บทที่ 671.3 ถูกใต้หล้าสยบกำราบ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หยวนจ้าวฮว่าเด็กชายตัวปลอมกลับไปถึงบ้านก็เล่าเรื่องการฝึกวิชาหมัดให้มารดาฟัง เรื่องจุกจิกยิบย่อยแค่ไหนก็เล่าหมด มีเพียงความยากลำบากในการฝึกวิชาหมัดเท่านั้นที่นางไม่เอ่ยถึง สุดท้ายหยวนจ้าวฮว่ารู้สึกเสียใจเล็กน้อย บอกว่านางอิจฉาเจียงอวิ๋นกับสวี่กงมากที่ฝึกหมัดได้อย่างราบรื่น แล้วก็อิจฉาพี่หญิงกวอที่สะพายหีบไม้ไผ่คนนั้นด้วย สตรีออกเรือนแล้วไม่รู้ว่าควรจะปลอบนางอย่างไร จึงโอบบุตรสาวเข้ามาในอ้อมอก คลี่ยิ้มอ่อนหวาน เรียกชื่อบุตรสาวของตัวเองอย่างอ่อนโยน

เพื่อนรักสามคนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เวลานี้กำลังกินข้าวอยู่ในบ้านที่ตรอกเหมิงมู่ของสวี่กง บ้านของสวี่กงไม่มีผู้อาวุโสอยู่แล้ว ทว่าจางผานกับถังชวี่แห่งตรอกถงเฉียนกลับไม่ใช่ ญาติในตระกูลของทั้งสองต่างก็ทำงานอยู่ที่หอโอสถ สวี่กงเองก็เป็นเพื่อนกับจางเจียเจินที่ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เงียบๆ เช่นกัน พวกเขามักจะไปทำงานระยะสั้นร่วมกันบ่อยๆ จางเจียเจินโตกว่าพวกเขาสามคนหลายปี

แม้ว่าทั้งสามคนจะเป็นเพื่อนรักกัน แต่นิสัยกลับแตกต่าง นับแต่เด็กมาสวี่กงก็เป็นคนสุขุมหนักแน่น จางผานที่บ้านมีฐานะดีที่สุด กลับเป็นคนที่ขี้ขลาดที่สุด ส่วนถังชวี่เป็นคนที่มีความคิดแผลงๆ มากที่สุด

ถังชวี่หัวเราะคิกคักถามว่า “พวกเราจะดื่มเหล้าได้เมื่อไหร่กันนะ?”

จางผานรีบพูดทันที “เพิ่งจะฝึกวรยุทธ ห้ามดื่มเหล้าเด็ดขาด หากป๋ายหมัวมัวรู้เข้า พวกเราต้องถูกซ้อมปางตายแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะถูกไล่ออกมาด้วย”

ถังชวี่เบ้ปาก “ทุกครั้งที่อาจารย์เฉินมานั่งมองพวกเราฝึกวิชาหมัดไกลๆ ตรงราวรั้ว เวลาเขาดื่มเหล้าดูสง่างามจะตายไป ว่ากันว่ากาเหล้าของอาจารย์เฉินคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่ง ข้าอยากได้ชะมัดเลย”

สวี่กงเอ่ย “นั่นเป็นอาจารย์เฉินนี่นา พวกเราทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก เรียนวิชาหมัดให้ได้ดี ให้โตก่อนค่อยว่ากัน แต่ที่พวกเราดื่มเหล้าไม่ได้ สรุปแล้วเป็นเพราะอะไรกันแน่?”

สวี่กงหยุดชะงักไปครู่ ก่อนที่คนทั้งสามจะตะโกนกลั้วเสียงหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน “เพราะไม่มีเงิน!”

เซียนกระบี่ผู้อาวุโสต่งซานเกิงมายืนอยู่นอกประตูเรือนหลังหนึ่งของบ้านตัวเอง

ที่นี่เคยเป็นที่พักของต่งกวานพู่หลานชายของเขา

ต่งกวานพู่ถูกเฉินชิงตูสังหารกับมือตัวเอง

ต่งปู้เต๋อและต่งฮว่าฝูสองคนมาอยู่ด้านหลังบรรพบุรุษของตัวเอง ไม่รู้ว่าเหตุใดบรรพบุรุษถึงเรียกพวกเขามาที่นี่

ต่งซานเกิงถาม “เจ้าเด็กซานชิวนั่นก็ดีมาก ทำไมเจ้าถึงไม่ชอบเขาล่ะ?”

ต่งปู้เต๋อเอ่ย “อันที่จริงก็ชอบ”

ต่งซานเกิงพยักหน้า ไม่รู้สึกประหลาดใจ

มีเพียงต่งฮว่าฝูที่ยังไม่เข้าใจอะไร ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ พี่สาวถึงได้เปลี่ยนใจ

ต่งซานเกิงเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ไปบอกซานชิวตรงๆ ไม่มีอะไรให้ต้องลำบากใจ”

ต่งปู้เต๋อส่ายหน้า “ไม่อยากพูด ไม่เห็นหน้าก็ยังชอบ แต่พอเห็นหน้าเขาแล้วรำคาญ”

ต่งซานเกิงหันมาถลึงตาใส่ “ดูความดื้อดึงของเจ้านี่สิ สมกับเป็นสตรีจริงๆ”

ต่งปู้เต๋อกลอกตามองบน

ต่งซานเกิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ช่วยไม่ได้ เห็นเจ้ากับซานชิวแล้วก็มักจะรู้สึกว่าเจ้าคือบุรุษ เขาคือสตรี”

จากนั้นผู้เฒ่าก็หุบยิ้ม “ในเมื่อคิดได้แล้วก็อย่าเก็บซ่อนไว้อีกเลย”

ต่งปู้เต๋อส่ายหน้า ยังคงดื้อดึงอยู่มาก

ต่งซานเกิงจึงไม่ฝืนใจนางอีก พวกลูกหลานย่อมมีโชควาสนาของลูกหลาน การรวมตัวและการแยกย้ายกันชั่วคราวของเด็กๆ พวกนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกับคนแก่

ต่งซานเกิงมองไปยังต่งฮว่าฝูแล้วถามว่า “เจ้าไม่มีแม่นางที่ชอบบ้างหรือ?”

ต่งฮว่าฝูส่ายหน้า ตอบอย่างฉับไว “ไม่ว่าง”

ต่งซานเกิงหัวเราะอย่างฉุนๆ “แต่มีเวลากินดื่มอยู่เปล่าๆ ทุกวันหรือ?”

ต่งฮว่าฝูพยักหน้า “อาเหลียงบอกว่าชีวิตนี้เขาเคยเห็นคนมหัศจรรย์และเรื่องราวประหลาดมานับไม่ถ้วน แต่ยังไม่เคยเห็นใครที่ออกท่องยุทธภพแล้วไม่ใช้เงินสักเหรียญ นับแต่โบราณก็ไม่เคยมี ข้าทำได้แล้ว ก็ต้องรักษาไว้ให้ได้”

ต่งซานเกิงถาม “ดูท่าเจ้าจะภาคภูมิใจมากนะ?”

ต่งฮว่าฝูพยักหน้ารับ

ต่งซานเกิงจุ๊ปาก “ขี้เหนียวแบบนี้ วันหน้าหากเจ้าหาเมียได้ ข้าจะใช้แซ่ตามเจ้าเลย”

ต่งปู้เต๋อไม่อยากฟังหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กคู่นี้ลับฝีปากกันจริงๆ จึงถามว่า “พวกเรามาทำอะไรที่นี่หรือ”

ต่งซานเกิงเอ่ย “อายุน้อยเกินไป กับอายุมากแล้ว ล้วนง่ายที่จะจดจำเรื่องราวไม่ได้ ดังนั้นจึงเรียกพวกเจ้ามาดูที่นี่”

ต่งปู้เต๋อกล่าว “ตระกูลต่งเสียชื่อเสียง ข้าเป็นสตรีคนหนึ่งย่อมช่วงชิงมาไม่ได้ แบกรับไม่ไหว ต้องอาศัยถ่านดำแล้วล่ะ”

ต่งซานเกิงยิ้มเอ่ย “ไม่ใช่เรื่องนี้เลย ตระกูลต่งยังไม่ตกต่ำถึงขั้นต้องให้เด็กอย่างพวกเจ้าสองคนมาช่วยกอบกู้หน้าตา แค่ต้องการให้พวกเจ้าสองคนจำไว้ว่า วันหน้าไม่ว่าทำอะไรอย่าได้เข้าใจว่าจะต้องเป็นอย่างที่ตัวเองคิดเสมอ”

ที่ร้านเหล้าของเตี๋ยจ้างมีผีขี้เหล้าที่ไม่ใช่ชายโสดคนหนึ่งมาเยือน เป็นคนหน้าใหม่ ผลคือถูกผู้ฝึกกระบี่กลุ่มหนึ่งตะโกนแซวขึ้นมาว่า ‘รีบส่งงาน’

ทำเอาผีขี้เหล้าคนนั้นโมโหหนัก สั่งเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ไปหลายกา แล้วหันกลับมาด่าพวกคนโสดทั้งหลายว่าไม่มีโอกาสแม้แต่จะรีบส่งงาน

เด็กหนุ่มเด็กสาวที่ทำหน้าที่เป็นลูกจ้างร้านต่างก็มึนงง คำพูดเมามาย คำพูดสัปดนเคยได้ยินมาไม่น้อย ทว่าคำพูดที่เป็นทางการแบบนี้กลับเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

เด็กหนุ่มไปถามลูกค้าที่คุ้นเคยกันดีถึงพลันกระจ่างแจ้ง เด็กสาวเองก็สงสัยใคร่รู้จึงแอบมาถามเขา เด็กหนุ่มกลับหน้าแดงน้อยๆ ส่ายหน้าอย่างแรงบอกว่าไม่รู้

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งที่ช่วงสองปีมานี้แต่งกลอนได้ราวกับมีเทพช่วยทอดถอนใจกับสหายคนใหม่ที่เขาลากตัวมาดื่มเหล้าที่นี่ “เจ้าชาติสุนัขบางคนเคยบอกว่า มีคนสองประเภทที่ต้องระวังไว้ให้ดี นั่นคือคนที่ปกติดื่มเหล้าไม่เคยเมา ไม่ควรไปหาเรื่อง อีกอย่างคือคนที่ถูกรังแกจนชินแต่กลับไม่เคยขอร้อง ก็อย่าไปรังแก เจ้ารู้สึกว่ามีเหตุผลหรือไม่?”

สหายคนหนึ่งถามขึ้นมาตรงๆ อย่างไม่รู้กาลเทศะ “ชาติสุนัขคนไหนล่ะ อาเหลียงหรือว่าเถ้าแก่รอง?”

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโบกมือบอกปัดทันที “พูดจาเหลวไหลอะไร เตี๋ยจ้าง เอาเหล้ามาอีกกา ข้าต้องดื่มสุราลงทัณฑ์กับสหายหลายๆ ชามเสียหน่อย”

ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ดีๆ ก็ต้องควักเงินจ่ายค่าเหล้าอีกกาคนนั้นพยักหน้ารับ “ยามอยู่บนโต๊ะเหล้า แม้ดื่มเหล้าเมามายก็ยังนิ่งเฉย ยามอยู่บนสนามรบ ถูกซ้อมแล้วก็ยังไม่ร้องสักแอะ คำพูดนี้หมายถึงเถ้าแก่รองของเรานี่นา ถ้าอย่างนั้นคนที่พูดหลักการข้อนี้ก็น่าจะเป็นอาเหลียงแล้ว บัณฑิตพวกนี้ชอบพูดจาวกไปวนมา ชวนให้คนสับสนยิ่งนัก มาๆๆ ฉวยโอกาสตอนที่เจ้าชาติสุนัขทั้งสองต่างก็ไม่อยู่ พวกเรามาดื่มให้มากด่าให้มาก เงินค่าเหล้าข้าไม่ออก แต่คำด่าคนมีหนึ่งประโยคก็นับหนึ่งประโยค ล้วนจดลงบัญชีของข้าไว้ ต่อให้อาเหลียงกับเถ้าแก่รองมาอยู่ตรงหน้าข้า ข้าผู้อาวุโสก็จะยังพูดอย่างนี้! หากพูดถึงความคอแข็ง สองคนนั้นรวมกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!”

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอึ้งตะลึง “เจ้าเองก็ใช่เหมือนกันรึ?”

ผีขี้เหล้าผู้นั้นคลี่ยิ้มอย่างรู้ใจ แสร้งทำท่าเป็นลึกลับสูงส่ง

บนถนนนอกประตูจวนหนิง ผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยสีหน้าซับซ้อน ราวกับไม่รู้ว่าควรจะเคาะประตูดีหรือไม่ สุดท้ายผู้เฒ่าก็ถอนหายใจ ย้อนกลับไปยังตระกูลเหยา

ตรงกระท่อมหลังเล็กบนหัวกำแพงเมือง จิตใจของเว่ยจิ้นเกิดความวุ่นวาย จึงไม่ตั้งใจหล่อเลี้ยงกระบี่อีก

เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมายืนอยู่ด้านข้าง ยิ้มเอ่ยว่า “คิดแล้วก็ไม่เคยเข้าใจ ดื่มเหล้ามีอะไรดี”

เว่ยจิ้นรีบลุกขึ้นยืน “ดื่มเหล้าอาจไม่แน่เสมอไปว่าจะดี บางทีอาจเป็นแค่ความเคยชินเท่านั้นเอง”

เฉินชิงตูมองไปยังนครที่อยู่ทางทิศเหนือ เอ่ยว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมกิจการร้านเหล้าในกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงดีที่สุด?”

เว่ยจิ้นมองไปยังนครพร้อมกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส พยักหน้าเอ่ยว่า “ผู้ฝึกกระบี่มีเยอะเกินไป สถานที่เล็กเกินไป ราวกับว่ามีเพียงการดื่มเหล้าเท่านั้นถึงสามารถดับกระหายได้ อยู่ที่ใต้หล้าไพศาล สถานที่ที่ใหญ่เพียงแค่นี้ อย่างมากสุดก็เป็นได้แค่สถานที่ฝึกตนของเซียนกระบี่หนึ่งถึงสองท่านเท่านั้น”

เว่ยจิ้นถาม “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ทำไมถึงต้องการให้ข้ากลับไปแจกันสมบัติทวีป ไม่ใช่ไปฝูเหยาทวีป? สาเหตุเป็นเพราะขอบเขตของข้าไม่สูงมากพอหรือ? อันที่จริงข้าสามารถช่วยเหลือเซียนกระบี่บางท่านได้”

เฉินชิงตูเอ่ย “ใช่ แล้วก็ไม่ใช่”

เว่ยจิ้นจนใจ

เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสวางท่าชัดเจนว่าไม่ยินดีจะพูดมากไปกว่านี้ เขาเองก็ไม่กล้าถามมาก

เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลัง เดินเล่นไปเพียงลำพัง

ก่อนหน้านี้สิบคนในอันดับมารวมตัวอยู่บนหัวกำแพง อันที่จริงมีการเรียงลำดับก่อนหลัง

ฉีถิงจี้มาถึงก่อน

เฉินชิงตูบอกกับเขาแล้วว่า ฉีถิงจี้ เจ้าสามารถรักษาขอบเขตและตบะเอาไว้เพื่อไปก่อพรรคตั้งสำนักที่ฝูเหยาทวีปได้ ก่อนจะจากไปจงเอาความสามารถที่แท้จริงออกมาสักหน่อย หากยังทำตัวเลอะเลือนต่ออีกก็ไม่ต้องไปฝูเหยาทวีปแล้ว

ฉีถิงจี้ถามว่าเหตุใดตนถึงไม่ได้ไปอุตรกุรุทวีป

เฉินชิงตูยิ้มเอ่ยเจ้ามีหน้าไปอุตรกุรุทวีปด้วยหรือ?! ไม่พูดถึงหานไหวจื่อ พูดถึงแค่ลี่ไฉ่ที่เป็นแค่ขอบเขตหยกดิบ เจ้าฉีถิงจี้สู้ได้หรือ? นอกจากที่ในกางเกงเจ้ามีไอ้จ้อนแล้ว ยังจะมีอะไรสู้สตรีผู้นั้นได้อีก?

ฉีถิงจี้เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า ‘ในบรรดาลูกหลานของตระกูลฉีทั้งหมดที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ข้าจะพาฉีโซ่วไปแค่คนเดียว!’

‘เขาจะไปที่อื่นกับน่าหลันเซาเหว่ย เจ้าพาเขาไปไม่ได้’

ฉีถิงจี้ถอนหายใจยาวเหยียด

เขาไม่กล้าต่อรองราคากับเฉินชิงตูจริงๆ

ในสายตาของเฉินชิงตู ฉีถิงจี้ผู้นี้คือคนที่เหมือนผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้าไพศาลมากที่สุด เลือกฉีโซ่วเป็นผู้สืบทอดควันธูปก็เพราะเห็นดีในคุณสมบัติของฉีโซ่ว

เพียงแต่ว่านอกจากจะต่อรองราคาแล้ว ฉีถิงจี้ยังมีคำพูดบางอย่างที่หากไม่พูดคงอัดอั้นอยู่ในใจ

เป็นครั้งแรกที่ฉีถิงจี้เอ่ยเรียกชื่อของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสตรงๆ ‘เฉินชิงตู มองเห็นผู้ฝึกกระบี่มากมายขนาดนั้นมาตายอยู่ที่นี่คาตาตัวเอง เจ้าไม่รู้สึกละอายใจสักนิดเลยหรือ? เพียงแค่เพราะสองคำว่าผู้ฝึกกระบี่เท่านั้นหรือ?’

เฉินชิงตูหลุดหัวเราะพรืด ‘หากไม่มีข้าอยู่ จะมีพวกเจ้าได้หรือ? ใครมาก่อนมาหลัง แค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจ? เจ้าควรจะเปลี่ยนไปใช้แซ่ต่งจริงๆ’

จากนั้นเฉินชิงตูก็คร้านจะพูดจาเปลืองน้ำลายกับฉีถิงจี้อีก เขาเรียกคนที่สองมาแล้วใช้เสียงในใจพูดคุยกับคนผู้นั้นต่ออีกครั้ง

เฉินซีไปเยือนใต้หล้าแห่งที่ห้า แต่จำเป็นต้องตายเพื่อละทิ้งเปลือกร่างนี้ เมื่อเกิดใหม่ก็จะเข้าใจเรื่องราวตั้งแต่เกิด ในฐานะลูกหลานสุกลเฉิน เฉินซีจำเป็นต้องมีคำอธิบายในเรื่องนี้ให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่

ตอนนั้นเฉินซีถามเพียงว่า ซานชิวจะทำอย่างไร?

เฉินชิงตูบอกว่าไปอยู่ใต้หล้าไพศาล

เฉินซีถามอีกว่า เฉินซานชิวจะไปกับใคร

เฉินชิงตูกลับไม่ได้ตอบคำถาม

จากนั้นก็เป็นต่งซานเกิง เฉินชิงตูถามเขาว่าไม่เสียใจภายหลังจริงๆ หรือ

ต่งซานเกิงบอกเพียงว่านับแต่ครั้งแรกที่จับกระบี่ยามเยาว์วัย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไปในชีวิตนี้ล้วนไม่เคยมีเรื่องไหนที่เขาเสียใจภายหลัง

เฉินชิงตูยิ้มถาม ‘ได้ยินอาเหลียงบอกว่าตอนที่เจ้าบุกไปใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เคยมีสาวงามคนรู้ใจอยู่มากมาย แล้วก็ให้กำเนิดบุตรนอกสมรสเป็นพรวน?’

ต่งซานเกิงด่าเสียงดังลั่น

ผลคือเฉินชิงตูตอบกลับมาด้วยประโยคหนึ่งว่า ‘ขนาดด่าคนยังด่าไม่เป็น มิน่าเล่าผลสำเร็จจึงมีจำกัด’

ต่อจากนั้นลู่จือ เฒ่าหูหนวก น่าหลันเซาเหว่ยก็ทยอยกันถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเรียกขึ้นไปบนหัวกำแพง

น่าหลันเซาเหว่ยเองก็จำเป็นต้องสละร่างไปเกิดใหม่ เพียงแต่ว่าจะไปอยู่ใต้หล้ามืดสลัว

เฒ่าหูหนวก ในสงครามใหญ่ขอบเขตถดถอยไปหนึ่งขั้น จึงสามารถกลับคืนไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หากอยากจะไปใต้หล้าไพศาลก็ไม่มีใครขัดขวาง

เฒ่าหูหนวกบอกว่าตนอยากไปใช้แรงงานอยู่กับเฒ่าตาบอด สบายใจ สงบมั่นคง

ส่วนลู่จือนั้นมีแผนการมานานแล้ว นางจะพาถัวเหยียนฮูหยินไปเยือนทักษินาตยทวีปด้วยกัน ส่วนใบถงทวีปก็มีจั่วโย่วอยู่ ฝูเหยาทวีปมีฉีถิงจี้

สุดท้ายถึงเป็นอาเหลียงกับเฉินผิงอัน

เวลานี้เฉินชิงตูนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เป็นอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าเด็กนั่นสบายเกินไปแล้ว แบบนี้ไม่เข้าท่าเท่าไร

ผู้เฒ่าจึงเอ่ยกับเฉินผิงอันที่ตอนนี้อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนว่า “เจ้าไปหาเฒ่าหูหนวกสักหน่อย ไปทำเรื่องที่เป็นหน้าที่ของเจ้า วางใจเถอะ เป็นเรื่องดี วันหน้าจะได้ไม่ต้องอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ กลายเป็นว่าไม่ทันระวังทำให้จิตแห่งมรรคาแหลกสลาย”

เฉินผิงอันกำลังจะถามว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ก็ถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสโยนมาหน้าประตูคุกที่เฒ่าหูหนวกเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์แล้ว

เห็นสายตาเวทนาจากเฒ่าหูหนวก เฉินผิงอันก็รู้ว่าต้องไม่ใช่การฝึกหมัดหล่อเลี้ยงกระบี่อย่างที่อาเหลียงพูดถึงก่อนหน้านี้แน่นอน

ต้องเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่เกิดความคิดขึ้นมากะทันหัน เฉินผิงอันรู้สึกได้ถึงลางร้าย

เฒ่าหูหนวกไม่พูดไม่จาก็คลายพันธนาการพาอิ่นกวานหนุ่มเดินเข้าไปในคุก

อาเหลียงรีบร้อนวิ่งโร่มาตำหนิ “บ้าไปแล้วหรือไร?! หากทำอย่างนี้ เขาจะต้องถูกมหามรรคาของทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างสยบกำราบ!”

เฉินชิงตูยิ้มเอ่ย “เรื่องเล็กแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ ขนาดข้ายังทนมาตั้งหมื่นปีแล้ว”