บทที่ 672.1 อากาศหนาวใส่เสื้อผ้าหนา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

กระท่อมของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสตลอดทั้งปีแทบไม่มีแขกมาเยือน ทว่าอริยะสามลัทธิกลับมีผู้ฝึกกระบี่ไปเยี่ยมหาบ่อยๆ

ยกตัวอย่างเช่นโฉวเหมียวที่มักจะไปพูดคุยเรื่องการปกครองกับอริยะลัทธิขงจื๊อเป็นประจำ พวกนักปราชญ์และวิญญูชนของสายหลี่เซิ่งและสายหย่าเซิ่งแห่งลัทธิขงจื๊อที่รับหน้าที่เป็นขุนนางผู้ตรวจตราการศึก ขุนนางผู้บันทึกเหตุการณ์ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเซียนกระบี่โฉวเหมียว

ในอดีตผังหยวนจี้ก็มักจะไปพูดคุยภาษาธรรมกับอริยะลัทธิขงจื๊อ ทำความเข้าใจกับสัจธรรมแห่งคดีของนิกายฉาน (นิกายเซน)

ไม่เพียงแค่ลูกรักแห่งสวรรค์อย่างโฉวเหมียว ผังหยวนจี้เท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปต่างก็ยินดีไปเยือนสองปลายฝั่งของหัวกำแพงเมืองเพื่อพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับเหล่าอริยะ หากใช้คำกล่าวของอาเหลียงก็คือไปแตะกลิ่นอายเซียนพุทธะ กลิ่นอายแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงตรงของเหล่าอริยะ หากไปอยู่ใต้หล้าแห่งอื่น บุคคลยิ่งใหญ่ที่มีวิชาอภินิหารเลิศล้ำสูงส่งเช่นนี้ใช่ว่าจะพบเจอได้ง่ายๆ

มีเพียงอริยะลัทธิเต๋าที่เฝ้าพิทักษ์อยู่บนจุดสูงสุดของม่านฟ้าเท่านั้นที่ได้ฝึกตนอย่างสงบสุข เป็นเหตุให้แขกที่มาเยี่ยมเยือนค่อนข้างน้อย โดยทั่วไปแล้วหากเซียนกระบี่ไม่มีอะไรทำก็จะขี่กระบี่ไปถามถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของใต้หล้ามืดสลัวจากเขา

วันนี้บนทะเลเมฆ บนเข่าของนักพรตเฒ่าวางไม้ปัดฝุ่นหางกวางพาดไว้ ใช้ปัดเป่าสิ่งสกปรกคลายความร้อน แสดงถึงความเปิดกว้างถ่อมตัว เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม้ปัดฝุ่นอันนี้กลับเหลือแค่ด้ามยาวหยกขาวแล้ว

เป็นทั้งอาวุธเซียน แล้วก็ยิ่งเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต

อริยะของอีกสองลัทธิก็มีสภาพน่าอนาถไม่ต่างกัน สร้างแม่น้ำยาวสีทองสามครั้ง ช่วยให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ตัดแบ่งสนามรบ หากไม่จ่ายค่าตอบแทนเสียเลย คิดจริงๆ หรือว่าพวกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เหล่านั้นเป็นแค่ถังข้าว

นักพรตเฒ่าลืมตามองไป อาเหลียงมาแล้ว

นักพรตเฒ่าจึงได้แต่ฝืนทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า

มองดูแล้วเจ้าหมอนั่นอารมณ์ไม่ดี คาดว่าคงไปเสียเปรียบให้กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมา

อาเหลียงนอนคว่ำอยู่บนทะเลเมฆ กำหมัดเบาๆ ต่อยให้ทะเลเมฆเป็นรูเล็กๆ ทำให้มองเห็นเค้าโครงของนครได้อย่างเลือนรางพอดี จากนั้นเขาก็ควักเอาก้อนหินธรรมดาที่ไม่รู้ว่าไปเก็บมาจากไหนออกมากำใหญ่แล้วโยนลงไปด้านล่างทีละก้อน พละกำลังที่ใช้ในแต่ละครั้งแตกต่างกันไป ล้วนมีข้อพิถีพิถัน

เซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนที่กำลังงีบหลับอยู่ในระเบียงได้ยินเสียงหินหล่นกระทบบนหลังคา

ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่กำลังประทินโฉมอยู่หน้ากระจกก็ได้ยินเสียงก้อนหินกระทบผ้าม่าน

ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มที่กำลังฝึกกระบี่อยู่ในลานบ้านบนถนนอวี้ฮู่ ปลายกระบี่ถูกหินหล่นมากระแทก ทำเอาเขาตกใจสะดุ้งโหยง

บนโต๊ะเหล้าของร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งที่กำลังด่าคนอื่นจนน้ำลายแตกฟองมีหินก้อนหนึ่งเพิ่มเข้ามาในถ้วยเหล้า ก็รีบเปลี่ยนจากด่าคนเป็นชมคนทันที เปลี่ยนสีหน้าได้อย่างราบรื่นดังใจปรารถนา ไม่มีสะดุดติดขัด

นักพรตเฒ่าเห็นจนชินแล้ว เมื่อร้อยปีก่อน เรื่องที่เกินควรยิ่งกว่านี้มีเยอะแยะไป

เคยมีคู่รักเทพเซียนคู่หนึ่งกำลังอยู่ในช่วงค่ำคืนวสันต์มีค่าเท่าทองพันชั่ง ผลคือเกิดความเคลื่อนไหวเล็กๆ บนหลังคา บนกระเบื้องเกิดริ้วกระเพื่อม นาทีถัดมาตรงจุดอื่นก็มีความเคลื่อนไหวเล็กๆ เกิดขึ้นอีก ราวกับว่ามีคนรู้สึกได้ว่าร่องรอยของตัวเองถูกเปิดเผยจึงรีบหลบหนีไปไกล บุรุษเดือดดาลอย่างหนัก หยิบเสื้อมาสวมเดินเท้าเปล่าไปชักกระบี่ออกจากฝัก กระโดดขึ้นบนกำแพงลานบ้าน กลับเห็นเพียงว่าเรือนหลังหนึ่งมีริ้วกระเพื่อมหลงเหลืออยู่ บุรุษจึงถือกระบี่ไล่ตามไป คิดไม่ถึงว่าตรงนั้นก็มีคู่รักเทพเซียนกำลังคลอเคลียกันอยู่เหมือนกัน พอบุรุษออกมาจากบ้านแล้วเห็นเจ้าคนที่อยู่ดีๆ สมองก็ผิดปกติผู้นั้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เอ่ยทักทายบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของฝ่ายตรงข้ามก่อน จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ลงมือต่อสู้กันอย่างดุเดือด

ตอนนั้นบนทะเลเมฆก็มีบุรุษคนหนึ่งนอนกระดกก้นมองดูเรื่องสนุกเหมือนอย่างในเวลานี้

อาเหลียงปัดมือ เอาฝ่ามือพลิกก้อนเมฆมากลบ ทะเลเมฆที่เป็นรูก็กลับมาราบเรียบดังเดิม

นักพรตเฒ่าถามคำถามหนึ่งที่เขาสงสัยใคร่รู้ตลอดมา “อาเหลียง ผู้ฝึกตนอย่างข้าผู้เป็นนักพรตก็ดี เซียนกระบี่ของที่แห่งนี้ก็ช่าง เมื่ออายุมากแล้วก็แทบจะไม่มีความสนใจใดๆ ต่อเรื่องราวทางโลกที่อยู่นอกเหนือจากการฝึกตน เจ้าทำอย่างไรถึงสามารถทำตัว…น่าเบื่อแบบนี้ได้ตลอด?”

ยิ่งเป็นผู้ฝึกตนที่ค้นหามหามรรคาให้ก้าวเดิน ก็ยิ่งยินดีตั้งใจฝึกตนมากเท่านั้น นับประสาอะไรกับที่เดิมทีการฝึกคาถาเทพเซียนก็ไม่ควรวอกแวกไปสนใจเรื่องอื่นอยู่แล้ว

อาเหลียงทิ้งตัวไปด้านหลัง นอนหงายอยู่บนทะเลเมฆ ยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง “ฝึกบำเพ็ญตบะเพื่อความเป็นอมตะอย่างยากลำบาก พอเป็นอมตะแล้ว พวกเรายังสามารถทำอะไรได้อีกล่ะ”

นี่เป็นคำถามที่ธรณีประตูสูงมาก

กับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปไม่สามารถพูดคุยเรื่องนี้ได้ กับเซียนกระบี่ในท้องถิ่นของที่นี่ก็ยิ่งไม่อาจคุยเรื่องนี้

แต่พูดคุยเรื่องนี้กับนักพรตเฒ่านั้น ยังพอจะทำได้

เพราะถึงอย่างไรยอดฝีมือของลัทธิเต๋าท่านนี้ก็เป็นลูกศิษย์คนแรกของเจ้าลัทธิใหญ่แห่งใต้หล้ามืดสลัว แล้วยังเป็นเจ้านครแห่งหนึ่งของป๋ายอวี้จิงด้วย เทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัวคนนั้นมีลำดับอาวุโสเท่าเทียมกับเขา แต่ตบะและมรรคกถากลับยังด้อยกว่าระดับหนึ่ง

นักพรตเฒ่ายิ้มเอ่ย “ข้าผู้เป็นนักพรตมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้วนี่นา”

อาเหลียงลุกขึ้นยืน โยนวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งไปให้นักพรตเฒ่า ลักษณะของมันคล้ายป้ายคำสั่งของลัทธิเต๋า เฉินผิงอันไหว้วานให้เอาเหลียงนำมามอบต่อให้นักพรตเฒ่า

ที่ทับกระดาษไม้ลักษณะเป็นทรงยาว เมื่อหยิบขึ้นมาถือน้ำหนักเบามาก สลักอักขระโบราณ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว และสลักตัวอักษรหนึ่งบรรทัด ‘จอมทัพมีคำสั่ง ประทานไม้บรรทัดสยบกำราบ จุดที่จิตมุ่งไปตามใจปรารถนา ขุนเขาพังทลาย จงรีบมารับคำสั่ง ณ บัดนี้’

นักพรตเฒ่ารับป้ายคำสั่งมาแล้วก็นับนิ้วคำนวณ ก่อนจะพยักหน้า “เข้าใจๆ สมควรแล้ว สมควรแล้ว”

อาเหลียงยิ้มกล่าว “ทำนายได้จริงๆ หรือ?”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “ความหมายคร่าวๆ พอจะเข้าใจได้แล้ว”

อาเหลียงจึงใช้เสียงในใจบอกรายละเอียดแก่อีกฝ่าย นักพรตเฒ่าจดจำไปทีละข้อ “วันหน้าข้าจะแจ้งให้ทางภูเขาห้อยหัวทราบ”

เทพเซียนผู้เฒ่าลัทธิเต๋าท่านนี้ นอกจากจะมีความสามารถประจำตัวเป็นการอนุมานการทำนายแล้ว ยังเชี่ยวชาญวิชาการคิดวิเคราะห์ของสำนักโม่ เชี่ยวชาญศาสตร์แห่งตรรกะของลัทธิพุทธ

นักพรตเฒ่ามีสีหน้าลำบากใจ “อาเหลียง ข้าผู้เป็นนักพรตมีเรื่องอยากจะขอร้อง”

อาเหลียงยิ้มกล่าว “เรื่องเล็กๆ”

นักพรตเฒ่าลุกขึ้นยืน คารวะหมอบกราบอย่างนอบน้อม พิธีการนี้ไม่เล็กเลย อาเหลียงจึงได้แต่ลุกขึ้นยืนกุมหมัดคารวะกลับคืน

นักพรตเฒ่ากวาดตามองไปรอบด้าน ไม่จงใจกักกันริ้วคลื่นลมปราณที่อยู่เหนือทะเลเมฆอีก เขาทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า “บนโลกใบนี้จะมีสักกี่คนที่ครอบครองอำนาจความร่ำรวยอย่างแท้จริง ทุกอย่างล้วนเป็นมายาดุจภาพฝัน วันนี้ผ่านไปอีกวัน ชีวิตก็สั้นลงอีกวัน ประหนึ่งปลาในน้ำที่ลดน้อยลง ยังจะมีความสุขใดให้กล่าวถึง”

อริยะลัทธิพุทธยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กลางดึกน้ำเย็นปลาไม่กินอาหาร จะเป็นความชอบที่ว่างเปล่าได้อย่างไร ได้แต่บรรทุกแสงจันทร์กลับมาเต็มลำเรือ จะไม่ชอบได้อย่างไร”

อริยะลัทธิขงจื๊อพยักหน้า “สะบัดเสื้อกลางฝุ่น ได้เห็นพืชพรรณงอกงามยามฤดูใบไม้ผลิ ยืนอยู่ในดินโคลน ก็ยังได้เห็นดวงจันทร์เต็มดวงมิใช่หรือ”

อาเหลียงแกล้งทำเป็นเข้าใจ พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เค้นสมองครุ่นคิดอยู่นานกว่าจะกลั่นประโยคหนึ่งออกมาได้ “ค่ำคืนนี้ช่างงดงาม ข้าไม่นึกฝันว่าจะเจอคนงามที่นี่”

เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสหลุดหัวเราะพรืด “อาเหลียงเจ้าช่วยไว้หน้าบัณฑิตหน่อยเถอะ”

อาเหลียงหัวเราะร่าเสียงดัง ทำไมเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสถึงชมตนอีกแล้วเล่า ไม่รู้หรือไรว่าตนเป็นคนที่หน้าบางที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว?

……

อยู่ดีๆ เซียนกระบี่โฉวเหมียวก็รวบอำนาจมาไว้ที่ตัวเอง บอกว่าช่วงเวลาที่อิ่นกวานไม่อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน กิจธุระน้อยใหญ่ของสายอิ่นกวานจะมีเขาโฉวเหมียวเป็นผู้ตัดสินใจทั้งหมด

ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของคฤหาสน์หลบร้อนไม่มีความเห็นต่าง โฉวเหมียวเป็นคนที่คู่ควรแก่การเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นขอบเขต นิสัยใจคอ วิธีการ ล้วนโดดเด่นทุกเรื่อง คือคนที่นั่งเก้าอี้อันดับสองของสายอิ่นกวานที่ได้รับการยอมรับจากทุกคน เฉินผิงอันไม่อยู่ ก็ได้แต่ให้โฉวเหมียวมาเป็นผู้แบกรับภาระนี้แล้ว

กู้เจี้ยนหลิงกับหวังซินสุ่ย เฉากุ่นกับเสวียนเซิน เจ้าคนสี่คนที่ถูกต่งปู้เต๋อแต่งตั้งให้เป็นสุนัขรับใช้ใหญ่สี่ตัวใต้บังคับบัญชาของอิ่นกวาน เวลานี้รู้สึกเป็นกังวลอย่างที่หาได้ยาก

ตลอดเวลาหลายปีที่อยู่ร่วมกันมานี้ พวกเขาเคยชินที่ได้เห็นใต้เท้าอิ่นกวานนั่งอยู่บนตำแหน่งนั้นแล้ว ไม่ว่าสถานการณ์การสู้รบจะอันตรายเพียงใด ต่อให้เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรก็ยังทำให้จิตใจคนสงบได้หลายส่วน ดูจากท่าทางนี้ ช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้อิ่นกวานหนุ่มคงไม่ค่อยได้กลับมาที่คฤหาสน์หลบร้อนแล้ว

ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเฉินผิงอัน กวอจู๋จิ่วกลับเอ่ยถามเซียนกระบี่โฉวเหมียวแค่ว่า อาจารย์ของนางแอบไปสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานอีกแล้วหรือไม่

โฉวเหมียวตอบว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

เขารู้แค่ว่าเฉินผิงอันไปที่คุกของเฒ่าหูหนวก

โฉวเหมียวยังบอกว่าจะเลี้ยงเหล้าทุกคน ไม่เมาไม่กลับ

สายของอิ่นกวาน นอกจากหลินจวินปี้ที่เดินทางกลับบ้านเกิดไปก่อน และใต้เท้าอิ่นกวานที่ละทิ้งหน้าที่โดยพลการแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนล้วนไปที่ร้านเหล้าของเตี๋ยจ้าง

ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นอย่างเติ้งเหลียงรู้ดีว่าเซียนกระบี่โฉวเหมียวต้องการเลี้ยงอำลาล่วงหน้า เมื่อศึกใหญ่เปิดฉากขึ้น สายอิ่นกวานที่ผู้ฝึกกระบี่ลดน้อยลงไปทุกทีมีแต่จะยุ่งหัวไม่วางหางไม่เว้น คิดจะมาเลี้ยงเหล้าส่งพวกเขากลับบ้านเกิดก็คือเรื่องเพ้อฝัน

บังเอิญนัก

หนิงเหยา เฉินซานชิว เยี่ยนจั๋ว ต่งฮว่าฝู ฟ่านต้าเช่อต่างก็กำลังดื่มเหล้าอยู่ที่ร้านด้วย

อันที่จริงนอกจากต่งปู้เต๋อกับกวอจู๋จิ่ว ผู้ฝึกกระบี่สองฝ่ายอย่างสายอิ่นกวานและภูเขาลูกเล็กลูกนี้ต่างก็ไม่เคยพูดคุยคบค้ากันมาก่อน

เห็นต่งปู้เต๋อ นายน้อยตระกูลเฉินที่เดิมทีกำลังพูดคุยกับสหายนักดื่มโต๊ะด้านข้างอย่างสนุกปากกลับไม่เหลือท่าทางเจ้าเสน่ห์เสเพลแล้ว ระมัดระวังตัวจนเหมือนเด็กหนุ่มที่แอบมาดื่มเหล้าครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น

ต่งฮว่าฝูทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ท่าทางอึดอัดอย่างมาก

ต่งปู้เต๋อชำเลืองตามองน้องชายที่หมายจะผดุงความเป็นธรรม ต่งฮว่าฝูจึงได้แต่หุบปากโดยดี พอเห็นว่าเฉินซานชิวแทบจะเอาหน้าซุกเข้าไปในถ้วยเหล้า เขาก็รู้สึกละอายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ค่าเหล้าวันนี้อย่าให้เฉินซานชิวเป็นคนจ่ายดีกว่า ให้ฟ่านต้าเช่อเป็นคนจ่ายก็แล้วกัน

หมี่อวี้ที่นอนหลับอยู่บนเมฆาเรืองรอง อู๋เฉิงเพ่ยที่นั่งนิ่งๆ อยู่บนหัวกำแพงเมือง ผังหยวนจี้ที่ดื่มเหล้าแค่พอเมากรึ่มๆ เฉินซานชิวที่เมาทีไรชอบไปผลักกำแพง พวกเขาล้วนเป็นบุรุษรูปงามที่ขึ้นชื่อของกำแพงเมืองปราณกระบี่

เซียนกระบี่โฉวเหมียวนำพาผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานมานั่งลงแล้ว บรรยากาศในร้านเหล้าก็แปลกประหลาดไปเล็กน้อย เสียงเอะอะโวยวายลดน้อยลงไปกว่าเดิม

หนึ่งเพราะชื่อเสียงของโฉวเหมียวมีไม่น้อย คือเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนที่อายุน้อยที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผลงานการศึกห้าวหาญเลื่องลือ เคยติดตามอาเหลียงออกไปท่องหาประสบการณ์ในใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมานานแล้ว

นอกจากนี้ผู้ฝึกกระบี่ผู้ ‘เก็บเงิน’ อย่างพวกหลัวเจินอี้ สวีหนิงก็ขึ้นชื่อเรื่องความไม่เข้าพวก พวกเขาที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มีสถานะคล้ายทหารลาดตระเวนชายแดนของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ ระดับขั้นจึงคล้ายจะสูงกว่าผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปหนึ่งขั้น

และสายอิ่นกวานในทุกวันนี้ก็กุมอำนาจยิ่งใหญ่กว่า รู้เรื่องวงในมากกว่าผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานทุกกลุ่มที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์

ไม่มีใครชอบให้ความลับน้อยใหญ่ของตัวเองถูกเขียนลงบนกระดาษแล้วถูกคนอื่นพลิกอ่านตามใจชอบ

สุดท้ายยังมีเหตุผลที่สำคัญอีกข้อ ก็คือการดำรงอยู่ของผังหยวนจี้

เซียวสวิ้นอิ่นกวานคนก่อน ซึ่งก็คืออาจารย์ของผังหยวนจี้ เลือกที่จะใช้วิธีการที่น่าอับอายที่สุดออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วยังพาเซียนกระบี่สองท่านอย่างลั่วซาน จู๋อานจากไปด้วย

เซียวสวิ้นทิ้งผังหยวนจี้ให้ต้องอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง เหมือนที่นางทิ้งขว้างแผ่นหยกของอิ่นกวานแผ่นนั้นไว้ง่ายๆ

และทุกครั้งที่ผังหยวนจี้ออกจากเมืองไปเข่นฆ่าก็ล้วนเจอกับสถานการณ์น่าหวาดหวั่นแต่กลับไร้อันตราย ในฐานะผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่ง กลับไม่มีปีศาจใหญ่ตนใดจงใจเล่นงานเขา นี่จึงยิ่งทำให้คนอดคิดไปไกลไม่ได้

ผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานมีค่อนข้างมาก เตี๋ยจ้างจึงช่วยยกโต๊ะสองตัวมาประกบกันให้ด้วยตัวเอง

สองคนนั่งบนม้านั่งยาวตัวเดียวกัน

หลัวเจินอี้เหลือบมองหนิงเหยาคล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา

จิตของหนิงเหยาสัมผัสได้จึงหันมามองหลัวเจินอี้แวบหนึ่ง

กวอจู๋จิ่วสั่งเหล้าต้มมาหนึ่งกา เตี๋ยจ้างจึงหยิบเหล้าหมักข้าวกาเล็กมาให้แม่นางน้อยด้วยตัวเอง

กวอจู๋จิ่วรังเกียจเหล้าที่ถูกเรียกอย่างหยอกเย้าว่า ‘เหล้าของสตรี’ ชนิดนี้ ไม่องอาจแม้แต่น้อย นางต้องการดื่มเหล้าต้มที่ ‘ดื่มแค่เหล้าไม่ต้องพูด’ มากกว่า เตี๋ยจ้างยิ้มเอ่ยว่านี่เป็นความต้องการของอาจารย์เจ้า มาดื่มเหล้าที่นี่ เจ้าได้แต่ดื่มเหล้าชนิดนี้

กวอจู๋จิ่วจึงเปลี่ยนใจทันที