อาเหลียงพูดเรื่องในอดีตกับป๋ายเลี่ยนซวงอีกหลายเรื่อง
ป๋ายหมัวมัวไม่ได้ตอบรับอะไร เพียงแค่ฟังเงียบๆ
เรื่องราวและบุคคลมากมายที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่รู้จริงๆ เพราะเมื่อก่อนไม่เคยเก็บมาใส่ใจ อาจเป็นเพราะเส้นผมบังภูเขา
เฉินผิงอันพบว่าหนิงเหยาเองก็ฟังอย่างตั้งใจ เขารู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย
อาเหลียงพลันถามว่า “เฉินผิงอัน ที่บ้านเกิดของเจ้าไม่มีสตรีวัยเดียวกันที่เจ้าคิดถึงหรือชื่นชอบบ้างเลยหรือ?”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ต้องคิด “ไม่มี อายุน้อยเกินไป ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ อีกอย่างข้าไปเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกรตั้งแต่ยังเด็ก ตามกฎเก่าแก่ของบ้านเกิด สตรีไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้เตาเผา”
อาเหลียงเอ่ย “ไม่ถูกสิ ฟังหลี่ไหวเล่าว่าตรอกหนีผิงบ้านเกิดของเจ้า บ้านข้างกันมีแม่นางน้อยอยู่คนหนึ่ง หน้าตางามพิสุทธิ์ นี่เรียกว่าเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ตามในตำราเชียวนะ ความสัมพันธ์จะแย่ได้หรือ? หลี่ไหวบอกว่าเจ้าตื่นแต่เช้าทุกวันก็เพื่อไปช่วยหาบน้ำให้นาง ยังบอกด้วยว่ากำแพงบ้านเจ้าถูกขุดเป็นรู ขาดก็แค่ไม่ได้เจาะเป็นหน้าต่างเท่านั้น”
ทุกวันกับท่านปู่เจ้าสิ
เฉินผิงอันด่าอยู่ในใจ แต่ปากกลับเอ่ยว่า “หลิวเสี้ยนหยางชอบนาง ข้าไม่ได้ชอบ อีกอย่างตอนที่หลี่ไหวพบเจอกับท่านอาเหลียง เขาก็ยังไม่เคยไปตรอกหนีผิงด้วยซ้ำ บ้านเขาหลี่ไหวเวลาตักน้ำไม่เคยไปเอาจากบ่อโซ่เหล็ก เพราะอยู่ไกลเกินไป กำแพงสองด้านของบ้านข้า ฝั่งหนึ่งไม่มีคนอยู่อาศัย อีกฝั่งหนึ่งติดกับบ้านของซ่งจี๋ซิน หลี่ไหวพูดจาเหลวไหล ใครเชื่อคนนั้นก็โง่แล้ว”
หนิงเหยาเอ่ย “ข้าเคยเจอนาง หน้าตาดีมาก แค่ตัวไม่สูง เวลามองลานบ้านของเฉินผิงอันจากบ้านตัวเอง หากนางไม่เขย่งเท้า ข้าก็เห็นแค่ศีรษะของนางครึ่งหนึ่งเท่านั้น”
อาเหลียงลูบคลำปลายคาง เห็นได้ชัดว่ายังอยากจะคุยต่อ แต่เฉินผิงอันกลับยกถ้วยเหล้าขึ้นแล้วกระดกดื่มจนหมด “ดื่มเหล้าหมดแล้ว ข้ากินข้าวก่อนล่ะ”
อาหารมื้อนี้ส่วนใหญ่เป็นอาเหลียงที่คุยโวถึงเรื่องราวในยุทธภพของตนเมื่อครั้งอดีต ได้เจอกับเทพภูเขาเซียนวารี วัตถุหยินภูตผีที่น่าสนใจแบบใดบ้าง บอกว่าเขาเคยเจอภูตบัณฑิตที่ ‘กินตัวอักษรแล้วอ้วน’ คนหนึ่ง อีกฝ่ายกินหนังสือเก่งมาก กินหนังสือเข้าไปแล้วยังทำให้ตบะเพิ่มพูนขึ้นได้จริงๆ ด้วย เขายังโชคดีจับผลัดจับผลูได้ไปร่วมงานเลี้ยงในภูเขาที่มีชื่อไพเราะว่างานเลี้ยงเทพร้อยบุปผา ได้เจอกับแม่นางน้อยคนหนึ่งที่แอบร้องไห้ ที่แท้ก็คือภูตกล้วยน้อย นางกำลังตำหนิบัณฑิตในใต้หล้า บอกว่าบทกวีในโลกเขียนถึงกล้วยน้อยมาก ทำให้ขอบเขตของนางไม่สูง ถูกพวกพี่สาวดูแคลน อาเหลียงแค้นเคืองต่อสิ่งไม่เป็นธรมจึงร่วมด่าบัณฑิตไปกับแม่นางน้อย บอกว่าพวกเขาไม่ใช่คน จากนั้นแรงบันดาลใจในการแต่งบทกวีของอาเหลียงก็พรั่งพรู จึงแต่งกลอนไปได้หลายบท เขาเขียนไว้บนใบไม้ คิดจะมอบมันให้กับแม่นางน้อย ผลกลับกลายเป็นว่าแม่นางน้อยไม่รับใบไม้สักใบหรือบทกลอนสักบทก็วิ่งหนีหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ร้องไห้หนักกว่าเก่า อาเหลียงยังบอกว่าตนเคยร่วมชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำร่วมกับพวกโครงกระดูกในสุสานรกร้างบนภูเขา เขาบอกว่าตนรู้จักเทพธิดาคนหนึ่งในนั้น แต่กลับไม่มีใครยอมเชื่อเขา
ตอนอยู่บนสะพานเล็กในหมู่ชาวบ้านเคยพบสตรีบนภูเขาที่ชื่อเสียงเรื่องความเย็นชาเลื่องลือไปทั้งทวีป พอเห็นว่ารอบด้านไม่มีใคร นางก็ชายกระโปรงหมุนสะบัด น่ารักอย่างยิ่ง เขายังเคยเจอกับผีสาวปากร้ายบนทางเส้นเล็กในป่าเขาที่พืชหญ้ารกชัฏ ตกใจเกือบตาย แล้วก็เคยเจอกับแม่นางน้อยโดดเดี่ยวคนหนึ่งในสุสานผุพัง นางมึนๆ งงๆ พอเห็นเขาก็ร้องตะโกนเสียงดังว่าผีหลอกแล้ววิ่งไปวิ่งมาชนโน่นนี่ไปทั่ว เดี๋ยวก็ผลุบหายลงไปในดิน เดี๋ยวก็กระโดดขึ้นมาใหม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจขยับออกห่างหลุมศพแห่งนั้น อาเหลียงจึงได้แต่อธิบายกับแม่นางน้อยว่าตนเป็นผีที่ดี ภายหลังก่อนที่อาเหลียงจะจากมาได้พาแม่นางน้อยไปพักในรังเล็กๆ แห่งหนึ่ง พื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่สามารถซ่อนลมรวมน้ำ มองเห็นแสงแดดได้
กระทั่งพูดมาถึงตรงนี้ บุรุษที่สีหน้าสดชื่นมาตลอดถึงได้หุบยิ้ม กระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ “ภายหลังตอนผ่านไปทางนั้นอีกครั้ง ข้าไปหาแม่นางน้อย อยากรู้ว่านางเติบใหญ่แล้วหรือยัง แต่กลับไม่พบนาง พอถามถึงได้รู้ว่ามีเซียนซือที่ผ่านทางมาลงมือกำจัดปีศาจปราบมารโดยไม่ถามหาสาเหตุ จำได้ว่าตอนที่แม่นางน้อยเอ่ยลากับข้าอย่างอารมณ์ดี นางบอกกับข้าว่า ฮ่าๆ พวกเราเป็นผีนะ วันหน้าข้าก็ไม่ต้องกลัวผีอีกแล้ว”
อาเหลียงหยิบถั่วลิสงเมล็ดหนึ่งโยนเข้าปาก เคี้ยวช้าๆ อย่างละเอียด “หากข้าคิดให้มากสักหน่อย ต่อให้แค่นิดเดียว ยกตัวอย่างเช่นไม่คิดว่าภูตผีตัวน้อยๆ ที่มีตบะน้อยนิดแค่นั้น แล้วยังอาศัยอยู่ในป่ารกร้าง ใครเล่าจะสนใจ ทำไมจะต้องถูกข้าพาไปพักพิงอยู่แถวอาณาเขตของเทพขุนเขาสายน้ำด้วย? ย้ายที่อยู่ใหม่ ได้รับควันธูป ชีวิตสงบสุข แม่นางน้อยกลับกลายเป็นว่าจะไม่มีความสุขเหมือนเก่าอีก? เรื่องที่ไม่ควรคิดมาก ข้ากลับคิดมาก แต่เรื่องที่ควรคิดมาก ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนบนภูเขามักสนใจแต่มรรคา ข้ากลับไม่เคยคิดเยอะ ยิ่งหนึ่งในหมื่นมากมายที่อาจเกิดขึ้นบนโลก ข้าก็ยิ่งไม่เคยคิดมากเลย”
อาเหลียงพึมพำ “หลายปีผ่านไปแล้ว ข้าก็ยังอยากรู้ว่ายามที่แม่นางน้อยซึ่งไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ไม่มีที่พึ่งคนนั้นต้องจากโลกใบนี้ไปอย่างสิ้นเชิง นางจะยังจำมือกระบี่คนนั้นได้หรือไม่ นางจะยังอยากพูดอะไรกับเจ้าหมอนั่นหรือเปล่า? หากอยากพูด นางจะพูดอะไร? แต่ข้ากลับไม่มีทางได้รู้ตลอดกาล”
อาเหลียงพูดมาถึงตรงนี้ก็มองเฉินผิงอัน “ตอนที่ข้าพูดถึงหลักการผายลมสุนัขที่ว่าเรื่องที่ไปยุ่งด้วยไม่ได้ก็อย่าไปยุ่ง แล้วเจ้าไม่ฟัง ดีมาก นี่ต่างหากถึงจะเป็นเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนของถ้ำสวรรค์หลีจูที่ข้ารู้จักคนนั้น สิ่งที่เห็นอยู่ในสายตาล้วนเป็นเรื่องใหญ่ จะไม่รู้สึกว่าอาเหลียงเป็นเซียนกระบี่แล้ว เหตุใดถึงได้ปล่อยวางเรื่องเล็กที่ไม่มีค่าพอให้นึกถึงนี้ไม่ลง แล้วยังจะยกมาเล่าบนโต๊ะเหล้าอีก”
อาเหลียงยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มจนหมด
การจากลาไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตายของผู้แข็งแกร่ง ล้วนให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่สง่างาม แต่ความทุกข์ความสุขการพบการพรากของผู้อ่อนแอ กลับเงียบเชียบไร้สำเนียง ได้ยินไม่ชัดด้วยซ้ำว่ามีเสียงสะอื้นไห้หรือไม่
หนิงเหยากับป๋ายหมัวมัวลุกขึ้นจากโต๊ะก่อน บอกว่าจะไปนั่งที่ศาลาบนหน้าผาสังหารมังกรด้วยกัน หนิงเหยาบอกให้เฉินผิงอันนั่งดื่มกับอาเหลียงอีกนิด เฉินผิงอันจึงบอกว่าเดี๋ยวเขาเป็นคนเก็บโต๊ะเอง
คนทั้งสองดื่มเหล้าหมด เฉินผิงอันก็ไปส่งอาเหลียงที่หน้าประตูใหญ่
เฉินผิงอันพลันนึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนอาเหลียงจะไม่เคยมีที่พักเป็นที่เป็นทางอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน
รู้แค่ว่าทุกครั้งที่อาเหลียงดื่มเหล้าเสร็จก็จะขี่กระบี่ไปตามเรือนพักส่วนตัวที่เซียนกระบี่ทั้งหลายทิ้งไว้ซึ่งว่างอยู่ แล้วก็เข้าพักง่ายๆ
อยู่บนหัวกำแพงเมือง เขาก็ทิ้งตัวลงนอนได้เหมือนกัน
อาเหลียงเอ่ย “ครึ่งปีต่อจากนี้เจ้าไม่สามารถลงจากหัวกำแพงเมืองไปเข่นฆ่าได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็จงวางแผนให้ตัวเองดีๆ บำรุงกระบี่ ฝึกวิชาหมัด หลอมสิ่งของ ล้วนทำให้เจ้ายุ่งได้ทั้งนั้น คฤหาสน์หลบร้อนมีโฉวเหมียวคอยบัญชาการณ์ ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานที่ต่อให้จะมีคนต่างถิ่นจากไปก็สามารถหาคนมาชดเชย รับตำแหน่งเดิมต่อได้ ที่เรือนชุนฟานยังมีพวกเยี่ยนหมิง ทั้งสองด้านนี้ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ ข้าแนะนำเจ้าว่าลองไปที่คุกของเฒ่าหูหนวกบ่อยๆ ว่างๆ ก็ลองไปรับสัมผัสกับการสยบขอบเขตของปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินดู น่าเสียดายที่ขอบเขตบินทะยานถูกตัดหัวไปแล้ว ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์จะดียิ่งกว่านี้ ข้าจะบอกกล่าวเฒ่าหูหนวกไว้ก่อน ช่วยจับตามองแทนเจ้า ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันแน่ วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของนกในกรงเจ้าเล่มนั้น และยังมีคอขวดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดล้วนสามารถอาศัยโอกาสนี้มาขัดเกลาดูได้”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็หยุดไป
อาเหลียงเอ่ย “ถ่วงเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว แล้วก็ไม่มีความจำเป็นให้ต้องถ่วงเวลา แค่ครึ่งปีก็มากพอให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจัดการหาทางหนีทีไล่ได้แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
อาเหลียงยิ้มกล่าว “ครึ่งปีนี้ มีข้าอยู่ด้วย”
อาเหลียงพลันเอ่ยขึ้นว่า “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเป็นคนมีคุณธรรมจริงๆ เวทกระบี่สูง นิสัยก็ดี หน้าตาเมตตาปราณี ตาโตคิ้วเข้ม หลังพยัคฆ์เอวหมีดำ นั่นต้องเรียกว่ารูปโฉมหล่อเหลา…”
เฉินผิงอันมึนงงไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดคำประจบของอาเหลียงถึงได้แข็งทื่อเช่นนี้ แล้วเฉินผิงอันก็ค้นว่าตัวเองมาอยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่
บริเวณใกล้กับกระท่อม ข้างกายหากไม่ใช่เซียนกระบี่ผู้อาวุโสก็เป็นเซียนกระบี่ใหญ่
หยวนจ้าวฮว่าเด็กชายตัวปลอมเคยร่ายรายชื่อเซียนกระบี่ใหญ่สิบท่านในใจเด็กๆ อย่างพวกนางให้เขาฟัง
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ต่งซานเกิง อาเหลียง ใต้เท้าอิ่นกวาน เฉินซี ฉีถิงจี้ จั่วโย่ว น่าหลันเซาเหว่ย เฒ่าหูหนวก ลู่จือ
เวลานี้จั่วโย่วศิษย์พี่ของเฉินผิงอันอยู่ที่ใบถงทวีปแล้ว เปลี่ยนมาเป็นอาเหลียงที่หวนกลับคืนมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่
ส่วนใต้เท้าอิ่นกวานก็ยังอยู่ เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากเซียวสวิ้นมาเป็นเฉินผิงอัน
วันนี้ไม่รู้ว่าทำไมทั้งสิบคนถึงมารวมตัวกันบนหัวกำแพงเมือง
เฉินซีเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเป็นฝ่ายหันมายิ้มบางๆ ให้อิ่นกวานหนุ่มก่อน เฉินผิงอันจึงกุมหมัดคารวะกลับคืน
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มถามว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ตรงนี้มีแค่เจ้าที่ไม่ใช่เซียนกระบี่แล้วล่ะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างจนใจ
น่าหลันเซาเหว่ยชำเลืองตามองแล้วหัวเราะร่า
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
อาเหลียงเอามือกอดคอเฒ่าหูหนวกกระซิบกระซาบพูดอะไรบางอย่าง เฒ่าหูหนวกก้มหัวค้อมเอว นิ้วมือลูบหนวด ชำเลืองตามองอิ่นกวานหนุ่มอยู่สองสามที จากนั้นก็พยักหน้ารับอย่างแรง
เฉินชิงตูเอ่ย “คุยธุระจบแล้ว แยกย้ายกันไปเถอะ”
เซียนกระบี่ส่วนใหญ่ขี่กระบี่กลับไป
แม้แต่อาเหลียงก็ยังไม่พูดอะไร เดินเท้าจากไปไกลพร้อมกับเฒ่าหูหนวก
เฉินผิงอันยืนอึ้งอยู่ที่เดิม อะไรกัน?
เฉินชิงตูโบกมือ “ลากเจ้ามาก็เพื่อให้ครบจำนวนคนเท่านั้นแหละ”
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ข้าไม่ต้องทำอะไรจริงๆ หรือ?”
เฉินชิงตูส่ายหน้าด้วยสายตาเวทนา
เฉินผิงอันจึงได้แต่เรียกเรือยันต์ออกมาแล้วกลับเข้านครไปด้วยความฉงนสนเท่ห์
ก่อนหน้านี้ตอนผ่านหัวกำแพงเมืองฝั่งทิศเหนือ เห็นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะกำลังฝึกวิชากระบี่จึงเอ่ยทักทาย บอกว่าเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยอาบแดดอยู่หรือ
เว่ยจิ้นยิ้มบางๆ สายตาเวทนาไม่ต่างจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส มองเรือยันต์ที่ขับเคลื่อนจากไปไกล เจ้าโง่เอ้ย ทึ่มจริงๆ เลยนะ
กลับไปถึงจวนหนิง เจอแค่ป๋ายหมัวมัวอยู่ในศาลา ไม่เห็นหนิงเหยา หญิงชราเพียงยิ้มเอ่ยว่าไม่รู้ว่าคุณหนูไปที่ไหนแล้ว
เฉินผิงอันอยู่ว่างก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร จึงขี่กระบี่ไปหาอะไรทำที่คฤหาสน์หลบร้อน
หนิงเหยานั่งอยู่ในห้องของตัวเอง กำลังเขียนตัวอักษร ‘เฉิน’ อย่างตั้งใจ
เขียนเสร็จก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะแล้วเริ่มเหม่อลอย
บนโต๊ะ ด้านข้างบันทึกขุนเขาสายน้ำที่เฉินผิงอันมอบให้มีสมุดอยู่หลายเล่ม บนกระดาษทุกแผ่นล้วนเขียนชื่อของเฉินผิงอันเต็มไปหมด แล้วก็เขียนแค่ชื่อเท่านั้น
วันนี้เขียนเฉิน พรุ่งนี้เขียนผิง วันมะรืนเขียนอัน
หนึ่งวันเขียนแค่ตัวอักษรเดียว สามวันจึงได้คำว่าเฉินผิงอัน
นางไม่เหมือนกับเฉินผิงอัน หลังจากที่เฉินผิงอันได้พบตนก็ได้เดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำ มีเรื่องราวน้อยใหญ่เกิดขึ้นมากมาย
ส่วนนางหลังจากที่ได้พบเจอกับเฉินผิงอันอีกครั้งที่ภูเขาห้อยหัว เรื่องราวของนางก็ดูเหมือนว่าจะมีแค่เฉินผิงอันเท่านั้น