ในนครที่อยู่ทางทิศเหนือ นับว่าหาได้ยากที่เยี่ยนหมิงจะกลับจวน เขานั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ในห้องหนังสือ ภูตน้อยที่เชี่ยวชาญด้านการคิดบัญชีตนนั้นกำลังพลิกเปิดสมุดบัญชีแต่ละหน้าพลางบ่นบุรุษไปด้วยว่า รายรับของตระกูลสู้รายจ่ายไม่ได้ ใครเขาทำการค้ากันแบบนี้บ้าง จะต้องไปร้องทุกข์กับอิ่นกวานหนุ่มคนนั้นสักหน่อย ไม่อย่างนั้นตระกูลเยี่ยนจะกลายเป็นคนยากจนจริงๆ แล้ว เจ้าตัวน้อยที่เป็นภูตยุคโบราณนั่งแปะลงบนสมุดบัญชีเล่มหนึ่ง แหงนหน้าถามว่า “วัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้นจะไม่เอากลับคืนมาจริงๆ หรือ? วัตถุจื่อชื่อไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไปนะ จะทำเฉยแบบนี้ไม่ได้ จะดีจะชั่วใต้เท้าอิ่นกวานก็ต้องมีคำอธิบายให้ตระกูลเยี่ยนของพวกเราบ้าง”
เยี่ยนหมิงลืมตาขึ้น ยิ้มกล่าว “ยาก”
ก่อนหน้านี้ตอนที่ปรึกษาธุระอยู่ในเรือนชุนฟาน เฉินผิงอันเองก็เป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน ตอนที่เขาตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ล้อมสังหารของผู้ฝึกกระบี่ห้าคนจากกระโจมเจี่ยเซิน ได้ถูกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เล่นงานเสียจนอนาถ เดือดร้อนให้วัตถุจื่อชื่อต้องถูกทำลายเสียหายไปด้วย เขาจะต้องซ่อมแซมก่อนถึงจะเอามาคืนให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะดูไร้คุณธรรมเกินไป
เยี่ยนหมิงคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับอีกฝ่าย
เยี่ยนจั๋วเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา พอเข้ามาในห้องแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไร เขายังคงกลัวบิดาอยู่เหมือนเดิม
ในความเป็นจริงแล้วเยี่ยนหมิงเองก็ไม่ถนัดที่จะพูดคุยกับบุตรชายเท่าไรนัก และเจ้าประมุขตระกูลเยี่ยนยามที่ไม่พูดจาก็มีบารมีน่าเกรงขามอย่างถึงที่สุด ภูตน้อยจึงกระแอมติดๆ กัน ขยิบตาส่งให้แรงๆ
เยี่ยนหมิงถึงได้เอ่ยว่า “ฟังอาเหลียงพูดจาเหลวไหลให้น้อยหน่อย อันที่จริงนับแต่เด็กมาหน้าตาเจ้าก็เหมือนข้ามาโดยตลอด ขอแค่ผอมกว่านี้สักหน่อย หน้าตาก็ย่อมไม่แย่”
เยี่ยนจั๋วเพิ่งจะนั่งลงบนเก้าอี้ เก้าอี้ก็ส่งเสียงแอดขึ้นมาทันที
ภูตน้อยที่อยู่บนสมุดบัญชีกุมท้องหัวเราะก๊าก
เยี่ยนหมิงเองตอนแรกก็ขึงหน้านิ่ง เพียงแต่สุดท้ายทนไม่ไหวหลุดหัวเราะเหมือนกัน
เยี่ยนจั๋วเกาหัว ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร บิดาที่เป็นเช่นนี้ ทำให้เขาปรับตัวไม่ทันสักเท่าไร
ในตรอกเล็กแห่งหนึ่ง ข้างป้ายศิลาที่เอียงกะเท่เร่ มีเด็กสองคนกำลังนั่งยองง่วนทำงานในมือ พวกเขาก็คือเฝิงคังเล่อกับเถาป่านที่รับหน้าที่เป็นลูกจ้างของร้านเหล้า เถ้าแก่รองถ่ายทอดวิชาคัดลอกศิลาให้พวกเขา สิ่งของที่จำเป็นที่ต้องใช้ในการคัดลอกล้วนเอามาให้พวกเขาหมดแล้ว จากนั้นก็ให้เด็กทั้งสองรับหน้าที่มาช่วยคัดลอกศิลาแทนเพื่อหารายได้ หลังจบเรื่องจะคิดเงินตามตัวอักษร ขอแค่เท้าวิ่งได้เร็วพอ มือไม้คล่องแคล่วมากพอก็จะได้เงินเหรียญทองแดงมาไม่น้อย ยามกินบะหมี่หยางชุนยังสามารถเพิ่มไข่ดาวได้ด้วย
เฝิงคังเล่อบอกว่าจะเรียนรู้การเป็นร้านผ้าห่อบุญอย่างเฉินผิงอัน เดินทางไปทั่วทิศเพื่อเก็บของผุๆ พังๆ มาแลกเป็นเงิน ถึงเวลานั้นไหเงินใบนั้นของเขาคงไม่พอให้ใช้แล้ว ต้องเปลี่ยนเป็นใบใหญ่กว่าเดิม
เถาป่านบอกว่าวันหน้าเขาเองก็จะเปิดร้านเหล้าที่กิจการดีมากๆ ร้านหนึ่ง ไม่เป็นลูกจ้างแล้ว แต่จะเป็นเถ้าแก่ ทุกวันไม่ต้องทำงาน แค่รอเก็บเงินอย่างเดียวพอ
เด็กสองคนง่วนทำงานพลางซุบซิบคุยกันไปด้วย ต่างคนต่างก็พูดถึงความฝันที่อยู่ห่างไกลสุดขอบฟ้า
ท่ามกลางตัวอักษรใหญ่บนกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่หันหน้าเข้าหาสนามรบ อินเฉินผู้ฝึกกระบี่เฒ่านั่งอยู่บนเบาะรองนั่งใบหนึ่งที่ถูกเสียดสีจนเสียหายอย่างหนัก ชีวิตนี้ไร้ญาติขาดมิตร ไร้ห่วงผูกคอ ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร
เซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนถอดรองเท้านั่งอยู่ในระเบียงบ้านตัวเอง เอนหลังพิงพนังรายล้อมด้วยกลิ่นกำยาน ในมือถือถ้วยเหล้าดื่มสุราอยู่กับตัวเอง ชายแขนเสื้อลากระพื้น มีสาวงามกระดาษยันต์ที่เรือนกายอรชรอ้อนแอ้นกำลังร่ายรำอยู่ในระเบียง งดงามน่ามอง
เซียนกระบี่กวอเจวี้ยมองดูบุตรสาวที่ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว ภรรยาของเขาคอยพร่ำบอกให้นางกินช้าๆ หน่อย ไม่มีใครมาแย่งหรอก ทำท่าราวกับผีหิวโหยมาเกิดใหม่อย่างไรอย่างนั้น ไม่มีความเป็นกุลสตรีบ้างเลย วันหน้าจะออกเรือนได้อย่างไร หรือจะต้องกลายเป็นสาวแก่อย่างต่งปู้เต๋อถึงจะพอใจ?
กวอจู๋จิ่วเงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะรีบหุบยิ้ม ทำแก้มป่อง
ลี่ไฉ่ที่ซื้อเรือนถิงอวิ๋นมาได้ออกมาเดินเล่นนอกเรือน เดินมาถึงด้านนอกประตูคลังเจี่ยจ้างที่ไร้ผู้คน
หลังจากที่เจ้าสำนักหานไหวจื่อรบตายไป พวกผู้ฝึกกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยก็พากันออกจากเรือนที่เป็นของพวกเขาหลังนี้ หวนกลับคืนไปยังใต้หล้าไพศาล
ลี่ไฉ่ยืนอยู่ที่เดิม มีครั้งหนึ่งเคยมาเป็นแขกที่คลังเจี่ยจ้าง ตอนที่ผู้อาวุโสหานไหวจื่อยังมีชีวิตอยู่เคยยิ้มเอ่ยกับนางว่า ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมีผู้ฝึกกระบี่หญิงอยู่มากมาย ทว่าสำนักกระบี่ไท่ฮุยกลับมีบุรุษเยอะจึงต้องกลัดกลุ้มเรื่องหาคู่บำเพ็ญเพียร วันหน้าทั้งสองฝ่ายสามารถแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันได้ ตอนนั้นพวกผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยล้วนเป็นคนหนุ่มรูปงามมากความสามารถกันทั้งนั้น แต่ละคนพากันหันมามองเจ้าสำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิงอย่างนางตาปริบๆ ลี่ไฉ่จึงตอบตกลง บอกว่าวันหน้าจะต้องจับคู่ชายหนุ่มหญิงสาวของสองสำนัก ให้พวกเขาได้มีโอกาสเดินทางไปหาประสบการณ์ร่วมกันให้มาก ถึงเวลานั้นขอแค่ทั้งสองฝ่ายเจ้ายินยอมข้าพร้อมใจ นางลี่ไฉ่ก็ยินดีจะเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยสานด้ายแดงให้
ลู่จือที่เรือนกายผอมสูง อันที่จริงรูปโฉมของนางถือว่าธรรมดา แต่สาเหตุเพราะอาเหลียง จึงกลับกลายเป็นว่าอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นโฉมสะคราญของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ที่จวนส่วนตัวของลู่จือ ถัวเหยียนฮูหยินกำลังต้มชา ภูตห้าขอบเขตบนที่เพิ่งมอบสวนดอกเหมยไปให้คฤหาสน์หลบร้อนผู้นี้ ลู่จือเห็นนางเป็นสหายที่เท่าเทียมกัน เพียงแต่ว่าการกระทำและคำพูดของถัวเหยียนฮูหยินยามอยู่ในเวลาส่วนตัวกลับยังคงเรียกตัวเองว่าบ่าวอย่างอ่อนน้อม เวลานี้นางคุกเข่าอยู่บนเสื่อไม้ไผ่ สองมือยื่นส่งถ้วยชาใบหนึ่งไปให้อาจารย์ลู่
ถัวเหยียนฮูหยินถามเสียงเบา “ก่อนหน้านี้มีการเรียกรวมเหล่าเซียนกระบี่โดยมีอาจารย์ลู่เป็นหนึ่งในนั้นด้วยหรือ?”
ลู่จือส่ายหน้า
ถัวเหยียนฮูหยินจึงไม่ถามต่ออย่างรู้อะไรควรไม่ควร
แต่ถัวเหยียนฮูหยินก็อดไม่ไหวใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อาจารย์ลู่ ยิ่งผู้ฝึกกระบี่รบตายไปมากเท่าไร โชควาสนาวิถีกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งถูกทิ้งเอาไว้มากเท่านั้น หากกำแพงเมืองถูกตีแตก ใครจะเป็นคนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด? แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่? หากไม่รู้จริงๆ ก็แล้วไปเถิด เขาทำหน้าที่เป็นอิ่นกวานคนใหม่ที่เหนื่อยยากแต่ไม่ได้ประโยชน์ใดๆ อย่างเต็มกำลังความสามารถเช่นนี้ก็คู่ควรให้คนนับถือจริงๆ แต่หากรู้ดีอยู่แก่ใจ จะไม่เท่ากับว่าเขาเป็นคนจอมปลอมที่…ช่วยคนเลวก่อกรรมทำชั่วหรอกหรือ? คนแบบนี้จะต่างอะไรกับสำนักจ้งเหิง (สำนักที่เน้นกลยุทธการสร้างประโยชน์และความสามัคคีในกลุ่มตัวเอง และยุยงให้กลุ่มศัตรูแตกสามัคคี) ของใต้หล้าไพศาล? จะคู่ควรให้อาจารย์ลู่มองเขาแตกต่างจากคนอื่นได้อย่างไร?”
ลู่จือย้อนถาม “ดูเหมือนเจ้าจะมีอคติต่อเฉินผิงอัน?”
ถัวเหยียนฮูหยินส่ายหน้า “ข้าแค่ไม่กล้าเชื่อว่าคนหนุ่มคนหนึ่งจะทำได้ถึงขั้นนี้ เพียงแค่เพราะสตรีที่ตนรักอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่”
ลู่จือลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ข้าบอกเจ้าได้แค่ว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความต้องการของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เฉินผิงอันก็แค่ทำตามเท่านั้น”
ดวงตาของถัวเหยียนฮูหยินพลันเปล่งประกาย “อาจารย์ลู่ เป็นไปได้หรือไม่ว่า ในอนาคตวันใดวันหนึ่ง พวกเราจะมีสำนักเป็นของตัวเองอยู่ในใต้หล้าไพศาล? พวกเราจะรับแค่ผู้ฝึกตนหญิงเท่านั้น?”
ลู่จือยิ้มเอ่ย “สตรีเมื่อเติบใหญ่ก็ต้องออกเรือน ต่อให้บนภูเขามีแต่ลูกศิษย์หญิง ถ้าอย่างนั้นพวกนางต้องลงเขาไปฝึกประสบการณ์หรือไม่? ลงจากเขาไปแล้วไม่ใช่ว่าจะไปหลงรักบุรุษหรอกหรือ ถึงเวลานั้นเจ้าก็ยังต้องวุ่นวายใจอยู่ดี”
ถัวเหยียนฮูหยินทอดถอนใจ ใช้มือต่างพัดโบกลมเข้าหาตัว “จะโทษก็ต้องโทษบุรุษอย่างอาเหลียง อย่างเฉินผิงอัน ชอบติดหนี้ความรักเป็นที่สุด”
ลู่จือถามอย่างสงสัย “อาเหลียงยังพอทำเนา แต่เฉินผิงอันทำไมถึงสร้างหนี้ความรักได้ล่ะ? ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรามีสตรีที่ชอบเขางั้นหรือ?”
ถัวเหยียนฮูหยินกุมขมับ “อาจารย์ลู่ของข้าหนอ มีเยอะจะตายไป พูดถึงแค่คฤหาสน์หลบร้อนแห่งนั้น ข้าก็สังเกตเห็นว่าสตรีที่ชื่อหลัวเจินอี้ ขนาดตัวนางเองยังไม่รู้ถึงความรู้สึกของตัวเอง ยังนึกว่าตัวเองมองคนเขาด้วยสายตาเย็นชาในทุกเรื่อง คิดว่าทุกประโยคของบุรุษผู้นั้นล้วนไม่เข้าหู ก็แสดงว่าตัวเองรังเกียจบุรุษคนนั้นแล้ว”
ลู่จือคิดแล้วก็พอจะนึกขึ้นได้ ดูเหมือนว่าจะเป็นหญิงสาวที่หน้าตาดีไม่น้อย
ลู่จือเอ่ย “ทำไมนางถึงไม่ชอบโฉวเหมียวล่ะ? ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอด ตามหลักแล้วนางน่าจะชอบโฉวเหมียวถึงจะถูก”
สีหน้าของถัวเหยียนฮูหยินพลันสดชื่น รู้สึกว่าตัวเองมีเรื่องมากมายจะพูดคุยกับอาจารย์ลู่ได้แล้ว “อาจารย์ลู่ ขอให้ข้าได้อธิบายให้ท่านฟังเถอะ ความรู้ในเรื่องนี้มีเยอะนักล่ะ”
ลู่จือรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย เตรียมจะตัดบทหัวข้อสนทนาที่น่าเบื่อนี้ ถัวเหยียนฮูหยินกลับบ่นพึมพำขึ้นมาว่า “อาจารย์ลู่ ท่านก็คิดเสียว่าฟังแก้เบื่อสิ”
ลู่จือดื่มชาเหมือนดื่มเหล้า ทุกครั้งล้วนกระดกดื่มหมดในรวดเดียวแล้วยื่นส่งถ้วยชามาให้
ถัวเหยียนฮูหยินรีบรินชาให้อีกฝ่าย พลางพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “บนโลกนี้มีบุรุษหลายคนที่เข้าใจผิดคิดว่าความเจ้าชู้เจ้าเสน่ห์จะทำให้สตรีหวั่นไหวได้ แต่กลับไม่รู้ว่าสตรีไม่ได้ตาบอด อันที่จริงพวกคนที่รักเดียวใจเดียวอย่างแท้จริงต่างหากถึงจะทำให้สตรีเปิดประตูห้องหัวใจให้ได้มากที่สุด อีกอย่างข้อดีของการปรารถนาแล้วไม่ได้มาครองก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก ส่วนพวกคนอย่างหมี่อวี้ที่แสร้งทำเป็นสง่างาม ชอบทำตัวเป็นบุปผาที่เรียกหาหมู่ภมรก่อนนั้น ไม่ได้เข้าขั้นเลยจริงๆ ยังมีหน้ามาพูดอย่างภาคภูมิใจว่าเทพเซียนที่เมามายอยู่ท่ามกลางมวลบุปผาคือเทพเซียนที่แท้จริงอีกหรือ?”
ลู่จือพลันเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าหมี่อวี้จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเฉินผิงอัน”
ถัวเหยียนฮูหยินจึงสบถขึ้นมาทันที “ล้วนไม่ใช่คนดีทั้งคู่”
พวกเด็กๆ ที่ฝึกวิชาหมัดอยู่ในคฤหาสน์หลบหนาวก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านใครบ้านมันอย่างที่หาได้ยาก
เจียงอวิ๋นแห่งถนนไท่เซี่ยงกลับไปถึงบ้านก็เริ่มคุยโม้ให้ท่านปู่ของตัวเองฟังว่าผู้ฝึกยุทธนั้นร้ายกาจมากแค่ไหน ผู้ฝึกกระบี่เทียบไม่ติดเลย
ยามที่ปู่กับหลานอยู่ด้วยกันแค่สองคน ยามที่ก้าวเดินเจียงอวิ๋นก็ยังคงฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าว แล้วถือโอกาสนี้ร่ายกระบวนท่าหมัดท่าเท้าที่อิ่นกวานหนุ่มถ่ายทอดให้หลายท่าให้ท่านปู่ดู แล้วถามว่าเป็นอย่างไร
เดิมทีเจียงฉู่แค่ตอบรับหลานชายที่เขารักและเอ็นดูที่สุดคนนี้อย่างขอไปที แค่เอ่ยถ้อยคำดีๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย เพียงแต่ว่าพอผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเห็นหลานชายใช้ท่าศอกกระทุ้ง กลับรู้สึกว่าต้องมองเขาเสียใหม่จริงๆ
ผู้เฒ่าลังเลเล็กน้อย แล้วก็ปล่อยให้หลานชายฝึกเดินท่าหมัดไปต่อ ถามชวนคุยว่าหญิงชราที่สอนหมัดเป็นอย่างไรบ้าง เจียงอวิ๋นบอกว่าวิชาหมัดของหญิงแก่ผู้นั้นพอจะเข้าท่าอยู่บ้าง แต่อารมณ์ร้ายไปสักหน่อย ดูเหมือนยังจะชอบเล่นงานตนเป็นพิเศษด้วย
เจียงฉู่ได้ยินมาถึงตรงนี้ ไม่เพียงไม่โกรธกลับยังคลี่ยิ้มอย่างปลาบปลื้ม ในใจของผู้เฒ่า ป๋ายเลี่ยนซวงแห่งจวนหนิงเหมือนจะไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย ยังคงมีรูปโฉมเป็นเด็กสาวที่สีหน้าเย็นชาคนนั้น ในอดีตบางครั้งที่พบเจอกันโดยบังเอิญ นางก็นึกรำคาญที่เจียงฉู่มองนาง แต่กระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังแอบมองอยู่หลายที
แม่นางน้อยซุนฉวีกลับไปยังเรือนหลังใหญ่บนถนนอวี้ฮู่ ซุนจ่าวน้องสาวที่มีนิสัยหยิ่งยโสซึ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่มานานแล้วเป็นฝ่ายมาชวนพี่สาวอย่างนางคุยอย่างที่หาได้ยาก ถามนางว่าวิชาหมัดของอิ่นกวานหนุ่มร้ายกาจอย่างที่เล่าลือกันจริงๆ หรือ? ยังถามซุนจ่าวด้วยว่ารู้หรือไม่ว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นใช้กำลังของคนคนเดียวโจมตีให้ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ห้าคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างล่าถอยไปได้อย่างไร? ยังถามอีกว่าเจ้าหมอนั่นมาป้อนหมัดให้เจ้าทุกๆ สามวันห้าวันจริงหรือ? คำถามของซุนจ่าวมีเยอะมาก ซุนฉวีรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง ซุนจ่าวที่หงุดหงิดจึงกลอกตามองบนใส่พี่สาว ฝึกวิชาหมัดแล้วยังอืดอาดยืดยาดแบบนี้อีก สุดท้ายสองพี่น้องนั่งเคียงบ่ากันบนราวรั้ว ซุนจ่าวบังคับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตให้บินวนไปรอบกายของคนทั้งสอง ซุนฉวีตอบคำถามของน้องสาวไปทีละข้อ คล้ายกับลูกศิษย์ที่กำลังเผชิญหน้ากับอาจารย์
ซุนฉวีถามหยั่งเชิง “ข้าเล่าเรื่องปีศาจจิ้งจอกเฒ่าแต่งงานกับเทพภูเขารับภรรยาให้เจ้าฟังดีไหม?”
ซุนจ่าวมีสีหน้าไม่แยแส แต่ปากกลับเอ่ยว่า “ข้าจะลองฟังดูแล้วกัน”
ผลคือกระทั่งผู้อาวุโสในบ้านมาเรียกให้ซุนจ่าวไปฝึกกระบี่ แม่นางน้อยถึงได้กระโดดลงจากราวรั้ว ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่าเรื่องเล่านี้ไม่เห็นจะสนุกเลย แล้วถึงวิ่งไปฝึกกระบี่