ภาค 11 คุนหลุนกลาง กว่างเฉิงบูรพา บทที่ 1166 บทสุขและบทโศก

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

“ทราบไม่มากนัก” เสวี่ยชูฉิงตอบ “มีข้อมูลจำกัด ต่างเป็นท่านอาจารย์บอกข้าตอนยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่นางรู้สมควรมาจากอาจารย์ย่า ต่อจากจากบูรพาจารย์อีกที คนที่เกี่ยวข้องในตอนนั้นจากโลกไปเก็บหมดสิ้นแล้ว ข้าเพียงทราบว่าอาจเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นผลลัพธ์ของการต่อสู้กันระหว่างศาสนาพุทธกับสำนักเต๋าของเราก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ หากต้องพูดถึงต้นสายปลายเหตุ เกรงว่าจะมีแต่จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋กับจักรพรรดิโกวเฉินถึงจะพอทราบ”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินก็พยักหน้าเงียบๆ

ในหัวสมองของเขาปรากฎฝ่ามือขนาดมหึมาที่พุ่งใส่วังเทพก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่อีกครั้ง

“ท่านแม่ ท่านมีผังเหอถูครึ่งหนึ่ง สามารถเข้าไปตามหาคนในนพยมโลกได้หรือไม่” เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกตัวจึงถามต่อ

“ค่อนข้างลำบาก ถึงอย่างไรนพยมโลกก็ไม่เหมือนกับโลกมนุษย์ที่พวกเราอาศัยอยู่” เสวี่ยชูฉิงว่า “แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากว่าคนไม่ได้ร่วงหล่นเป็นมาร ระดับพลังฝึกปรือค่อนข้างต่ำ เช่นนั้นก็สามารถหาเบาะแสส่วนหนึ่งได้”

เยี่ยนจ้าวเกอเล่าเรื่องเฟิงอวิ๋นเซิง เสวี่ยชูฉิงพลันรู้สึกประหลาดใจ “ราชันพระราหูอยู่เหนือความคาดหมายของผู้คนจริงๆ”

จากนั้นสายตาที่มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอก็ซับซ้อนกว่าเดิม ไม่เจอกันหลายปี พอได้มารวมตัวกันครั้งนี้ บุตรชายใกล้จะมีแม้แต่สะใภ้แล้ว…

แต่นางก็สลัดความคิดนี้ทิ้งอย่างรวดเร็ว แสดงท่าทีจริงจังอีกครั้ง

“ราชันพระราหูไปอยู่ที่ใด ยากจะตามหาร่องรอย” เสวี่ยชูฉิงตาซ้ายเป็นประกายเล็กน้อย ผ่านไปสักพัก ค่อยพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ก่อนที่จะมีเบาะแสที่แท้จริงช่วยเหลือ ข้าไม่มีความสามารถ ที่นั่นอย่างไรก็เป็นนพยมโลก”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า ทราบว่าเกินความสามารถคนอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ยอมละทิ้งความเป็นไปได้ต่างๆ

เสวี่ยชูฉิงมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย

นางไม่รู้จักเฟิงอวิ๋นเซิงดีนัก แต่ทราบข่าวลือเกี่ยวกับราชันพระราหูเจี่ยนซุ่นหัวไม่น้อย เมื่อต้องวัดกำลังกับคนเช่นนั้น นางยากจะเอาใจช่วยเฟิงอวิ๋นเซิง

“กษัตริย์เร้นลับไม่ทราบจะออกฌานตอนไหน กษัตริย์ดินและอาจารย์ลุงเยว่ไม่ทราบว่าผู้ใดจะกลับโลกซ้อนโลกก่อน” เยี่ยนจ้าวเกอหันมากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เรื่องราวที่อยู่ไกลคิดไปก็เปล่าประโยชน์ พวกเราจัดการเรื่องตรงหน้าก่อนดีกว่า ข้าจะไปตรวจสอบตึกความลับฟ้า จากนั้นก็ไปยังเขตราตรีอุดร ทดลองตามหากษัตริย์ดาราดู ท่านพ่อร่วมทางกับท่านแม่ วางค่ายกลเส้นรุ้งจัตุรัสให้เรียบร้อย ค่ายกลที่ใหญ่ถึงเพียงนั้น ต่อให้จะวางได้อย่างเป็นอิสระ แต่ก็จำเป็นต้องใช้เวลาไม่น้อย พอดีพวกท่านอุตส่าห์ได้เจอกัน สามารถใช้เวลาร่วมกันได้แล้ว”

เยี่ยนตี๋กับเสวี่ยชูฉิงไม่ได้ตอบคำพูดหยอกล้อของเยี่ยนจ้าวเกอ

ตอนนี้พวกเขาได้เจอกันแล้ว เฟิงอวิ๋นเซิงกลับไม่ทราบไปอยู่ที่ใด

ถ้าปลอบประโลมในตอนนี้ แม้จะทำให้ความรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่กลับเพิ่มความเป็นห่วงมากกว่าเดิม

“สถานการณ์ไม่ค่อยสงบนัก พวกเราจัดการเรื่องส่วนรวมเสียก่อน เรื่องราวหลังจากนั้นค่อยๆ คุยกันได้ เจ้าขึ้นเหนือไปตัวคนเดียว ต้องระวังไว้ให้มาก” เสวี่ยชูฉิงกล่าวเสียงอ่อนโยน

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางพยักหน้า “ข้าจะระวังตัว”

เยี่ยนตี๋ยามนี้เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มราบเรียบ “นักพรตเทียนอี้ถูกฆ่า พวกเราถือโอกาสยึดเขตสุราลัยบูรพาไปด้วย แบบนี้จึงสอดคล้องกับชื่อบรรพตบูราสำนักเต๋าของเขากว่างเฉิงพอดี”

เขาเดิมทีมีนิสัยรุนแรงแข็งกร้าว ตอนนี้พอเจอเสวี่ยชูฉิง ความกังวลหายไปหมดสิ้น จึงยิ่งดุดันกว่าเดิม

“เช่นนี้ประเสริฐยิ่ง!” เยี่ยนจ้าวเกอปรบมือถอนใจชมเชย

แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากกษัตริย์ดินและกษัตริย์เร้นลับ แต่ว่าตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋เต็มไปด้วยความคึกคัก กลับฮึกเหิมกว่าเดิม

“ติดต่อกับกษัตริย์ดาราได้ก็ดี ติดต่อกับราชันพระอังคารได้ก็ดี สอดคล้องกับกลยุทธ์ทั้งสิ้น” เยี่ยนตี๋เอ่ย “การเพิ่มระดับของพวกเราเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องสำคัญเสมอมา จ้าวเกอเจ้าทำได้ดีในด้านนี้ ข้าไม่ต้องพูดมาก ข้าเพียงขอกล่าวสักประโยคเหมือนกับมารดาของเจ้า ต่อจากนี้เจ้าต้องระวังตัวให้ดี ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยก่อน”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หลักการนี้ข้าย่อมเข้าใจ”

ถ้าไม่ใช่เพราะได้วัตถุดิบมา จึงสร้างพิธีเจ็ดแก่นโคจรออกมาได้ทันกาล ทำให้พลังฝึกปรือของตัวเองกับเยี่ยนตี๋ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาแค่ไม่กี่ปี การต่อสู้ในวันนี้อาจมีผลลัพธ์สองแบบ

สำหรับพวกประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิงเพียงหวังสังหารเสวี่ยชูฉิงไปอย่างเงียบๆ โดยที่เยี่ยนจ้าวเกอสองพ่อลูกไม่ล่วงรู้ เป็นเพราะว่าพ่อลูกตระกูลเยี่ยนให้ความสนใจกับทิศทางของเสวี่ยชูฉิง ดังนั้นพวกหวังเจิ้งเฉิงได้แต่เคลื่อนไหวในที่ลับอย่างเดียว จึงยากจะกระทำได้

คิดตามหาเสวี่ยชูฉิงไม่ง่าย จำเป็นต้องก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวไม่น้อย ดังนั้นหวังเจิ้งเฉิงจึงต้องติดต่อผู้ช่วยมาดึงดูดความสนใจของพวกเยี่ยนจ้าวเกอ

สำหรับเขาแล้ว วิธีที่ดีกว่าบางทีอาจเป็นการรวบรวมผู้คนไปล้อมตึกความลับฟ้า แบบนี้จะดึงดูดความสนใจของพวกเยี่ยนตี๋และเนี่ยจิงเสินให้ไปอยู่ที่เขตมหานภากลางได้ ต่างฝ่ายคุมเชิงกันหรืออาจสู้กันที่เขตมหานภากลาง

ใช้การกลุ้มรุมตึกความลับฟ้าเป็นภาพลวง ทำให้คนอื่นคิดว่าเรื่องในครั้งนี้เป็นผากิเลนไม่พอใจที่ตึกความลับฟ้าสร้างสภาวะให้แก่เมืองนครหยก เพื่ออำพรางนักพรตเทียนอี้ซึ่งแท้จริงแล้วกำลังไล่ล่าเสวี่ยชูฉิง

แต่น่าเสียดายที่ถ้าหากไม่ไปเอาลายมือแห่งแผ่นดินในทะเลหวงเจีย จักรพรรดิเอกภพกำเนิดก็ไม่มีทางลงมือ

เขากับเยี่ยนจ้าวเกอสองพ่อลูกมีความแค้นไม่แปลกปลอม แต่เทียบกับความแค้นแล้ว เขาให้ความสำคัญกับลายมือแห่งแผ่นดินมากกว่า

ถ้าเสวี่ยชูฉิงตกตาย แต่ไม่ได้ลายมือแห่งแผ่นดิน จักรพรรดิเอกภพกำเนิดยังรู้สึกไม่มีความหมาย

ในระดับหนึ่งแล้ว ความแค้นระหว่างเขากับเยี่ยนจ้าวเกอยังไม่ถึงขั้นที่ต่อให้ต้องทำร้ายตัวเองก็ต้องการเผชิญหน้า

สิ่งที่จักรพรรดิเอกภพหวังเป็นอันดับแรกก็คือผลประโยชน์ จากนั้นจึงค่อยทำร้ายคน

ด้วยเหตุนี้ หวังเจิ้งเฉิงจึงได้แต่ยอมถอย ต่างฝ่ายเคลื่อนไหว ขัดขวางพวกเยี่ยนจ้าวเกอกันเอง

แบบนี้จะถูกเยี่ยนจ้าวเกอมองเลศนัยออก ล่วงรู้เป้าหมายที่แท้จริงของหวังเจิ้งเฉิงได้ง่าย

มาตรว่าจะเป็นเช่นนี้ หวังเจิ้งเฉิงจึงวางสถานการณ์ไว้ครบทุกด้าน

จักรพรรดินีและจักรพรรดิแพรอาภรณ์ขาวไม่อาจมา จักรพรรดิไร้จำกัดรักษาความเป็นกลาง จักรพรรดิเอกภพไปทะเลหวงเจีย จักรพรรดิแพรอาภรณ์ดำไปตึกความลับฟ้า หวังเจิ้งเฉิงนำรูปภูผาธาราโบ่วกี้มาคอยท่า ยังมีประมุขทิศบนเฉินเฉียนหัวที่อาจลงมือได้ตลอดเวลา

ถึงขั้นที่ให้จัดคนขัดขวางการนำกระบี่เปิดกำเนิดออกมาของเขานครหยกไว้

กล่าวได้ว่า ถ้าหากเยี่ยนจ้าวเกอยังอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปด เยี่ยนตี๋ยังอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า แผนการของหวังเจิ้งเฉิงจะประสบความสำเร็จ

อย่างน้อยก็มีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า

เยี่ยนจ้าวเกอสองพ่อลูกมีความรวดเร็วในการเพิ่มพลังฝึกปรือสูง อยู่ในการคำนวณของหวังเจิ้งเฉิงเช่นกัน แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนจ้าวเกอถึงกับทำให้พิธีเจ็ดแก่นโคจรที่สาบสูญไปนานแล้วปรากฏขึ้นมาได้อีกครั้ง

นี่ทำให้ความเร็วในการเพิ่มพลังฝึกปรือของพวกเยี่ยนจ้าวเกอเอยู่หนือกว่าการคาดการณ์ของทุกคน

ครอบครัวของเยี่ยนจ้าวเกอมาอยู่กันพร้อมหน้า ได้พบเจอกันอีกครั้งหลังจากลากันเนิ่นนาน เกิดความปีติยินดี บรรยากาศพึงพอใจ

หวังเจิ้งเฉิง จักรพรรดิแพรอาภรณ์ดำ จักรพรรดิเอกภพ และเฉินเฉียนหัวล้วนเจอละครโศก

“ตอนนี้เสี่ยวอ้ายอยู่ที่เมืองหยวนโจวในเขตมหานภากลาง ถ้านางทราบว่าท่านกลับมาจะต้องยินดีแน่” เยี่ยนจ้าวเกอพูดกับเสวี่ยชูฉิงด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้แล้ว น้าซูยังอยู่บนโลกลอยน้ำ คิดถึงท่านมาโดยตลอด”

‘น้าซู’ ที่เยี่ยนจ้าวเกอพูดถือ ก็คือซูอวิ๋น บ่าวรับใช้ในตอนที่เสวี่ยชูฉิงอยู่บนโลกลอยน้ำ

“รอหลังจากสถานการณ์ที่นี่ของพวกเรามั่นคงแล้ว ย่อมไปหาซูเอ๋อร์ นางเป็นเด็กน้อยที่มากน้ำใจนางหนึ่ง หลายปีมานี้นางคงกังวลไม่น้อย” เสวี่ยชูฉิงแววตาอ่อนโยน “ในเมื่อเสี่ยวอ้ายอยู่บนโลกซ้อนโลก เช่นนั้นก็เจอกันได้สะดวก”

………………..