บทที่ 667.3 บนบ่าและในใจ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

กวอจู๋จิ่วยืนด้วยท่าไก่ทองขาเดียว พูดด้วยสีหน้าขึงขัง “สถานการณ์อันตราย ผู้ฝึกกระบี่ที่เข่นฆ่าจนตาแดงก่ำ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตห้าเล่มที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด อย่างน้อยก็สูงเหนือหัวของจ้าวหยวนฮว่าสองคนไปหนึ่งช่วงศีรษะพากันพุ่งมาถึง พวกเจ้ากลัวหรือไม่? อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย ขนาดข้ายังกลัว! พวกเจ้าลองคิดดูนะ หลีเจินผู้นั้นคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่ จู๋เชี่ยยังเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของหลิวชา ส่วนหลิวป๋ายผู้นั้นก็เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของจิ้งจอกเฒ่าฝีมือร้ายกาจอย่างโจวมี่ ที่พึ่งของคนทั้งสามใหญ่แค่ไหน ประวัติความเป็นมาใหญ่แค่ไหน? อีกอย่างในเมื่ออวี่ซื่อกับจวินทานต่างก็สามารถอยู่ในกระโจมเจี่ยเซินได้ ก็ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นอายุน้อยแค่นั้นจะสามารถเลื่อนมาอยู่ในลำดับร้อยเซียนกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้หรือ? แต่ก็ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เท่านั้นเอง ตอนนั้นแม้อาจารย์ของข้าจะเจอกับสถานการณ์อันตราย แต่จิตใจก็ไม่วุ่นวาย เพียงทำแบบนี้ พลังอำนาจของเขาก็ชวนให้คนครั่นคร้ามได้แล้ว พวกเจ้าเองก็ถือว่าเป็นคนที่เรียนวิชาหมัดแล้ว ควรจะรู้ว่าท่าหมัดทุกท่าของปรมาจารย์ใหญ่บนวิถีวรยุทธล้วนมีเรื่องให้ต้องพิถีพิถันกันทั้งนั้น…”

เฉินผิงอันทนฟังต่อไปไม่ไหวจริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่ายืนของลูกศิษย์ตัวเองไม่มีมาดของยอดฝีมือ หรือบุคลิกของปรมาจารย์เลยแม้แต่น้อย

เขารีบลุกขึ้นยืน เดินก้าวหนึ่งก็พุ่งไปถึงลานประลองยุทธ กระแอมหนึ่งทีเป็นการเตือนลูกศิษย์ที่กำลังช่วยให้เสียเรื่องว่าควรปิดงานได้แล้ว

กวอจู๋จิ่วหันหน้ามาเห็นอาจารย์ของตน กลัวว่าอาจารย์จะวางตัวเป็นผู้สูงส่ง ไม่ต้องการให้ตนพูดจาแสดงความเป็นธรรมแทน นางจึงร้อนใจเล็กน้อย ยังคงค้างอยู่ในท่าเดิมไม่เปลี่ยน แต่พูดรัวเร็วราวเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ บรรยายสถานการณ์การรบช่วงหลังผ่านร้อยกว่าตัวอักษรเร็วปรื๋อ

เฉินผิงอันเดินมาถึงข้างกายกวอจู๋จิ่ว ยื่นมือไปกดศีรษะของนาง

กวอจู๋จิ่วทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน “ไม่พูดแล้วๆ ถึงอย่างไรข้าก็ได้แค่เล่าถึงมาดองอาจเพียงหนึ่งในหมื่นยามที่อาจารย์ออกหมัดเท่านั้น น่าเสียดาย น่าเสียดายนัก”

เด็กที่มีชื่อว่าเจียงอวิ๋นยกสองแขนกอดอก “เฉินผิงอัน พี่หญิงกวอบอกว่าเจ้าใช้หมัดเดียวก็ต่อยร่างของผู้ฝึกกระบี่หญิงนามหลิวป๋ายให้หักดังกร๊อบได้ จริงหรือไม่? เจ้าคนนี้นี่เป็นยังไงนะ อีกฝ่ายมีผู้ฝึกกระบี่ห้าคน ชายสี่คน เจ้ากลับไม่ต่อยพวกเขาให้ตาย ผลกลับเลือกจะลงมือกับสตรี นี่เจ้าคิดจะเก็บมะพลับนิ่มมาบีบใช่ไหม?”

กล่าวมาถึงตรงนี้เจียงอวิ๋นก็หัวเราะหึหึ ยักคิ้วขึ้นลง “บีบมะพลับนิ่ม หมัดนั้นต่อยลงไปตรงไหนล่ะ? ข้าได้ยินมาว่าบนสนามรบตอนนั้นแปลกประหลาดอย่างยิ่ง มองเห็นภาพเหตุการณ์จริงไม่ชัด ราวกับดึงผ้าห่มมาปิดอย่างไรอย่างนั้น คนนอกมองไม่ออกว่าคนที่นอนอยู่ในผ้าห่มคือใคร…”

กวอจู๋จิ่วส่ายหน้า สายตาเวทนา “เจียงอวิ๋น ความเป็นสหายของพวกเราถือว่าจบสิ้นแล้ว”

เจียงอวิ๋นที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินกลับร้อนใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “พี่หญิงกวอ ไม่นะ พวกเราคือคู่พี่น้องร่วมสาบาน จะปล่อยให้คนนอกมาทำลายความปรองดองไม่ได้ ต่อให้พวกเราแตกสามัคคีกัน วันหน้าเจ้าก็อย่าไปตีฆ้องร้องป่าวอยู่นอกหน้าต่างบ้านข้าเด็ดขาด…”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เอาเถอะ เริ่มฝึกหมัดกันได้แล้ว กวอจู๋จิ่วไปคอยดูอยู่ด้านข้าง”

กวอจู๋จิ่วรับฟังคำสั่งอาจารย์ไปยืนอยู่ด้านข้าง

เฉินผิงอันมักจะมาที่นี่บ่อยๆ ช่วยป้อนหมัดให้พวกเด็กๆ หนึ่งชั่วยาม

คำว่าป้อนหมัดก็คือปล่อยให้พวกเด็กๆ ปล่อยหมัดใส่เขาได้เต็มที่ ไม่ต้องสนใจว่าใช้กระบวนท่าหมัดไหน

เจียงอวิ๋นชำเลืองตามองใต้เท้าอิ่นกวาน “ดูจากสภาพของเจ้าที่ได้รับบาดเจ็บไม่เบา ข้ากลัวว่าหมัดเดียวของข้าจะต่อยให้เจ้าล้มคว่ำเสียมากกว่า เจ้าต้องระวังหน่อยล่ะ อย่าอวดเก่งเป็นอันขาด เจ้าไม่ได้เจอข้ามาหลายวันคงไม่รู้สินะว่าทุกวันนี้วิชาหมัดของข้าประสบความสำเร็จไปมากแล้ว ออกหมัดไม่รู้หนักเบา หนึ่งหมัดปล่อยไปฟ้าปริแตกแผ่นดินสะเทือน”

เฉินผิงอันมองเด็กชายที่คุณสมบัติในการเรียนวรยุทธดีที่สุด ทว่าฝีปากกลับมีพรสวรรค์โดดเด่นยิ่งกว่า

เจียงอวิ๋นรีบถอยหลังกรูดไปหลายก้าวแล้วตั้งท่าหมัดรับศัตรูทันที กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ก้าวถอยหนึ่งก้าวแล้วค่อยก้าวมาข้างหน้าอีกก้าว พลันทะยานตัวขึ้นสูง มาหยุดอยู่เบื้องหน้าอิ่นกวานหนุ่มโดยตรงแล้วปล่อยหมัดออกไป

เฉินผิงอันเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง เอียงศีรษะ อีกมือหนึ่งกดหัวเจียงอวิ๋นผลักออกเบาๆ ฝ่ายหลังกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง พลิกตลบหลายครั้งก่อนจะลุกขึ้นได้

หลังจากที่เจียงอวิ๋นออกหมัดนำมาก่อน เด็กชายตัวปลอมที่ชื่อหยวนจ้าวฮว่าก็ตามหลังมาติดๆ นางฟาดเท้าเหวี่ยงใส่มาด้านหลังอิ่นกวานหนุ่ม เฉินผิงอันเบี่ยงตัวเล็กน้อย ถองศอกเข้าใส่ กระแทกร่างของแม่นางน้อยให้หล่นลงบนพื้น จากนั้นก็ใช้เท้าเตะเข้าที่ศีรษะของนาง ร่างทั้งร่างของแม่นางน้อยไถลกรูดออกไปในชั่วพริบตา

การป้อนหมัดของเฉินผิงอัน แน่นอนว่าต้องกดขอบเขตเอาไว้ แต่เขาไม่เคยพลั้งมือ

ตามข้อตกลง เมื่อไหร่ที่เฉินผิงอันโดนต่อยหนึ่งหมัดก็ถือว่าเด็กเหล่านี้ประสบความสำเร็จแล้ว สามารถแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมันได้แล้ว

มีเด็กคนหนึ่งถูกเฉินผิงอันจับไหล่แล้วผลักออกไปเบาๆ ร่างของเขากระแทกเข้ากับคนที่อยู่ด้านหลัง ทั้งสองจึงพากันปลิวลิ่วออกไป

เด็กคนหนึ่งที่ขยับเข้ามาใกล้เฉินผิงอันถูกนิ้วทั้งห้าของเขาจับใบหน้า บิดข้อมือครั้งเดียว เท้าทั้งสองของเด็กน้อยก็ลอยพ้นพื้นแล้วร่างก็กระเด็นหวือออกไป

“ร่างเคลื่อนไปตามจิต ลมปราณล่องสู่ตันเถียน ปณิธานทะลวงทั่วร่าง ผู้ฝึกยุทธเช่นข้า ค้ำฟ้ายันดิน ออกหมัดเร็วเหมือนกระบี่บิน ปณิธานหมัดไม่แพ้ให้กับเซียนกระบี่”

เฉินผิงอันก้าวเดินเนิบช้าด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย หมัดหนึ่งต่อยลงบนลำคอของเด็กคนหนึ่ง ต่อยจนอีกฝ่ายศีรษะเอียง เฉินผิงอันจึงเปลี่ยนจากหมัดเป็นฝ่ามือ หันฝ่ามือลงด้านล่าง หลังมือตบเข้าที่ไหล่ของเด็กน้อย ฝ่ายหลังเซล้มลงกับพื้น ยกเท้าขึ้นเบาๆ ปณิธานหมัดแผ่ออกมาจากส้นรองเท้าผ้า เตะให้เด็กชายที่แม้กำลังตะลึงลานแต่ก็ยังออกหมัดสะเปะสะปะกระเด็นออกไป ขณะเดียวกันก็ไปขวางการออกหมัดของเด็กอีกคนหนึ่ง สองขาของฝ่ายหลังลอยคู่พ้นพื้นรับหมัดที่พุ่งแสกหน้าเข้ามา

“พละกำลังรุนแรงดุดัน แข็งแกร่งมิอาจทำลาย เมื่อต้องการหมัดหยุด ปณิธานหมัดถูกนำมาใช้ เล็กบางราวเข็ม เมื่อความคิดบังเกิดหมัดพุ่งไปข้างหน้า”

เฉินผิงอันขยับเท้าเดินไปด้านข้าง หมัดหนึ่งต่อยลงลงบนท้ายทอยของเด็กคนนั้น เด็กชายหน้าทิ่มลงกับพื้น กระแทกกับลานประลองยุทธ เลือดกำเดาไหลทันที

เด็กคนหนึ่งสลับเปลี่ยนทิศทางการโคจรอยู่หลายครั้ง ตีศอกกระทุ้ง ฝ่ามือพลิกหมุนว่องไว ผสานกับท่าเดินนิ่งหกก้าว ขยับเข้ามาใกล้ร่างเฉินผิงอันเร็วมาก วิชาหมัดพอจะมีพลังอำนาจปรากฏให้เห็นนิดๆ แล้ว

แต่กระนั้นก็ยังถูกเฉินผิงอันใช้ศอกถองศอก ใช้ฝ่ามือปะทะฝ่ามือ พลิกแพลงกระบวนท่าจนคนมองตาลาย สุดท้ายผลักเด็กคนนั้นกลับไปยืนตำแหน่งเดิมได้พอดี

เจียงอวิ๋นแอบเหวี่ยงเท้าเตะใส่เฉินผิงอัน ผลกลับถูกเฉินผิงอันชิงถีบเข้าที่หน้าอก ลงไปนอนกองอยู่กับพื้น เจียงอวิ๋นกำลังจะด่าว่าเฉินผิงอันฉวยโอกาสที่ตัวสูงกว่า นึกไม่ถึงว่าจะเห็นอิ่นกวานหนุ่มยกเท้าเหวี่ยงมาด้านหลัง เจียงอวิ๋นเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก เอาฝ่ามือตบพื้นพลิกตัวลุกขึ้นยืน

เด็กทุกคนที่เข้ามาออกหมัดได้ในระยะประชิดล้วนถูกเฉินผิงอันโจมตีให้ถอยร่นออกไปได้ง่ายๆ คนหนึ่งถูกศอกถองจนลงไปนอนกลิ้งกับพื้น อีกคนถูกเฉินผิงอันใช้ไหล่ชนกระเด็น ตอนที่ลุกขึ้นมารู้สึกเพียงว่ากระดูกกระเดี้ยวเกินครึ่งร่างหลุดเคลื่อนออกหมดแล้ว แต่กระนั้นก็ยังกัดฟันลุกขึ้นยืน โดยทั่วไปแล้วยามออกหมัดย่อมต้องช้ากว่าเสี้ยวหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น เด็กทุกคนที่มาฝึกวรยุทธอยู่ที่นี่รวมถึงเจียงอวิ๋นต่างก็จำคำกล่าวหนึ่งของอิ่นกวานหนุ่มได้อย่างแม่นยำ เรือนกายของผู้ฝึกยุทธได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยก็ย่อมบาดเจ็บไปถึงปณิธานของหมัด ถ้าอย่างนั้นเท่ากับว่าตัวเองรนหาที่ตายแล้ว สามารถใช้การบาดเจ็บมาแลกด้วยการออกหมัดที่เร็วกว่าเดิม นั่นต่างหากถึงจะเป็นผู้ฝึกยุทธที่เข้าขั้นอย่างแท้จริง

หยวนจ้าวฮว่าดีดปลายเท้าออกไปราวลูกธนูหลุดออกจากสาย

มีเด็กคนหนึ่งเหวี่ยงแขนเป็นวงกว้างปล่อยหมัดอย่างเดือดดาลเพียงลำพัง

แล้วก็มีเด็กหลายคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกันคอยร่วมมือกัน หวังเพียงให้มีหมัดของใครสักคนต่อยลงบนร่างของเฉินผิงอันได้

เด็กแต่ละคนขยับเข้ามาใกล้ แต่ก็ถูกโจมตีให้ถอยร่นอีกครั้ง แม้ว่าทุกคนต่างก็บาดเจ็บไม่มาก แต่ต้องไม่ได้รู้สึกดีอย่างแน่นอน

เฉินผิงอันสาวเท้าเดินเนิบช้าอยู่ตลอดเวลา “ขอแค่ปณิธานหมัดไร้ชีวิต ต่อให้พวกเจ้าลืมความเป็นความตายอยู่ในสัจธรรมแห่งหมัดได้ ก็ยังต้องตายอยู่ดี”

เฉินผิงอันงอเข่าสองข้างลงเล็กน้อย สองมือพลันหยุดอยู่ใต้คางของเด็กคนหนึ่งที่กระโดดขึ้นสูง ดันเบาๆ ทีเดียวฝ่ายหลังก็กระเด็นออกไปหลายสิบจั้ง “หมัดเริ่มจากจุดต่ำขึ้นมา ต่อให้เป็นกระบวนท่าหมัดกระบวนท่าเท้าที่ดีแค่ไหน หากยืนยังไม่มั่นคง แล้วจะพูดถึงการลอยเหนือพื้นได้อย่างไร”

หนึ่งก้านธูปต่อมา เด็กส่วนใหญ่ล้วนนอนอยู่บนพื้น มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่นั่งอยู่ คนที่ยืนได้กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว

เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม เอ่ยว่า “ฝึกต่อ หมัดและเท้าช้าได้ แต่ปณิธานต้องหนักแน่นให้มาก ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ”

พวกเด็กๆ ลุกขึ้นยืนโงนเงนแทบจะเวลาเดียวกัน

ทางฝั่งของระเบียง อาเหลียงกับหญิงชรา คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืนมองดูเฉินผิงอันสอนหมัด

อาเหลียงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “วิชาหมัดยอดเยี่ยม ไม่ยาก แต่จะให้ยอดเยี่ยมด้วยน่ามองด้วย กลับยากมากเลย วันหน้าหากไปถึงใต้หล้าไพศาลแล้วออกหมัด ทุกหนทุกแห่งก็คงมีแต่บุปผาเบ่งบานเลยกระมัง”

หญิงชรายิ้มบางๆ “วิชาหมัดของท่านเขยโดดเด่นน่ามองมากจริงๆ การออกหมัดและรูปโฉมของท่านเขยช่วยส่งเสริมกันและกันให้ดียิ่งขึ้น จะมีสตรีมาชื่นชอบก็เป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรท่านเขยก็ไม่สนใจพวกนางอยู่แล้ว นิสัยใจคอของท่านเขยทำให้คนวางใจได้ยิ่งกว่า”

อาเหลียงยิ้มกล่าว “เจ้าเด็กนี่ไม่มีข้อเสียบ้างเลยหรือ?”

หญิงชราคิดแล้วก็ส่ายหน้า

อาเหลียงมองเด็กๆ พวกนั้นแล้วพูดอย่างสะท้อนใจ “แบกภาระไว้บนบ่า ก็แค่เปลืองแรงเท่านั้น แต่แบกภาระไว้ในใจ เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดกันล่ะ?”

หญิงชราเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง พูดเสียงเบาว่า “มีแค่ข้อนี้ของท่านเขยนี่แหละที่ไม่ดี”

ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป คราวนี้พวกเด็กๆ นอนกองอยู่บนพื้นกันทั้งหมด

มีเด็กที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นตาดีเหลือบไปเห็นอาเหลียงที่อยู่ตรงระเบียงพอดี พอจะเดาตัวตนของอีกฝ่ายออก ไม่นานแต่ละคนก็เริ่มซุบซิบกัน

เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “อาเหลียง จากนี้ท่านมาสอนหมัดบ้างดีไหม?”

อาเหลียงทำท่าคันไม้คันมือ

วิชาหมัดของข้านับว่าใช้ได้อยู่บ้าง

ฝ่ามือข้างหนึ่งยันบนราวระเบียง พลิ้วกายมายืนบนพื้น สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง สะบัดไหล่ ร้องตวาดเบาๆ จากนั้นก็พุ่งไปเป็นเส้นตรง ปล่อยกระบวนท่าหมัดที่ตัวเองคิดว่าคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล และท่าฝ่าเท้าที่เห็นได้ชัดว่าตั้งใจโอ้อวดมาตั้งแต่ระเบียงจนถึงลานฝึกยุทธ

เจียงอวิ๋นกระโดดผลุงขึ้นยืน พูดด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่หาได้ยาก “เฉินผิงอัน พวกเรามาฝึกหมัดกันต่อเถอะ เจ้าสอนคนเดียวก็พอแล้วล่ะ”

เด็กคนอื่นๆ ก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย

อาเหลียงยืนอยู่ที่เดิม ลูบคลำปลายคาง ไม่น่าจะเป็นแบบนี้นะ

วิชาหมัดนี้ของข้าทั้งน่าดูทั้งหนักแน่น ขนาดเต๋าเหล่าเอ้อร์ยังเคยต้องเจอกับความลำบากใหญ่หลวงเลยนะ

กวอจู๋จิ่วเอ่ยปลอบใจเสียงเบา “ผู้อาวุโส ถึงอย่างไรเวทกระบี่ของท่านก็สูงขนาดนั้น วิชาหมัดสู้อาจารย์ของข้าไม่ได้ก็ไม่ต้องอายหรอก”

อาเหลียงถาม “พวกเจ้ามองออกว่าวิชาหมัดของข้าไม่สูงหรือ?”

กวอจู๋จิ่วส่ายหน้ารัวๆ ราวกับกลองป๋องแป๋ง

อาเหลียงจึงถามหยั่งเชิงขึ้นมาอีก “เป็นเพราะกระบวนท่าไม่งดงามหรือ?”

กวอจู๋จิ่วทอดถอนใจ “ผู้อาวุโสอาเหลียงอยากฟังคำพูดจากใจจริงหรือคำพูดไม่จริงล่ะ?”

อาเหลียงเอ่ย “คำพูดไม่จริง!”

กวอจู๋จิ่วมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นมาทันควัน ผู้อาวุโสอาเหลียงชวนคุยแบบนี้ก็สนุกแล้ว แถมยังไม่ทำร้ายน้ำใจกัน ไม่ต้องโดนมะเหงกจากอาจารย์ ดังนั้นนางจึงชูนิ้วโป้งทั้งสองมือ พูดชมเชยเสียงดัง “วิชาหมัดของผู้อาวุโสร้ายกาจยิ่งนัก สุดยอดไปเลย น่ามองเหมือนหน้าตาของผู้อาวุโสเลยล่ะ!”

อาเหลียงไม่สนใจแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรก็ยังเป็นคำพูดน่าฟัง จึงยิ้มถามว่า “จู๋จิ่วอ่า อยากเรียนวิชากระบี่หรือไม่? ท่านอาอาเหลียงไม่ได้โม้นะ บางทีวิชาหมัดอาจจะร่ายได้ไม่งดงามอย่างอาจารย์ของเจ้า แต่เวทกระบี่นี้ จุ๊ๆๆ”

กวอจู๋จิ่วส่ายหน้า “ไม่เรียน”

อาเหลียงถาม “ทำไมล่ะ”

แม่นางน้อยเดินย่ำเท้าอยู่ที่เดิม ไหล่โยกขึ้นลง หีบไม้ไผ่ใบเล็กก็เด้งขึ้นเด้งลงตามไปด้วย “อาจารย์ของข้ามีแค่คนเดียวนี่นา”