ว่าวบินขึ้นสูงลอยเหนือหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ว่าวบินทะยานผ่านไป
จ้าวเก้ออี๋และเฉิงเฉวียนไม่ได้นั่งตรงข้ามกันอย่างที่หาได้ยาก คนสองคนที่เป็นศัตรูคู่แค้นนั่งเคียงบ่ากันอยู่บนหัวกำแพงทางทิศเหนือ ทอดสายตามองไปยังตรอกเล็กแห่งหนึ่งในนคร
จ้าวเก้ออี๋หันหน้าไปมองว่าวบนท้องฟ้า คนที่จะเล่นอะไรเหลวไหลแบบนี้อยู่บนหัวกำแพงเมืองก็มีแต่อาเหลียงชาติสุนัขผู้นั้นเท่านั้น
เมื่อก่อนข้างกายบุรุษยังมีตัวภาระน้อยๆ กลุ่มใหญ่ตามติด ในบรรดาเด็กๆ กลุ่มก่อนหน้านี้ก็มีเฉินซานฉิว ต่งปู้เต๋อ ต่งฮว่าฝู เตี๋ยจ้าง ส่วนอีกสองกลุ่มก่อนนั้นก็มีพวกโฉวเหมียว เกาเหย่โหว หลัวเจินอี้
จ้าวเก้ออี๋ถอนสายตากลับมาบ่นเฉิงเฉวียนต่อว่าคุณสมบัติไม่ได้เรื่อง หลอมขุนเขาช้าเกินไปแล้ว ตอนนั้นเขาอุตส่าห์คอยคุ้มกันให้อีกฝ่ายย้ายภูเขา ช่างเสียเวลาเปล่าจริงๆ
เฉิงเฉวียนกำตราประทับใบหลิวที่แกะสลักสามคำว่า ‘ไม่ระวัง’ เอาไว้ในฝ่ามือ จากนั้นก็ชูสองหมัดขึ้นราวกับต้องการปกป้อง ‘ไม่ระวัง’ นั้นไว้อย่างระมัดระวัง เฉิงเฉวียนไม่ได้โต้เถียงสหายเก่า เพียงถามว่า “เซียนกระบี่ของใต้หล้าไพศาลไม่มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มากเท่าไรใช่ไหม?”
จ้าวเก้ออี๋ยิ้มเอ่ย “ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก เจ้าลองดูเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะผู้นั้นสิ เขาเองก็เป็นพวกลุ่มหลงในรักที่เคยเสียใจมาก่อนไม่ใช่หรือ ฟังจากคำเล่าลือ ดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเฉินผิงอันด้วย แต่เซียนกระบี่ที่อืดอาดยืดยาดแบบนี้มีอยู่น้อย ส่วนใหญ่มักจะเป็นอย่างพวกผูเหอ เซี่ยจื้อที่ไม่เก็บเรื่องความรักมาใส่ใจมากกว่า”
เฉิงเฉวียนเงียบไปครู่หนึ่งก็ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “หากผลงานการต่อสู้ของพวกเราสองคนเอามารวมกัน คาดว่าน่าจะมากพอให้คนคนหนึ่งจากไปได้ ข้าค่อนข้างคุ้นเคยกับเถ้าแก่รอง คุยกันถูกคอ ให้ข้าไปคุยกับเขาดีไหม?”
จ้าวเก้ออี๋หลุดหัวเราะพรืด “เจ้าเด็กนั่นกรอกยาลวงวิญญาณอะไรให้เจ้า ถึงกับต้องควักใจให้เขาขนาดนี้เชียวหรือ? เฉิงเฉวียนนอกจากด่าคนอื่นแล้ว รู้จักขอร้องคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
กำแพงเมืองปราณกระบี่มีผู้ฝึกกระบี่หลายคนที่ทำให้คนผิดหวัง
ยกตัวอย่างเช่นหมี่ฮู่ที่มีคุณสมบัติดียิ่งกว่าเยว่ชิง ต่อให้ตอนนี้จะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่แล้วก็ยังเปี่ยมไปด้วยเรื่องที่รู้สึกเสียดาย เดิมทีหมี่ฮู่ก็เป็นเซียนกระบี่ที่มีความหวังว่าจะเลื่อนขั้นไปอยู่ในขอบเขตสิบคนได้มากที่สุด
และยังมีหมี่อวี้ขอบเขตหยกดิบ น้องชายของหมี่ฮู่ที่ให้ตายอย่างไรก็ไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดไปได้ นอกจากนี้ก็เป็นเฉิงเฉวียนข้างกายจ้าวเก้ออี๋ที่ขอบเขตถดถอยมาอยู่ก่อกำเนิด รวมไปถึงอินเฉินที่ไม่อาจเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน เยี่ยนหมิงที่แขนสองข้างขาดจึงหันไปเป็นพ่อค้าที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของเหรียญทองแดง ผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นเช่นนี้มีอยู่เยอะมากในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในบรรดาคนหนุ่มสาว ทุกวันนี้ก็มีผังหยวนจี้อีกคน
เฉิงเฉวียนเอ่ย “ข้าไม่ได้ล้อเล่น”
จ้าวเก้ออี๋ยิ้มเอ่ย “เจ้าคิดว่าเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่เป็นดั่งเสาเทพค้ำยันมหาสมุทรคนหนึ่งจากไปง่ายกว่า หรือขอบเขตก่อกำเนิดที่เป็นเศษสวะคนหนึ่งแอบดอดไปอยู่ใต้หล้าไพศาลจะง่ายกว่ากันล่ะ?”
การสะสมคุณความชอบของผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่มักจะนำไปใช้กับการหล่อเลี้ยงกระบี่ เพื่อเติมเต็มหลุมที่ไร้ก้นนี้ บนสมุดคุณความชอบของสายอิ่นกวานจึงมีลดมีเพิ่มมาโดยตลอด ส่วนใหญ่แล้วคุณความชอบที่เหลือมักจะมีน้อยมาก เซียนกระบี่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ผลการศึกของเซียนกระบี่ใหญ่ ขอบเขตของกระบี่บินสูง ก็ยิ่งสิ้นเปลืองมาก ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิง ทุกวันนี้ก็แทบไม่เหลือผลงานการสู้รบอยู่แล้ว ส่วนหมี่ฮู่ก็ยิ่งเอาผลการศึกมาใช้อย่างสิ้นเปลืองไปกับหมี่อวี้ผู้เป็นน้องชาย เป็นเหตุให้ถ่วงรั้งตบะของตัวเอง คนอย่างลู่จือที่ผลงานการศึกมีแต่เพิ่มไม่มีลด ถึงอย่างไรก็มีอยู่น้อยมาก
เฉิงเฉวียนเอ่ย “เจ้าพยายามไปอยู่ใต้หล้าไพศาลให้ได้เถอะ รับลูกศิษย์มาสักสองสามคน หาคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขาที่เข้ากันได้ดี ก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ที่นั่น หากเจ้าใจกว้างสักหน่อยก็แขวนภาพเหมือนของข้าไว้ในศาลบรรพจารย์สักภาพ”
บุรุษผู้หนึ่งไม่รู้ว่ามานั่งยองอยู่ด้านหลังพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ลมบนหัวกำแพงพัดแรง ว่าวตัวนั้นจึงลอยไปลอยมาอยู่เหนือหัวของพวกเขาสามคน
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “แขวนภาพเหมือนของเฉิงเฉวียนไว้ทำไม บุรุษตัวโตๆ สองคนอยู่ติดกัน ง่ายที่จะทำให้คนเข้าใจผิด หากจะแขวนก็แขวนภาพไฉ่อวิ๋นสิ เป็นแม่นางที่งดงามปานนั้น พี่ใหญ่จ้าวสามารถพูดกับศิษย์ลูกศิษย์หลานได้ทุกวันว่า นี่ก็คืออาจารย์แม่ คืออาจารย์ยาย ในอดีตที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ยังมีเจ้าตะพาบเฉิงเฉวียนที่ฝึกกระบี่ไม่ได้เรื่อง หน้าตาก็เหมือนพุทราโดนทุบ แต่กลับน้ำลายสออยากครอบครองความงามของอาจารย์ยายพวกเจ้ามานานหลายปี…”
เฉิงเฉวียนด่าเสียงดังลั่น “ผายลมมารดาเจ้าน่ะสิ คราวก่อนจ้าวเก้ออี๋ออกจากหัวกำแพงเมืองไปช่วยข้าย้ายภูเขา เขาหลุดปากยอมรับมาแล้วว่าคนที่ไฉ่อวิ๋นชอบก็คือ…”
กล่าวมาถึงตรงนี้เฉิงเฉวียนก็หยุดพูด เพราะพูดต่อไม่ออกแล้ว
อาเหลียงเอ่ย “จากไปได้คนหนึ่งก็ไปคนหนึ่งเถอะ”
กล่าวประโยคนี้จบ อาเหลียงก็ลุกขึ้นยืน ไปเล่นว่าวของตัวเองต่อ
เดินผ่านจุดหนึ่ง พื้นที่ตรงนั้นว่างเปล่า อาเหลียงกลับหยุดยืนอยู่นาน เขาคลายมือที่จับสายป่านของว่าวออก พริบตาเดียวว่าวตัวนั้นก็ล่องลอยไปไกลถึงทะเลเมฆ
อาเหลียงสาวเท้าเดินเล่นไปตลอดทาง เซียนกระบี่ส่วนใหญ่ที่เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองล้วนเป็นคนคุ้นเคยกันดี อาเหลียงจึงหยุดพูดคุยกับพวกเขาสองสามประโยค
ตรงจุดหนึ่งมีคนอยู่เยอะมาก ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่จากต่างถิ่น เซียนกระบี่สามคนกำลังชี้แนะเวทกระบี่ให้แก่ผู้ฝึกกระบี่สามคนที่เป็นเด็กรุ่นหลัง พวกเขานั่งขัดสมาธิพูดคุยกันอย่างถูกคอ
อาเหลียงถูมือวิ่งเหยาะๆ ไปหา เซียนกระบี่ที่เป็นสตรีคนหนึ่งในนั้นจึงเตรียมจะลุกขึ้นยืนแล้วจากไป อาเหลียงทนรับกับเรื่องแบบนี้ไม่ไหวมากที่สุด เห็นพี่อาเหลียงแล้วจะเขินอายไปไย จึงเตรียมจะไปเดินเล่นเป็นเพื่อนพี่สาวเซียนกระบี่คนนั้น หัวกำแพงเมืองสูงมาก ทะเลเมฆหลายผืนล้วนมารวมตัวกันอยู่ใต้ฝ่าเท้า แสงสายัณห์รวมตัวกันดุจสายน้ำที่ไหลรินบนขอบฟ้า ช่างเป็นทัศนียภาพที่งดงามเสียนี่กระไร เหมาะให้บุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญพูดคุยกันเป็นที่สุด ไม่ใช่คู่รักเทพเซียน แต่ก็ยิ่งกว่าคู่รักเทพเซียน
สตรีเห็นว่าหนีไม่พ้น เมื่อต้องเจอเรื่องที่เลวร้ายทั้งสองทางจึงเลือกอย่างที่ให้โทษน้อยกว่า นางจึงนั่งลงที่เดิม สรุปก็คือนางไม่ยินดีจะอยู่กับบุรุษผู้นั้นเพียงสองต่อสอง
เซียนกระบี่สามท่านคือเซี่ยจื้อจากฝูเหยาทวีป มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ ตลอดชีวิตนี้อยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด แม้แต่ลูกศิษย์สักคนก็ยังไม่ยินดีจะรับมาไว้ แต่เพิ่งเปลี่ยนใจคิดจะรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดสักคนสองคนจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้มาสืบทอดควันธูป แต่กลับไม่ได้เลือกเด็กที่มีคุณสมบัติน่าตะลึงพรึงเพริด ตรงกันข้ามคือเลือกคนที่ถูกใจตัวเอง มีความเด็ดเดี่ยวหนักแน่น วันหน้านิสัยใจคอและความอดทนยืดหยุ่นย่อมพัฒนาไปได้เอง เพราะเดิมทีเซียนกระบี่เซี่ยจื้อก็ไม่ใช่ตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ดีมากมายอะไรอยู่แล้ว
เซียนกระบี่หญิงซ่งพิ่นจากเกราะทองทวีป กระบี่พกมีชื่อว่า ‘ฝูเหยา’ รูปโฉมงามพิลาส ทั้งเทียวซินและเฟินซิน (เครื่องประดับผมของจีนชนิดหนึ่ง เทียวซินคือเครื่องประดับที่ติดตรงกลางของมวยผม ขนาดไม่ใหญ่มาก รูปลักษณ์หลากหลาย เฟินซินคือเครื่องประดับที่อยู่ด้านล่างเทียวซิน ลักษณะเหมือนหวีเสียบทรงโค้งยาว) ที่ประดับอยู่บนผม ล้วนเป็นผลงานชั้นสูงของตระกูลเซียน ฝีมือวิจิตรบรรจง ผู้ฝึกลมปราณหญิงน้อยคนนักที่จะชอบปักปิ่นเงินปิ่นทองเหมือนสตรีในหมู่ชาวบ้าน ทว่าซ่งพิ่นกลับตรงกันข้าม นางชอบที่จะปักปิ่นปักเฟินซินไว้เต็มศีรษะ มองดูแล้วสะดุดตา ทว่าไม่เพียงแต่ไม่ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นความงามที่สามัญดาษดื่น กลับกันยังมีท่วงทำนองใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์
ผูเหอเซียนกระบี่จากหลิวเสียทวีป คือผู้เฒ่าร่างผอมสูงใบหน้าแห้งตอบคนหนึ่ง อยู่ในหลิวเสียทวีปก็ขึ้นชื่อเรื่องนิสัยดุร้าย แม้ว่าจะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลตัวจริง แต่กลับทำอะไรตามใจปรารถนายิ่งกว่าผู้ฝึกตนอิสระอย่างเซียนกระบี่เซี่ยจื้อเสียอีก เพราะถามกระบี่ล้มเหลว ผูเหอถึงได้อยู่ต่อที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ พักอาศัยอยู่ใน ‘ศาลาชุ่ยอวี้’ ของเซียนกระบี่ที่อยู่นอกนคร
พอผูเหอเห็นอาเหลียง สีหน้าก็ไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ตอนที่ผูเหอเพิ่งมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ใหม่ๆ ตอนนั้นก็เป็นเจ้าชาติสุนัขผู้นี้นี่แหละที่ยุให้ตนถามกระบี่หมี่ฮู่ บอกว่าหมี่ฮู่ขอบเขตไม่สูง แต่กลับมีชื่อเสียงโด่งดัง เอาชนะหมี่ฮู่ได้แล้วค่อยกลับคืนไปยังใต้หล้าไพศาล แบบนั้นเอวของเขาจะต้องแข็งสักปานใด! ประเด็นสำคัญคือเอาชนะหมี่ฮู่ได้แล้วก็เท่ากับว่าซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง เท่ากับชนะหมี่อวี้ที่ชื่อเสียงเลื่องลือยิ่งกว่าไปด้วย ผลประโยชน์แบบนี้ไม่คว้าไว้ ระวังจะถูกฟ้าผ่าตาย ผลคือพอผูเหอไปถามกระบี่ถึงได้รู้ว่าพลังการต่อสู้ของหมี่ฮู่ผู้นั้นสามารถทัดเทียมได้กับขอบเขตเซียนเหริน
ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยสามคนก็มาจากบ้านเกิดของเซียนกระบี่ทั้งสามท่านพอดี ได้แก่ซ่งเกาหยวนผู้ฝึกกระบี่แห่งตำหนักเขากวาง เฉากุ่นขอบเขตประตูมังกรของหลิวเสียทวีป และเฉาเซินขอบเขตโอสถทองของเกราะทองทวีป
คนทั้งสามเคยพบเจอกับอาเหลียงที่คฤหาสน์หลบร้อนมาก่อนแล้ว โดยเฉพาะซ่งเกาหยวนที่ยิ่งทำภารกิจที่บรรพจารย์หรงกวานมอบหมายให้ตนเสร็จสิ้นด้วยการนำความมาบอกแก่อาเหลียง ดังนั้นการเดินทางมาในครั้งนี้ ซ่งเกาหยวนจึงไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกแล้ว
ส่วนเซียนกระบี่ทั้งสามท่านอย่างซ่งพิ่น ตอนนั้นก็เคยติดตามอิ่นกวานหนุ่มไปเป็นแขกที่เรือนชุนฟานของภูเขาห้อยหัว จึงถือว่ามีความสัมพันธ์ควันธูปพิเศษกับผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยสามคนนี้ของสายอิ่นกวาน
ไม่อย่างนั้นวันนี้พวกเซี่ยจื้อสามคนก็คงไม่นัดมาเจอกัน จากนั้นเรียกคนหนุ่มสามคนมาสอนเวทกระบี่ ต่อให้จะมาจากทวีปเดียวกันบ้านเกิดเดียวกันแล้วอย่างไร? เซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่อยู่สูงบนยอดเขาในหนึ่งทวีปอย่างพวกเขา ไหนเลยจะต้องการมิตรภาพบนภูเขาที่น้อยนิดแค่นี้ พูดประโยคที่ไม่น่าฟัง หาก ‘รู้จักวางตัวเป็นคน’ สักหน่อย คนทั้งสามก็ไม่จำเป็นต้องมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ พาตัวเองมาอยู่ในสถานที่อันตรายเลย ป่านนี้ก็คงสร้างสำนักตั้งพรรคอยู่ที่บ้านเกิดของใครของมันในใต้หล้าไพศาลไปนานแล้ว
กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนกับเป็นเจ้าสำนักที่เหน็ดเหนื่อย คือคนละเรื่องกันเลย บนภูเขาต่างก็ยอมรับโดยทั่วกันว่าอย่างหลังยากยิ่งกว่า
อาเหลียงนั่งลงข้างกายซ่งพิ่น ก่อนจะทอดถอนใจเอ่ยว่า “แม่นางซ่ง วาสนาชีวิตคู่อักษรเหวินครั้งนั้น ไยจึงตัดใจไม่ต้องการพบเจออีกได้ลงคอ”
เคยมีนักประพันธ์ของฝูเหยาทวีปคนหนึ่งได้พบเจอกับเซียนกระบี่หญิงที่มาจากเกราะทองทวีประหว่างออกเดินทางท่องเที่ยวก็หลงรักนางตั้งแต่แรกเห็น จึงเขียนบทกวีแห่งความคิดถึงอาลัยอาวรณ์ที่น่าประทับใจเอาไว้มากมาย น่าเสียดายก็แต่ไม่อาจทำให้คนในใจหวั่นไหวได้
เซียนกระบี่เซี่ยจื้อไม่ค่อยสนิทกับอาเหลียงมากนัก ดังนั้นจึงยังมีอารมณ์พูดล้อเล่นว่า “ผู้อาวุโสอาเหลียง ประโยคติดปากผู้คนที่บอกว่า ‘ข้าไม่เคยรู้จักท่านแต่กลับฝันถึง ดวงตาที่มองสบมาใสสว่างดุจแสงเทียน’ กับประโยคที่ร้องว่า ‘เหตุผลครึ่งหนึ่งเพราะฝึกตน เหตุผลครึ่งหนึ่งเพราะใจมีแต่ท่าน’ ช่างเข้ากันได้ดีมากจริงๆ”
ซ่งพิ่นพูดอย่างขุ่นเคือง “เซี่ยจื้อ พูดจาระวังปาก”
เซี่ยจื้อหุบปากฉับทันที
สตรีที่สามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนกระบี่ ไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน และนิสัยใจคอก็มักจะองอาจผึ่งผายยิ่งกว่าบุรุษ ซ่งพิ่น ยังมีเซี่ยซงฮวาแห่งธวัลทวีป ลี่ไฉ่แห่งอุตรกุรุทวีป ยามเข่นฆ่าบนสนามรบ แต่ละคนออกกระบี่อย่างดุดัน บุกรุดไปด้านหน้าอย่างห้าวหาญไม่แพ้กัน ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดในท้องถิ่นอย่างน่าหลันไฉ่ฮ่วน ยามออกกระบี่รับมือกับศัตรูก็ถือว่าอำมหิตโหดร้าย เพียงแต่ว่าจิตแห่งกระบี่ไม่บริสุทธิ์มากพอ เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่หญิงต่างถิ่นสามท่านนี้แล้วยังอ่อนด้อยกว่าระดับหนึ่ง
อยู่ดีๆ เซี่ยจื้อก็นึกถึงโจวเฉิง เซียนกระบี่หญิงที่จากไปแล้วผู้นั้นขึ้นมา เขาไม่ได้ชอบนาง แต่กลับยากจะลืมเลือน
สตรีที่เป็นเช่นนั้น ประหนึ่งกวางที่ผลุบหายเข้าไปในผืนป่าอย่างฉับพลัน ใต้หล้าไพศาลมีให้เห็นไม่บ่อยนัก
ซ่งเกาหยวนสามคนยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเดิม
เรื่องราวบุญคุณความแค้นระหว่างพวกผู้อาวุโสบนภูเขา หากไม่ฟังก็เสียเปล่า
โดยเฉพาะซ่งเกาหยวนที่ยิ่งเงี่ยหูตั้งใจฟัง ซ่งพิ่นเคยปรากฎตัวในงานพิธีเปิดขุนเขาของตำหนักเขากวางมาก่อน บุคลิกรูปโฉมของนางล้วนโดดเด่น อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับบรรพจารย์หรงกวาน และคาดว่าคงเป็นเพราะเหตุนี้ ซ่งพิ่นถึงได้มีความประทับใจต่อผู้อาวุโสอาเหลียงย่ำแย่ขนาดนี้
คิดไม่ถึงว่าอาเหลียงจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามถึงสถานการณ์ล่าสุดด้านล่างภูเขาของฝูเหยาทวีป จากนั้นก็ไหว้วานให้พวกเซียนกระบี่อย่างเซี่ยจื้อสามคนช่วยเหลือ หากในอนาคตพวกเขาจับมือกันกลับคืนสู่บ้านเกิด รบกวนเดินทางอ้อมช่วยนำความไปแจ้งแก่อริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งของสำนักศึกษาลู่หมิงแห่งฝูเหยาทวีป
ก่อนจะจากไป อาเหลียงใช้เสียงในใจถ่ายทอดวิชาปราณกระบี่สิบแปดหยุดให้คนหนุ่มทั้งสาม บอกกับพวกเขาว่าในอนาคตสามารถนำการโคจรปราณกระบี่วิชานี้ไปถ่ายทอดให้คนอื่นได้ แต่ต้องเลือกคนอย่างระมัดระวัง
คนทั้งสามต่างก็ลุกขึ้นยืน ค้อมเอวกุมหมัดขอบคุณผู้อาวุโสท่านนี้
อาเหลียงลุกขึ้นยืนแล้วก็บอกลากับซ่งพิ่นแค่คนเดียว ทว่าสตรีที่เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตสูงแต่หน้าบางกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ อาเหลียงจึงทะยานวูบหายตัวไปอย่างเข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี มาโผล่อีกทีที่ปลายด้านหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มาพบเจอกับอริยะลัทธิขงจื๊อที่นั่งพิทักษ์หัวกำแพงเมือง
อริยะลัทธิขงจื๊อเงยหน้ามองม่านฟ้า พอจะมองเห็นดวงจันทร์สามดวงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้อย่างเลือนราง เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ได้ยินสิ่งที่ได้ยินจึงมาเยือน ได้เห็นสิ่งที่ได้เห็นจึงจากไป”
อาเหลียงเอ่ย “ไม่มองตถาคตแค่รูปลักษณ์ภายนอก”
คำกล่าวของอริยะลัทธิขงจื๊อที่เคยเป็นพุทธศาสนิกชนมาจากบทกวีโด่งดังของใต้หล้าไพศาล ทว่าสิ่งที่อาเหลียงตอบรับกลับเป็นภาษาธรรม
อริยะลัทธิขงจื๊อที่ทุกวันนี้อยู่ในสายของหย่าเซิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฉับพลันนั้นเหมือนได้ท่องไปในทางสายเก่า ได้พบเจอสหายเก่า”
อาเหลียงเงียบงัน ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง
ก่อนหน้านี้ตอนที่กินอาหารอยู่ในจวนหนิง เรื่องเล่าเล็กๆ เรื่องสุดท้ายนั้น อาเหลียงเล่าแค่ครึ่งเดียว
แต่เฉินผิงอันต้องเข้าใจเรื่องครึ่งหลังที่เขาไม่ได้พูดออกมาอย่างแน่นอน เพราะคนหนุ่มเองก็เป็นบัณฑิต แล้วก็เคยท่องผ่านยุทธภพมาไม่น้อยเหมือนกัน
เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งขึ้นเขาลงห้วย ลงมือกำจัดปีศาจปราบมารง่ายๆ ทำให้พลาดสังหารคนบริสุทธิ์ เขาอาเหลียงจะไปแก้แค้นกับใคร? จะแก้แค้นอย่างไร? หากออกกระบี่ ควรจะปล่อยกระบี่หนักแค่ไหนถึงจะถือว่ามีเหตุผล หากไม่ใช้เหตุผล เลือกที่จะกระทำไปตามอารมณ์ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าในสำนักที่คนผู้นั้นอยู่ไม่มีแม่นางน้อยคนหนึ่งที่เบิกตากว้างถามว่าทำไมอยู่เหมือนกัน…หากใช้เหตุผลกับทุกเรื่องๆ ความอัดอั้นในใจของข้าไม่ได้ระบายออก ดื่มเหล้าไปก็ไร้ประโยชน์ จิตใจจะสงบสุขได้อย่างไร?
ตอนนั้นที่อาเหลียงไม่ได้พูดต่อก็เพราะกลัวว่าเฉินผิงอันจะซักไซ้ถามว่าสุดท้ายแล้วจุดจบเป็นอย่างไรกันแน่
เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า เรื่องราวทุกเรื่องที่ทำให้คนเสียใจอย่างสุดแสน มักมีจุดเริ่มต้นที่ทำให้หัวใจคนอบอุ่นอยู่เสมอ