้สึก จวนจะไม่อาจข่มกลั้นเพลิงโทสะภายในใจ
“ประโยคต่อจากอดทนจนไม่อาจทนไหวคืออะไร”
หลินสวินย้อนถาม
“ไม่จำเป็นต้องทนอีกต่อไป!”
เจ้าคางคกพลันหัวเราะขึ้นมาทันที บนใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ฉายรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา
“ไม่นะ!”
ทันใดนั้นหลันชิงเหินคล้ายตระหนักถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าพลันเปลี่ยนไป โพล่งตะโกนออกมา
สวบ!
น่าเสียดาย เตือนช้าไปหนึ่งก้าว ทุกคนรู้สึกเพียงเบื้องหน้าลายตา เงาร่างเจ้าคางคกหายไปจากจุดเดิมตั้งนานแล้ว
ผู้ติดตามพวกนั้นที่ติดสอยห้อยตามมากับเซี่ยงเซ่าถิง ดูเหมือนมีสิบกว่าคน แต่ล้วนเป็นพวกท่าดีทีเหลวทั้งสิ้น คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็อยู่แค่ระดับกึ่งราชันเท่านั้น
อยู่ต่อหน้าระดับมกุฎราชันอย่างเจ้าคางคก ก็ไม่ต่างอะไรกับวัชพืชมดปลวกอย่างสิ้นเชิง
พรวดๆๆ!
ครู่ต่อมาหยาดเลือดแดงฉานหลั่งรินเป็นสายพุ่งกระฉูด สาดกระเซ็นบนห้วงอากาศ
ผู้ติดตามคนแล้วคนเล่าล้วนถูกฝ่ามือเดียวของเจ้าคางคกตบแหลกกระจุย ร่างระเบิดเป็นเสี่ยง จากนั้นก็กลายเป็นเถ้าธุลีเลือนหายไปกลางห้วงอากาศ
“เศษขยะของเล่นอะไรกัน ไม่รู้หรือว่าระดับราชันหยามกันไม่ได้ ข้ายังไม่เคยเห็นพวกโง่เง่ารนหาที่ตายแบบพวกเจ้ามาก่อนเลย”
เจ้าคางคกบ่นงึมงำคราหนึ่ง
และภาพเหตุการณ์นองเลือดนี้ ก็กระตุ้นเร้าจนผู้คนทั่วลานพากันสูดหายใจเฮือกไม่สิ้น
โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!
พูดไม่เข้าหูคำเดียวก็ลงมือ ฆ่าคนง่ายดายเหมือนปัดเศษฝุ่นออกจากตัว
……………