ทว่าขู่เซี่ยกลับไม่ขยับเท้า เขามองไปยังประตูใหญ่ของเรือนเซียนปลูกอวี๋ ถามว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานรู้ประวัติความเป็นมาของชื่อเรือนหลังนี้ไหม?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่รู้แน่ชัด”
อันที่จริงตลอดหลายปีที่เฉินผิงอันเป็นอิ่นกวานมานี้ เขาชอบไปค้นหาเปิดอ่านเอกสารลับมากมายที่ฝุ่นจับหนาชั้นอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนมากที่สุด เพื่อใช้เป็นเรื่องผ่อนคลายยามแอบปลีกตัวมาจากงานที่วุ่นวาย
อดีตเจ้าของคนก่อนที่เปลี่ยนชื่อจวนส่วนตัวแห่งนี้ว่าเรือนเซียนปลูกอวี๋คือสตรีท่านหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นเซียนกระบี่ในท้องถิ่นที่มีกลิ่นอายของฝ่ายบุ๋นอย่างที่หาได้ยากในกำแพงเมืองปราณกระบี่ นางเองก็เหมือนกับกวอเจี้ยที่ชอบปลูกดอกไม้พืชพรรณตระกูลเซียน เคยไหว้วานให้ภูเขาห้อยหัวซื้อต้นอวี๋ต้นหนึ่งมาจากฝูเหยาทวีป ย้ายมาปลูกในลานขนาดเล็ก ต้นอวี๋นั้นเจริญงอกงาม ออกดอกสูงชะลูดเหนือหลังคา ทำให้เซียนกระบี่เกิดความชื่นชอบ จึงเปลี่ยนชื่อจวน เพียงแต่ว่าพอเซียนกระบี่ตายไป อีกทั้งยังไร้ลูกศิษย์ จึงไม่มีคนไปทำความสะอาดเรือนหลังนี้มานานหลายปีแล้ว และเรือนเซียนปลูกอวี๋หลังนี้ยังมีตราผนึกตระกูลเซียนอยู่อีกชั้นหนึ่ง คนนอกจึงไม่คิดจะบุกเข้าไปเองโดยพลการ ดังนั้นสภาพของจวนหลังนี้ทุกวันนี้เป็นอย่างไร ต้นอวี๋ต้นนั้นจะตายหรือยังงอกงาม ดอกไม้ยังผลิบานหรือร่วงโรย ไม่มีใครรู้ได้
ขู่เซี่ยเอ่ย “ครั้งแรกที่ข้ากับสหายเดินทางมาท่องเที่ยวที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ สหายของข้าหลงรักลูกศิษย์คนหนึ่งของเซียนกระบี่ท่านนี้ เพียงแต่ว่ากฎเกณฑ์มิอาจเปลี่ยนแปลง คนทั้งสองจึงไม่อาจเป็นคู่รักเทพเซียนกันได้”
เฉินผิงอันกล่าว “หากสหายของท่านยอมอยู่ต่อก็ไม่ได้กลายเป็นคู่รักกันแล้วหรอกหรือ?”
สีหน้าของขู่เซี่ยยิ่งขมขื่น เขาเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าไพศาลพวกเราจะมีสักกี่คนที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระไร้พันธนาการ? ต่อให้ตอนแรกใช่ ก็เหมือนกับเติ้งเหลียงแห่งธวัลทวีปนั่นแหละ สุดท้ายก็ยังถูกศาลบรรพจารย์ของสำนักใหญ่รับตัวไปอยู่ดี แล้วนับประสาอะไรกับที่นับแต่เด็กมาสหายของข้าก็เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ถูกฝากความหวังไว้สูง บุญคุณยิ่งใหญ่ของสำนัก นึกจะตัดขาดก็ตัดขาดเลยได้อย่างไร? อีกทั้งในสำนักยังมีผู้อาวุโสที่สหายของข้าให้ความเคารพอย่างถึงที่สุดอยู่ด้วย”
เฉินผิงอันเอ่ย “ยากที่จะสมปรารถนาทั้งสองฝ่าย”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยหันหน้ามาเอ่ยว่า “ดังนั้นข้ากับสหายจึงนับถือใต้เท้าอิ่นกวานอย่างมาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่ขู่เซี่ย หากท่านโกหกไม่เป็นก็อย่าโกหกเลยดีกว่า”
ไม่มีสหายอะไรทั้งนั้น แล้วก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเซียนกระบี่อะไรทั้งนั้น
เห็นชัดๆ ว่าเป็นตัวของขู่เซี่ยเองกับเซียนกระบี่หญิงท่านนั้น
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเอ่ยอย่างจนใจ “ก่อนหน้านี้เดินทางไปส่งพวกเด็กๆ ที่ทักษินาตยทวีป ตลอดทางทุกคนล้วนเกลี้ยกล่อมข้า เด็กรุ่นหลังอย่างอวี้เจวี้ยนฟู จินเจินเมิ่งและจูเหมยต่างก็โน้มน้าวข้า ราวกับว่าข้าสร้างวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น ในใจข้ารู้สึกละอายยิ่งนัก ไม่คู่ควรกับความเคารพเลื่อมใสของพวกเขาเลย”
เฉินผิงอันกล่าว “หากเซียนกระบี่ขู่เซี่ยยอมพูดอย่างตรงไปตรงมา เชื่อหรือไม่ว่าพวกอวี้เจวี้ยนฟูและจูเหมยมีแต่จะยิ่งนับถือผู้อาวุโสมากกว่าเดิม?”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยมีสีหน้างงงันก่อน จากนั้นก็พลันกระจ่างแจ้ง สุดท้ายคล้ายจะปล่อยวางได้ “ไม่พูดตรงๆ ก็มีข้อดีเหมือนกัน ในฐานะผู้อาวุโส พูดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของชายหญิงกับเด็กรุ่นหลัง คงไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร”
เฉินผิงอันถามคำถามหนึ่ง “เจ้าของเรือนเซียนปลูกอวี๋ ปีนั้นเพื่อสะสมคุณความชอบทางการสู้รบกลับกลายเป็นว่ารบตาย ท่านไม่เคียดแค้ดเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ไม่อาฆาตแค้นกำแพงเมืองปราณกระบี่บ้างเลยหรือ?”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยส่ายหน้า “ไม่มีดินและน้ำของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ข้าจะได้พบนางที่เป็นเช่นนั้นไหม?”
นี่คือคำพูดจากใจจริงของเซียนกระบี่ขู่เซี่ย ไม่เกลียดกำแพงเมืองปราณกระบี่ เกลียดอะไร หากจะเกลียดก็ควรเกลียดความไม่เอาไหนของตัวเองมากกว่า
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ตอนแรกก็เป็นหลินจวินปี้ แล้วค่อยตามมาด้วยเซียนกระบี่ขู่เซี่ย ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อราชวงศ์เส้าหยวนเปลี่ยนมาดีขึ้นได้หลายส่วน
เมื่อวานอาเหลียงคลายปมปริศนาเรื่องหนึ่ง วันนี้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ช่วยคลายปมปริศนาอีกเรื่องหนึ่ง
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยพลันถามว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ไหนท่านบอกว่าตัวเองไม่คุ้นเคยกับที่แห่งนี้สักนิดเลยอย่างไรล่ะ?”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่า ‘ไม่รู้แน่ชัด’ สำหรับเรือนเซียนปลูกอวี๋ที่อยู่ใต้เปลือกตาของคฤหาสน์หลบร้อนแล้ว ในฐานะอิ่นกวาน มีภาระหน้าที่ติดกาย จะมากจะน้อยก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยจนใจที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้
หากพูดคุยกับพวกบัณฑิตของสายหย่าเซิ่งต้องไม่เป็นอย่างนี้แน่นอน
พาเซียนกระบี่ขู่เซี่ยหวนกลับมาที่คฤหาสน์หลบร้อน เฉินผิงอันตะโกนเรียกคำหนึ่ง เด็กหนุ่มชุดขาวหลินจวินปี้ก็เดินออกมาจากประตูใหญ่ด้วยมาดดั่งเซียน
เห็นเซียนกระบี่ขู่เซี่ย หลินจวินปี้ก็รู้ถึงจุดประสงค์ในการมาเยือนของอีกฝ่ายทันที ได้แต่กุมหมัดให้เฉินผิงอันอย่างไร้คำพูด
ออกไปจากคฤหาสน์หลบร้อนและกำแพงเมืองปราณกระบี่ในเวลานี้ ปลดเปลื้องภาระของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานทิ้งไป สุดท้ายย่อมต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าคิดจะหนีเอาตัวรอด หากเป็นพวกเติ้งเหลียง เฉากุ่นย่อมต้องมีความคิดในแง่ลบเช่นนี้ แต่หลินจวินปี้กลับไม่มีทางมีความคิดแบบนั้นแน่นอน
เฉินผิงอันตบไหล่หลินจวินปี้ “พบเจอกันด้วยดีและจากลากันด้วยดี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถนอมตัวด้วย”
หลินจวินปี้ยืนหลังตรง ยังคงกุมหมัดค้างไว้ “ช่วงเวลาที่ได้อยู่ข้างกายใต้เท้าอิ่นกวาน ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ได้รับผลประโยชน์มหาศาล จวินปี้จดจำได้ขึ้นใจ วิญญูชนอุทิศตัวสร้างรากฐาน รากฐานมั่นคงแล้วหลักการเป็นคนจะปรากฏ!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คำพูดตามมารยาทพูดให้น้อย ลงมือปฏิบัติจริงให้มาก ส่วนสัญญาที่เคยให้ไว้ ข้าย่อมต้องช่วยเจ้าทำให้ได้อย่างแน่นอน”
หลินจวินปี้เข้าใจความนัยได้ทันที เขาเอ่ยด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ “ใต้เท้าอิ่นกวานเชี่ยวชาญการเล่นหมากล้อม ถ้าอย่างนั้นกระดานหมากและโถเก็บเม็ดหมากก็จะทิ้งไว้ที่คฤหาสน์หลบร้อนแล้วกัน”
เฉินผิงอันตบไหล่ของหลินจวินปี้หนักๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดูท่าจวินปี้จะเรียนรู้ความสามารถที่แท้จริงไปได้หลายส่วนแล้ว”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยรู้สึกโล่งอก
ก่อนหน้านี้เขายังกังวลว่าด้วยความสัมพันธ์ของราชครูแห่งราชวงศ์เส้าหยวนและผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มนั้น จะทำให้อิ่นกวานหนุ่มจงใจสร้างความลำบากใจให้หลินจวินปี้
ดูท่าตนคงจะใช้ใจคนถ่อยไปวัดใจวิญญูชนเสียแล้ว
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยควักจดหมายลับฉบับหนึ่งออกมายื่นส่งให้หลินจวินปี้ เอ่ยกับเด็กหนุ่มว่า “จวินปี้ หากไม่ผิดไปจากที่คาด พรุ่งนี้เจ้าก็น่าจะต้องจากไปแล้ว ได้โดยสารเรือข้ามฟากของทักษินาตยทวีปที่ย้อนกลับพอดี จดหมายฉบับนี้อาจารย์ของเจ้าเพิ่งจะใช้กระบี่บินส่งมาที่เรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัวได้ไม่นาน เขาไหว้วานให้ข้านำมามอบให้เจ้า”
วันนี้หลินจวินปี้ยังต้องอยู่ที่คฤหาสน์หลบร้อนไปก่อน เพราะในจวนของเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนที่อยู่ในนครก็ไม่มีคนสนิทคุ้นเคยของเขาอีกแล้ว นอกจากนี้ทุกวันนี้ความประทับใจที่ซุนจวี้เฉวียนมีต่อผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ราชวงศ์เส้าหยวนก็ย่ำแย่อย่างมาก ภายหลังยังมามีเรื่องของเปียนจิ้งอีก หลินจวินปี้ก็อย่าไปหาเรื่องใส่ตัวที่นั่นจะดีกว่า
แล้วนับประสาอะไรกับที่หลินจวินปี้กับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของสายอิ่นกวานมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเฉากุ่นและเสวียนเซินที่มีนิสัยเปิดเผย ทุกวันนี้ก็ยิ่งสนิทสนมกันอย่างมาก
กวอจู๋จิ่วคอยยุให้พวกเขาสามคนตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองสาบานเป็นพี่น้องกันอยู่ตลอดเวลา แม่นางน้อยบอกว่านางเตรียมของทุกอย่างไว้ให้พร้อมหมดแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เตรียมพร้อมสรรพ ขาดก็แค่สามคนโขกหัวร่วมกันเท่านั้น!
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยขอตัวกลับไป ก่อนจะกลับได้เอ่ยกำชับหลินจวินปี้ไปรอบหนึ่งว่า เดินทางกลับคราวนี้ต้องระวังตัวให้มาก
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยไม่ได้ตรงกลับไปที่หัวกำแพงเมือง แต่ไปเดินเล่นที่เรือนเซียนปลูกอวี๋
ผู้เฒ่าที่มีหน้าตาอมทุกข์มองเรือนหลังนั้นด้วยสีหน้าเลื่อนลอย แต่จากนั้นก็พลันคลี่ยิ้ม
……
หลินจวินปี้กลับเข้ามาในคฤหาสน์หลบร้อน เล่นหมากล้อมที่ยังไม่แบ่งแพ้ชนะกับผังหยวนจี้ต่อให้จบ
ผังหยวนจี้ยิ้มเอ่ย “นี่จะเป็นกระดานสุดท้ายที่พวกเราได้เล่นด้วยกันแล้วใช่ไหม?”
หลินจวินปี้ถาม “ถ้าอย่างนั้นก็ให้เจ้าชนะครั้งหนึ่ง?”
ผังหยวนจี้กล่าว “หากให้ใต้เท้าอิ่นกวานช่วยเจ้าเล่นก็ไม่ต้องต่อให้ข้าแล้ว”
เฉินผิงอันที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อมองดูอยู่ด้านข้างพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “หากข้าเล่นหมากล้อมอย่างจริงจังก็ยังไม่เคยแพ้ใครเลยสักครั้ง”
ผังหยวนจี้ถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยเล่นหมากล้อมมากี่ครั้ง?”
เฉินผิงอันชำเลืองตามอง “เจ้ามายุ่งอะไรด้วย?”
ผังหยวนจี้วางเม็ดหมากในมือใส่กลับลงไปในกล่องเก็บเม็ดหมากเบาๆ “เหลือค้างไว้ก่อน”
หลินจวินปี้ดวงตาเป็นประกาย “ได้สิ”
เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจโล่งอก ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวที่หมี่ฮู่มอบให้ลงมาเพ่งพินิจอย่างละเอียด ก็ตอนนี้ตนยังเป็นเจ้าของมันชั่วคราวนี่นะ
ตรงก้นด้านล่างของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สลักสองคำไว้ว่าหาวเหลียง
วัสดุของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไม่เป็นที่แน่ชัด ก็ไม่รู้ว่า ‘ระดับขั้นพอใช้ได้’ ที่เซียนกระบี่ใหญ่ท่านนั้นพูดถึงจะพอใช้ได้แค่ไหน
ผังหยวนจี้หันหน้ามาพูด “หากข้าจำไม่ผิด ในอดีตหมี่ฮู่เก็บมันมาจากศพของเผ่าปีศาจก่อกำเนิดคนหนึ่งบนสนามรบ หลังจากที่หมี่ฮู่ได้มาก็ไม่เคยให้คนช่วยตรวจสอบ ระดับขั้นเป็นอย่างไรจึงบอกได้ยาก”
เฉินผิงอันจ้องน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ในมือเขม็ง ขาดก็แค่ไม่ได้เอาแนบหน้าเท่านั้น ปากพูดชวนคุยไปด้วยว่า “สรุปแล้วว่าของดีมีดีแค่ไหน ข้าไม่กล้าพูด แต่ใช่ของดีหรือไม่ เข้ามาอยู่ในมือข้าแล้วแค่ชั่งน้ำหนักก็รู้ได้ชัดเจน เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจ นี่คือความรู้ยิ่งใหญ่ที่ต้องดูที่พรสวรรค์ของคน”
ผังหยวนจี้ไม่คิดจะต่อคำ เปลี่ยนหัวข้อไปพูดเรื่องอื่นแทน “ก่อนหน้านี้ห้าคนล้อมสังหาร เจ้ารอดมาได้อย่างไร ขนาดเซียนกระบี่โฉวเหมียวยังบอกว่าต่อให้เป็นเขาก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะรอดมาได้”
จู๋เชี่ย หลีเจิน อวี่ซื่อ จวินทาน หลิวป๋าย
สถานการณ์ล้อมฆ่าจากผู้มีพรสวรรค์ขั้นสูงสุดทั้งห้าคน แล้วยังมีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ท่านหนึ่งคอยปูทางให้ก่อนเปิดฉาก
ดังนั้นพวกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่สงสัยใคร่รู้ย่อมไม่ได้มีแค่ผังหยวนจี้คนเดียว
เรื่องราวมากมายที่เกี่ยวกับอิ่นกวานหนุ่ม หากรู้แค่คร่าวๆ ต่อให้จะเคยเห็นกับตาเคยได้ยินกับหูมาก่อน แต่นั่นก็เท่ากับว่าไม่รู้อะไรเลยเหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่นทุกวันนี้ต่างก็คาดเดากันว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของเฉินผิงอันน่าจะสามารถสร้างฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมาสกัดกั้น ทว่าหากพูดถึงแค่ฟ้าดินเล็กก็ยังมีการแบ่งเป็นสามหกเก้าระดับ ความมหัศจรรย์ลี้ลับก็แตกต่างกันไป
เฉินผิงอันเก็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เอามาผูกไว้ตรงเอวใหม่อีกครั้ง หลินจวินปี้เก็บเม็ดหมากเรียบร้อยแล้ว อุปกรณ์การเล่นหมากล้อมชุดนั้นก็ถูกเฉินผิงอันเก็บเข้าไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อ
เฉินผิงอันไม่ได้เล่ารายละเอียดทั้งหมด เพียงแต่บอกถึงกระบี่บินและวิธีการของห้าคนฝั่งตรงข้ามให้ผังหยวนจี้และหลินจวินปี้ฟัง
หากจำเป็นต้องร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ ออกจากเมืองไปเข่นฆ่า เฉินผิงอันก็ไม่ถือสาที่จะต้องเล่าเรื่องวงในให้คนทั้งสองฟังมากกว่านี้ แต่ในเมื่อไม่ต้องไป พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์
เพราะถึงอย่างไรการปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างจริงใจก็ไม่ใช่ว่าจะต้องควักหัวใจออกมาทุกเวลานาที ฝ่ายหนึ่งควักออกไปให้ อีกฝ่ายไม่ทันระวังรับไว้ไม่ได้ ทำร้ายคนอื่นแล้วยังทำร้ายตัวเองอีก
หลินจวินปี้ถาม “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลิวป๋ายที่อันตรายที่สุดน่ะสิ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “วันหน้าหากเจอกับคนผู้นี้จะต้องระวังแล้วระวังอีก หากนางเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นจะปลิดชีวิตคนได้มากที่สุด ยุ่งยากมากเลยล่ะ”
หากการล้อมสังหารครั้งนั้นแข่งกันแค่เรื่องพลังพิฆาตว่ามากหรือน้อยอย่างเดียว เฉินผิงอันสักกี่คนก็ล้วนต้องมอบชีวิตไว้ที่นั่นแล้ว
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยว่า “แต่ตอนนี้พวกเรายังไม่มีทางได้เจอนางอีกเร็วๆ นี้แน่นอน ดังนั้นการค้าครั้งนั้น แม้ข้าจะไม่ได้กำไร แต่ก็ไม่ได้ขาดทุนสักเท่าไร”
หลินจวินปี้เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “กระบี่บินที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้อย่างมากสุดก็รู้แค่ว่ามีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่บางคนที่เล็กบางอย่างถึงที่สุด แต่ไม่ได้ฟังดูเกินจริงอย่างกระบี่บินของหลิวป๋ายเลย”
เฉินผิงอันเอ่ย “บนโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล ทุกที่ล้วนมีแต่ความมหัศจรรย์”
ย่อพื้นที่หดขุนเขาสายน้ำ เฉินผิงอันออกจากคฤหาสน์หลบร้อนตรงมาที่คฤหาสน์หลบหนาว
ผลคือไม่ได้เจอป๋ายหมัวมัวที่สอนหมัด กลับได้เห็นแขกไม่ได้รับเชิญที่แม้จะคาดไม่ถึง แต่ก็สมเหตุสมผลแทน
ที่แท้ก็เป็นกวอจู๋จิ่วที่สะพายหีบไม้ไผ่ไว้ด้านหลัง นางไม่ยอมอยู่ในบ้าน กลับแล่นมาที่คฤหาสน์หลบหนาวตั้งแต่เช้าตรู่ เวลานี้บนลานประลองยุทธมีพวกตัวอ่อนผู้ฝึกยุทธล้อมเป็นวงรอบกายนาง ส่วนนางก็กำลังเล่าเรื่องสถานการณ์ล้อมสังหารที่น่าอกสั่นขวัญผวาครั้งนั้น
กวอจู๋จิ่วไม่ได้เห็นสนามรบเองกับตา และก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเองก็พักรักษาตัวอยู่ในจวนหนิงตลอดเวลา จึงไม่เคยเล่าให้นางฟังแม้แต่ครึ่งคำ ดังนั้นทุกคำที่นางเล่าตอนนี้จึงเป็นแค่คำพูดเหลวไหล เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเองทั้งหมด
แต่เฉินผิงอันก็ไม่ได้ขัดขวาง เขานั่งอยู่บนราวระเบียงห่างมาไกล ปล่อยให้ลูกศิษย์คนนี้ทำหน้าที่เป็นนักเล่านิทานไป
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องวิชาหมัด เอาแค่เรื่อง ‘เล่านิทาน’ นี้ ก็ต้องเรียกว่ากวอจู๋จิ่วได้รับการสืบทอดที่แท้จริงจากเขาไปแล้ว