บนสนามประลองยุทธ พวกเด็กๆ นอนหมอบอยู่บนพื้นอย่างคุ้นเคยกันอีกครั้ง แต่ละคนหน้าเขียวจมูกบวม การขัดเกลาเส้นเอ็นและกระดูกซึ่งเป็นช่วงต้นของการเรียนวรยุทธไม่มีทางสบายได้แน่นอน เสวยสุขในตอนที่สมควรเจอกับความยากลำบาก ยามที่ต้องเสวยสุขก็ควรต้องเจอกับความยากลำบากแล้ว
ในเมื่อเกิดมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลบหนาวแห่งนี้ ก็ควรจะปรับตัวให้ชินกับการเผชิญความยากลำบาก เรียนรู้จนเกิดเป็นทักษะติดตัว
ไม่ใช่ว่าความยากลำบากทุกเรื่องในใต้หล้าจะนำมาซึ่งความหวานหอมเสมอไป จิตแห่งบู๊ของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจะมีรสชาติได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเผชิญความขมขื่นมาก่อนเท่านั้น
ใต้เท้าอิ่นกวานที่สวมชุดคลุมตัวยาวสีเขียวยังคงมีสีหน้าผ่อนคลายดังเดิม “พักสองก้านธูป”
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ วางมือทั้งสองทับซ้อนกัน ฝ่ามือหงายขึ้น เริ่มหลับตาพักจิตใจ เด็กทุกคนดิ้นรนลุกขึ้นยืนแล้วนั่งล้อมเป็นวง ท่านั่งของทุกคนเหมือนอิ่นกวานหนุ่มอย่างไม่มีผิดเพี้ยน หลับตาลงปรับลมหายใจช้าๆ
เฉินผิงอันลืมตาขึ้นแล้ววิจารณ์การออกหมัดของทุกคน พูดหมดทั้งข้อดีและข้อเสีย ไม่คิดจะโปรดปรานเจียงอวิ๋นเป็นพิเศษเพราะเขามาจากตระกูลสูงศักดิ์บนถนนไท่เซี่ยง มีฐานกระดูกในการเรียนวรยุทธหนักที่สุด หมัดไหนปล่อยออกมาเหยาะแหยะก็ด่าหมด แล้วก็ไม่คิดจะเย็นชาเฉยเมยใส่จางผานเด็กจากตรอกถงเฉียนที่เกิดมาก็มีเรือนกายอ่อนแอที่สุด เรียนวิชาหมัดได้ช้าที่สุด หมัดไหนต่อยได้ดีก็เอ่ยชื่นชม ยิ่งไม่คิดจะจงใจลดแรงยามออกหมัดเพียงแค่เพราะซุนฉวีและเด็กชายตัวปลอมที่มาจากถนนอวี้ฮู่คือแม่นางน้อย
สรุปก็คือเฉินผิงอันต้องการให้เด็กๆ ทุกคนจำหลักการหนึ่งให้ขึ้นใจ อยู่ต่อหน้าหมัด ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวต้องเป็นศัตรูกับตัวเองก่อน
เรียนวิชาหมัดต้องเรียนรู้การเป็นคนให้ได้ก่อน ผู้ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีศักดิ์เป็นอาจารย์ ก็ต้องสอนการเป็นคนก่อน สอนการเป็นคนไม่ใช่แค่เอาแต่พล่ามหลักการเลื่อนลอย ต่อให้เป็นครูในโรงเรียนหมู่บ้านชนบท แต่หากเจอคนรวยแล้วก้มหัวค้อมเอวยิ้มประจบ เจอเด็กที่ยากจนกลับตีหน้าเย็นชา หัวเราะเย้ยหยันใส่ พวกเด็กๆ ที่มองเห็นย่อมจดจำไว้ในใจ สุดท้ายก็เท่ากับทำลายคำสั่งสอนของอริยะปราชญ์บนหน้าหนังสือที่มีนับร้อยนับพันประโยค
ในหนังสือนอกหนังสือล้วนมีหลักการเหตุผล ทุกคนล้วนเป็นอาจารย์ของผู้อื่นได้
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก
ตามกฎที่ตั้งไว้ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเด็กๆ จะถามคำถามแล้ว
สวี่กงเด็กจากตรอกมู่เหมิงถามขึ้นมาก่อนว่า “อาจารย์เฉิน เดินหมัดเป็นเส้นเดียวต้องเร็วที่สุดอย่างแน่นอน หากจะบอกว่าฝึกเดินนิ่งยืนนิ่งก็เพื่อให้เส้นเอ็นและกระดูกยืดหยุ่นแข็งแกร่ง ช่วยหล่อหลอมเรือนกาย แต่เหตุใดถึงยังต้องมีกระบวนท่าหมัดมากมายขนาดนั้นด้วยล่ะ?”
เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งขึ้น ปล่อยหมัดออกไปฉับพลัน แล้วก็พลันหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ “สวี่กง ความหมายของเจ้าก็คือเดินหมัดเป็นแนวเส้นตรงจะสามารถสัมผัสศัตรูได้เร็วที่สุด ใช่หรือไม่?”
สวี่กงเริ่มสงสัยตัวเองขึ้นมานิดๆ แล้ว
เจียงอวิ๋นหัวเราะร่า “หมัดเดียวก็ล้มคว่ำ”
ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใครกันที่ไม่รู้ว่าอิ่นกวานหนุ่ม ‘รักหยกถนอมบุปผา’ เป็นที่สุด ไม่อย่างนั้นจะมีฉายาหมัดเดียวก็ล้มคว่ำเถ้าแก่รองได้หรือ?
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดหลิวป๋ายแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างถึงเป็นบุปผาที่ถูกขยี้อย่างอำมหิต แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะผู้ฝึกกระบี่หญิงคนนั้นไม่งดงามเท่าอวี้เจวี้ยนฟู
แต่จู่ๆ เจียงอวิ๋นก็นึกถึงภาพที่อวี้เจวี้ยนฟูถูกกดหัวเข้ากับกำแพงขึ้นมา แล้วเขาก็ทอดถอนใจหนึ่งที รู้สึกว่าบางทีตนอาจจะใส่ร้ายเถ้าแก่รองเข้าให้แล้ว
สวี่กงมีสีหน้าตื่นตระหนก เขาไม่ได้หมายความเช่นนี้เสียหน่อย ให้ตายก็ไม่กล้าไม่เคารพอาจารย์เฉิน ไม่กล้า แล้วก็ไม่ยินดีด้วย
ในสายตาของสวี่กง ภาพลักษณ์ของอาจารย์เฉินไม่ต่างจากเทพองค์หนึ่ง ไม่เคยมีตำหนิหรือข้อบกพร่องใดๆ เด็กชายเคยคุยเล่นกับสหายสนิทสองคนเป็นการส่วนตัว ในถ้อยคำที่พูดถึงเฉินผิงอันล้วนมีแต่ความเคารพเลื่อมใส ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่กวอจู๋จิ่วเป็นนักเล่านิทาน ก็มีพวกเขาสามคนนี่แหละที่เชื่ออย่างไม่คลางแคลงใจมากที่สุด
สวี่กงที่มีชาติกำเนิดจากตรอกมู่เหมิงรู้ดีว่าตนไม่ใช่ลูกหลานตระกูลใหญ่อย่างพวกเจียงอวิ๋น ในเมื่อไม่มีพรสวรรค์และชาติกำเนิดอย่างเจียงอวิ๋น ดังนั้นเขากับสหายอย่างจางผาน ถังชวี่สามคนจึงมักจะแอบมาฝึกยืนนิ่งเดินนิ่งตอนกลางคืนกันบ่อยๆ และส่วนใหญ่ก็มักจะมาเจอกับเด็กชายตัวปลอมอย่างหยวนจ้าวฮว่าเสมอ เพียงแต่ว่าอะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี เด็กๆ พวกนี้เอาแต่ตรากตรำฝึกฝนจนเกือบจะทำร้ายร่างกายและพลังชีวิตตัวเอง
เฉินผิงอันค้างอยู่ในท่าปล่อยหมัดตลอดเวลา เขายกมือซ้ายขึ้นมาเพิ่ม ใช้แขนขวาที่กำเป็นหมัดแทนเส้นทางสายหนึ่ง แล้วเริ่มใช้มือซ้ายชี้ไปโดยมีจุดเริ่มต้นจากหมัดขวา ขยับมาที่ข้อมือ แขนช่วงล่าง หัวไหล่ ไปจนถึงกระดูกสันหลัง บั้นเอว ระหว่างที่ชี้ก็บอกชื่อช่องโพรงแต่ละแห่งไปด้วย อธิบายถึง ‘เส้นทาง’ การโคจรของลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ยามที่ปล่อยหมัดนี้ออกไปเป็นเส้นตรงอย่างละเอียด เส้นเอ็นทุกเส้น กระดูกทุกชิ้น การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของกล้ามเนื้อทุกก้อน ล้วนบอกเล่าให้พวกเด็กๆ ฟังทั้งหมดไม่มีปล่อยผ่าน ระหว่างนี้ก็คอยกำมือแบมือ แยกเอาแต่ละกระบวนท่าซึ่งมีท่าศอกกระทุ้ง ศอกงัด ชนบ่าเป็นหนึ่งในนั้นออกมาอธิบายทีละท่า บอกเล่าถึงความมหัศจรรย์ของพวกมัน ควรจะออกแรงอย่างไร ทำไมต้องออกแรง เป็นการอธิบายอย่างละเอียดที่แม้ความหมายจะลึกซึ้งแต่ใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย
เฉินผิงอันเก็บหมัดมาแล้วก็เอาสองมือค้ำยันไว้บนหัวเข่า ยิ้มเอ่ย “ดังนั้นถึงได้บอกว่า กระบวนท่าหมัดอยู่เบื้องล่าง ปณิธานหมัดอยู่ตรงกลาง วิชาหมัดอยู่บนฟ้า”
เจียงอวิ๋นขมวดคิ้ว ไม่เอ่ยขัดคออย่างที่หาได้ยาก “กระบวนท่าหมัดอยู่ลำดับล่างสุดรึ? แต่ข้ารู้สึกว่าโครงหมัดล้วนมาจากกระบวนท่าหมัดนะ ต้องสำคัญมากสิ”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ยกหมัดขึ้น บิดหมุนข้อมือเปลี่ยนหมัดเป็นฝ่ามือ ฝ่ามืออยู่ห่างพื้นมาแค่ชุ่นกว่า แต่เพียงชั่วพริบตาก็ตบลงบนพื้นของสนามประลองยุทธอย่างรวดเร็ว
แผ่นดินสั่นสะเทือน ร่างของเด็กทุกคนเด้งขึ้นลอยสูงจากพื้นแทบจะเวลาเดียวกัน ทว่าระดับความสูงกลับต่างกันไป แต่ละคนร่างเอียงกะเท่เร่
จากนั้นก็คล้ายจะถูกสยบเอาไว้จึงร่วงตึงลงบนพื้น แต่ละคนหายใจไม่คล่องคอ รู้สึกเพียงว่าหายใจไม่ออก กระดูกสันหลังเริ่มงองุ้ม ไม่ว่าใครก็ไม่อาจยืดเอวตั้งตรงได้
“กระบวนท่าหมัดอยู่ด้านล่าง หากพูดถึงแค่ตำแหน่ง ลำดับขั้นตอนบางอย่างก็ไม่ได้บอกว่าไม่สำคัญ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ วิชาหมัดทุกอย่างล้วนเริ่มมาจากจุดต่ำ โครงหมัดแต่ละชั้นทับซ้อนจนสูง สุดท้ายถึงได้ทำให้วิชาหมัดของพวกเราสูงส่งอยู่บนฟ้า”
เฉินผิงอันเก็บปณิธานวิชาหมัดที่แท้จริงไร้รูปลักษณ์นั้นกลับมา เด็กทุกคนรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกทันใด เฉินผิงอันเอ่ยกับหยวนจ้าวฮว่าและจางผานว่า “เรียนวิชาหมัดต้องตั้งใจตลอดเวลา ระวังในทุกก้าวย่าง นี่ก็คือคำว่าอาจารย์พาเข้าประตู ลูกศิษย์ต้องคอยระวังที่กล่าวถึงในสัจธรรมหมัด หยวนจ้าวฮว่า จางผาน เมื่อครู่นี้พวกเจ้าสองคนทำได้ไม่เลว เห็นได้ชัดว่าตอนที่พักก็ตั้งใจฝึกท่ายืนนิ่งเช่นกัน แม้ว่าจะลอยพ้นจากพื้นมาไม่ต่ำ แต่ท่านั่งมั่นคงที่สุด ส่วนเจียงอวิ๋นที่แม้จะลอยพ้นเหนือพื้นมาต่ำสุด ทว่าท่านั่งกลับหละหลวม”
เจียงอวิ๋นกลอกตามองบน ข้าผู้อาวุโสเคยชินกับการพูดจาเหน็บแนมของใต้เท้าอิ่นกวานชาติสุนัขมานานแล้ว
จางผานที่นิสัยขี้อายมีสีหน้าตื่นเต้น
เด็กชายตัวปลอมมีสีหน้าแน่วแน่ เม้มปากแน่น หลังจากได้เรียนวิชาหมัด แม่นางน้อยก็เปลี่ยนไปเยอะมาก เมื่อหลายปีก่อนตอนอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ครั้งแรกที่นางได้พบกับเถ้าแก่รองซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เป็นอิ่นกวาน แม่นางน้อยที่เป็นหัวโจกของพวกเด็กๆ คนนี้ อันที่จริงนิสัยเปิดกว้างร่าเริงกว่านี้มาก
เฉินผิงอันกวาดตามองทุกคน ร่างโน้มเอียงไปด้านหน้าเล็กน้อย เอ่ยพูดเนิบช้ากับทุกคนว่า “เรื่องของการเรียนหมัด ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ออกหมัดอยู่บนลานฝึกยุทธเท่านั้น ลมหายใจ ฝีเท้า อาหารการกิน บางครั้งที่เห็นนกบิน แรกเริ่มพวกเจ้าอาจจะรู้สึกว่าเหนื่อยมาก แต่เมื่อเคยชินก็จะกลายเป็นธรรมชาติ ฟ้าดินเล็กในร่างกายมนุษย์มีสมบัติซุกซ่อนไว้นับไม่ถ้วน พวกมันล้วนเป็นของพวกเจ้า นอกจากวันใดจำเป็นต้องตัดสินเป็นตายกับคนอื่น ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครแย่งชิงไปได้”
เฉินผิงอันหรี่ตาลง “ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็มาแล้ว เมื่อหมัดของพวกเจ้าสูงแล้ว หากต้องตัดสินใจออกหมัด ต้องแบ่งแพ้ชนะเป็นตายกับคนอื่นอย่างเปิดเผย ควรจะทำอย่างไร?”
เจียงอวิ๋นเอ่ยเสียงดัง “ต่อยหมัดเดียวให้มันล้มคว่ำไปเลย!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เจ้ายังไม่แล้วไม่เลิกใช่ไหม?”
เจียงอวิ๋นยกสองแขนกอดอก พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ใต้เท้าอิ่นกวาน ครั้งนี้ข้าไม่ได้พูดเล่นหรอกนะ ผู้ฝึกยุทธออกหมัดก็ต้องมีมาดที่ว่าข้าผู้อาวุโสคืออันดับหนึ่งในใต้หล้า ถึงอย่างไรขอบเขตวิถีวรยุทธที่ข้าแสวงหาก็คือหมัดของข้ายังไม่ทันออก คนที่เป็นศัตรูกับข้าก็ตกใจเกือบตายไปก่อนแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ได้สิ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าสอนเจ้าเอง ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ ทำให้ข้านึกถึงการถามหมัดครั้งหนึ่งขึ้นมาได้จริงๆ ตอนนั้นข้าใช้ขอบเขตหกรับมือกับขอบเขตสิบ ตอนนี้เจ้าก็ใช้ขอบเขตสามรับมือกับขอบเขตเจ็ดของข้า ห่างกันสี่ขอบเขตเหมือนกัน แล้วอย่าหาว่าข้ารังแกเจ้าล่ะ”
เจียงอวิ๋นลุกขึ้นยืนทันใด
เฉินผิงอันชี้นิ้วไปยังกำแพงแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับลานประลองยุทธ “เจ้าไปรอที่มุมกำแพงตรงนั้นก่อน”
เจียงอวิ๋นก้าวอาดๆ เดินจากไป อันที่จริงตอนที่หันหลังให้กับทุกคน เด็กชายกำลังแยกเขี้ยว นึกอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ ทว่าก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าแพ้คนไม่แพ้ขบวน แพ้หมัดแต่ไม่อาจเสียหน้า
เฉินผิงอันเดินไปอีกมุมหนึ่งของลานประลองยุทธ แล้วจู่ๆ ก็พลันเปลี่ยนใจ “ทุกคนไปยืนตรงนั้นกันให้หมด ยืนเรียงกันเป็นแถว ห้ามเอนหลังพิงพนัง ขยับออกห่างจากผนังมาสามก้าว”
ชีวิตต่อจากนี้ของเด็กๆ เหล่านี้ไม่มีทางที่จะได้เจอแค่ศัตรูที่ขอบเขตเท่าเทียมกันหรือสูงกว่าแค่หนึ่งถึงสองขอบเขตตามลำดับขั้นตอนเท่านั้น
ตนก็ดี ป๋ายหมัวมัวก็ช่าง ล้วนกดขอบเขตสอนวิชาหมัดช่วยขัดเกลาเส้นเอ็นและกระดูกของพวกเด็กๆ ไปทีละนิด ช่วยพวกเขาขัดเกลาวิถีวรยุทธไปทีละก้าว แต่บนเส้นทางของการฝึกตน ไม่มีเรื่องดีแบบนี้ ไม่มีใครยินดีเป็นหินลับมีดของใคร ส่วนใหญ่มีแต่คิดจะเหยียบหินรองฝ่าเท้าเดินขึ้นฟ้า ขึ้นสู่ยอดเขาไปทีละก้าวเท่านั้น
การออกหมัดจากขอบเขตสามถึงขอบเขตเจ็ดขั้นสูงสุด สรุปแล้วจะมีบารมีอำนาจ มีท่าหมัดและจิตวิญญาณของการออกหมัดอย่างไร เฉินผิงอันเคยแสดงให้พวกเขาดูมาก่อนแล้ว
การออกหมัดของขอบเขตแปด ขอบเขตเก้าและขอบเขตสิบ ป๋ายหมัวมัวเองก็เคยสอนมาก่อน
เพียงแต่ว่าพวกเด็กๆ ซึ่งรวมถึงเจียงอวิ๋นต่างก็รู้สึกว่าป๋ายหมัวมัวที่ขอบเขตถดถอยจากสิบมายังเก้า แม้ตอนนี้จะขอบเขตสูงกว่า แต่หากพูดถึงแค่ ‘ความหมาย’ ที่พร่าเลือนของการออกหมัดนั้น ก็มักจะรู้สึกว่าอิ่นกวานหนุ่มทำให้คนเลื่อมใสได้มากกว่า
แค่ว่าการแสดงวรยุทธก่อนหน้านี้เป็นแค่การแสดงวรยุทธอย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ พวกเด็กๆ ได้แค่มองดูอยู่ด้านข้างเท่านั้น
วันนี้เฉินผิงอันต้องการให้พวกเด็กๆ ยืนอยู่ในมุมที่เป็นศัตรูของตนแล้วลองรับสัมผัสกับหมัดนั้นด้วยตัวเอง
ปีนั้นตอนที่อยู่อุตรกุรุทวีป ผู้อาวุโสกู้โย่วมาขัดขวางทางไป
เคยถามหมัดต่อตน
ออกหมัดอย่างไร้วี่แวว รับหมัดอย่างไม่ทันตั้งตัว หมัดของกู้โย่วพุ่งมาถึงกะทันหัน จนเฉินผิงอันในเวลานั้นแทบจะทำได้เพียงยืนเฉยรอรับความตาย
เฉินผิงอันหยุดเดินแล้วก็ทำจิตให้สงบรวบรวมสมาธิ อยู่ในสภาวะลืมตน เบื้องหน้าไร้ผู้ใด
เจียงอวิ๋นที่ยืนคุมเชิงอยู่กับเฉินผิงอันไกลๆ มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นบนหน้าผาก เอ่ยเตือนทุกคนตามจิตใต้สำนึกว่า “พวกเราต้องกัดฟันยืนให้มั่นคง ใครก็ห้ามถอยเด็ดขาด ใครก็อย่าเอาหลังแนบติดผนัง ต่อให้ตกใจจนฉี่ราดกางเกงก็ต้องยืนนิ่งไม่ขยับ!”
ซุนฉวีแม่นางน้อยจากตรอกอวี้ฮู่พูดเสียงสั่น “แค่ตอนนี้ข้าก็กลัวแล้ว”
เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนออกหมัด
สำหรับพวกเด็กๆ ที่ยืนอยู่ใต้กำแพงแล้ว แบบนี้ยิ่งทรมานมากกว่า ในเมื่อไม่ช้าก็เร็วต้องโดนแทง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้โดนแทงให้เร็วหน่อย ถึงอย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้อีกฝ่ายถือมีดเอื่อยเฉื่อยคอยข่มขู่กัน
อาเหลียงเอ่ย “กวอจู๋จิ่ว อาจารย์ของเจ้ากำลังสอนวิชาหมัด อันที่จริงตัวเขาเองก็กำลังฝึกวิชาหมัด แล้วถือโอกาสฝึกฝนจิตใจไปด้วย นี่เป็นความเคยชินที่ดี ทำพิธีกรรมในเปลือกหอย ไม่ใช่คำกล่าวที่เป็นเชิงลบเสมอไป”
ก่อนหน้านี้วิชาหมัดที่เฉินผิงอันเรียนมาค่อนข้างจะซับซ้อนหลากหลาย จำเป็นต้องอาศัยโอกาสนี้มาทบทวน ผสมผสานดูให้ดีสักครั้ง หรือไม่ก็ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น เพียงแค่มาสงบจิตสงบใจที่นี่เหมือนเวลาที่คนปกติต้องนอนหลับเพื่อพักผ่อน สอนหมัด ฝึกหมัด ฝึกจิตใจ การเดินทางมาเยือนคฤหาสน์หลบหนาวทุกๆ สามวันห้าวัน มองดูเหมือนทำเรื่องเดียว แต่แท้จริงแล้วกลับทำถึงสามเรื่อง
ช่วยสอนหมัดป้อนหมัดให้ตัวอ่อนผู้ฝึกยุทธของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลุ่มนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพยายามจะมอบเส้นทางการฝึกตนที่ค่อนข้างจะสงบมั่นคงให้กับเด็กๆ ทุกคน เดิมทีสำหรับอิ่นกวานท่านหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบทิศทางการดำเนินไปของสนามรบแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ชวนให้เสียสมาธิอย่างหนึ่ง แต่ถึงท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่าเขาไม่ได้เสียเปรียบอะไรเลย
กวอจู๋จิ่วปลดหีบไม้ไผ่มาวางลงข้างเท้านานแล้ว จากนั้นก็คอยเลียนแบบการออกหมัดของอาจารย์ตลอดเวลา ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้หยุดพัก พอได้ยินคำกล่าวของผู้อาวุโสอาเหลียงนางก็เก็บหมัดยืนนิ่ง เอ่ยว่า “อาจารย์มีความรู้มากมายขนาดนั้น ข้าจะเรียนรู้ให้ครบทุกอย่าง”
ป๋ายหมัวมัวยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงเบา “หมัดนี้ของท่านเขยปล่อยออกไป คาดว่าคงมีเด็กไม่น้อยที่ขวัญกระเจิง”
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “ได้รู้ว่าหมัดสูงอยู่ตรงไหนอย่างแท้จริง ถือเป็นเรื่องนี้ดี”
ตอนนั้นในฐานะบรรพจารย์ของวิชาหมัดเขย่าขุนเขา ผู้อาวุโสกู้โย่วเห็นว่าผู้ฝึกตนเต็มตัวที่มาจากต่างทวีปอย่างตนมีพื้นฐานวิถีวรยุทธอยู่บนวิชาหมัดเขย่าขุนเขาพอดี กู้โย่วจึงใช้ขอบเขตสิบปล่อยหมัดขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด
เฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว รอบด้านเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง
เดินไปข้างหน้าด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าว เพียงชั่วพริบตาก็พุ่งไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ตลอดทั้งลานประลองยุทธเริ่มเกิดแรงสั่นสะเทือนกระเพื่อมเป็นระลอก สี่ด้านแปดทิศล้วนมีแต่ปณิธานหมัดที่เปี่ยมล้น
เด็กๆ ที่หวังจะใช้ท่ายืนนิ่งมาต้านทานความหวาดกลัวในหัวใจอย่างพวกซุนฉวี พอลานประลองยุทธสั่นสะเทือนก็กลับคืนไปสู่รูปลักษณ์เดิมทันที ท่ายืนนิ่งไม่มั่นคง จิตใจก็ยิ่งวุ่นวาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นกลัว
เจียงอวิ๋นสัมผัสได้ถึงปณิธานหมัดที่มืดฟ้ามัวดินขุมนั้นแล้วก็ร้องตวาดเบาๆ หนึ่งที กระทืบเท้าออกไปหนักๆ ตั้งท่าหมัด ใช้ปณิธานหมัดบนร่างของตนต้านทานปณิธานหมัดแห่งฟ้าดิน เห็นว่าซุนฉวีที่อยู่ข้างๆ กำลังจะล้มลงบนพื้น เจียงอวิ๋นก็กัดฟัน ขยับเท้าไปด้านข้าง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่กระนั้นก็ยังไปยืนบังอยู่เบื้องหน้าซุนฉวี เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแม่นางน้อย ตนที่เป็นบุรุษก็ควรจะปกป้อง
สวี่กงและหยวนจ้าวฮว่าตะโกนขึ้นแทบจะพร้อมกัน “ท่าเดินนิ่งหกก้าว!”
เด็กทุกคนพลันเกิดแรงบันดาลใจ ไม่เพียงแต่ไม่ถอยกลับยังรุดหน้าไปในเวลาเดียวกัน หมายจะใช้ท่าเดินนิ่งต้านทานท่าเดินนิ่ง
พายุลมกรดกระโชกพัดผ่านใบหน้า ปณิธานหมัดกดทับลงบนร่าง
ไหนเลยจะสำเร็จได้เพียงแค่เพราะพวกเขาคิดจะถอยเพื่อรุก อย่างมากสุดเดินออกไปได้แค่สองก้าว ทุกคนก็เซถอยกลับไปด้านหลังแล้ว
ซุนฉวีผู้นั้นไม่รู้ว่าเกิดความกล้ามาจากไหน นางถึงขั้นเดินอ้อมมาด้านหน้าเจียงอวิ๋น เลือกจะเผชิญกับหมัดนั้นด้วยตัวเอง
เวลาเพียงชั่วพริบตาผ่านไป
ทุกคนรวมไปถึงเจียงอวิ๋นต่างก็หลังแนบติดกำแพง แต่ละคนใบหน้าซีดขาว เหงื่อไหลโชกเปียกเต็มแผ่นหลัง ยังมีเด็กๆ บางคนที่เรือนกายอ่อนแอที่ทรุดแนบกำแพงลงไปนั่งบนพื้นอยู่นานแล้ว
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงใจกลางของลานประลองยุทธ เอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างกำเป็นหมัดวางแนบติดหน้าท้อง พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาช้าๆ
เขารีบหันหน้าไปทางอื่น เช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากจมูก ด้วยสภาพร่างกายในเวลานี้ ปล่อยหมัดที่รูปลักษณ์คล้ายจิตวิญญาณคล้ายเช่นนี้ออกไป ต่อให้สุดท้ายจะปล่อยไปแค่ครึ่งเดียวก็ยังไม่ใช่เรื่องผ่อนคลายอยู่ดี
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “ทุกคนลุกขึ้นมาเถอะ การฝึกหมัดวันนี้พอแค่นี้”
เด็กทุกคนยังไม่คืนสติ แต่ละคนท่าทางทึ่มทื่อ
เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่งก็พลันหัวเราะขึ้นมา “หมัดนี้ผ่านไป จำต้องพูดว่าสายตาในการเลือกเมล็ดพันธ์ผู้ฝึกยุทธของข้าไม่เลวเลยจริงๆ วันหน้าเมื่อใดที่พวกเจ้าออกไปท่องยุทธภพด้วยตัวเอง เจอกับผู้ฝึกยุทธรุ่นเดียวกันก็สามารถพูดได้ว่า คนที่สอนหมัดให้พวกเจ้าคือป๋ายเลี่ยนซวงผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ คนป้อนหมัดคือเฉินผิงอันแห่งใต้หล้าไพศาล คนที่คอยชมอยู่ด้านข้างก็คือมือกระบี่อาเหลียง”