บทที่ 672.2 อากาศหนาวใส่เสื้อผ้าหนา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลังจากที่กิจการของร้านเหล้าขยายใหญ่ขึ้น นอกจากจะมีทั้งเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่แล้วก็ยังขายเหล้าต้มด้วย ภายหลังยังมีการแนะนำเหล้าข้าวหมักชนิดหนึ่ง เหล้าต้มที่ถูกเถ้าแก่รองตั้งชื่อว่า ‘เหล้าทะเลสาบคนใบ้’ นี้ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องการขาย ไม่ว่าจะเป็นคนมีเงินหรือไม่มีเงินก็ล้วนยินดีซื้อ ราคาต่ำ แถมรสชาติยังเข้มข้น ไม่เสียแรงที่เป็นเหล้าเผามีด เพียงแต่ว่าเหล้าข้าวหมักที่อ่อนนุ่มนั้นไม่เพียงแต่ขายราคาสูงไม่ได้ เตี๋ยจ้างยังกังวลว่าจะขายไม่ออกเลย สตรีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ขอแค่เป็นคนดื่มเหล้าก็ล้วนไม่แพ้ให้กับบุรุษ ทุกคนล้วนชอบดื่มเหล้ารสร้อนแรง หากร้านเหล้าขายเหล้าชนิดนี้เพื่อหวังเรียกนักดื่มผู้หญิงก็ต้องผิดหวังอย่างแน่นอน ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้บอกรายละเอียด บอกแค่ว่าเหล้าข้าวหมักนี้ก็คือการค้าต้นทุนต่ำที่เป็นดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพร ต่อให้ขาดทุนก็ไม่มากเท่าไร เขากับเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาของนครมังกรเฒ่าสนิทสนมกันดี ขอให้คนช่วยเอาเหล้าข้าวหมักมาจากบ้านเกิดก็แค่ต้องจ่ายเงินเทพเซียนไม่กี่เหรียญเท่านั้น

ความเป็นจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเถ้าแก่รองไม่เคยทำการค้าที่ขาดทุน ก่อนจะเมากลับบ้าน นักดื่มที่ไม่ใช่หนุ่มโสดมักจะหิ้วเอาเหล้าข้าวหมักกลับไปด้วยหลายไห บอกกับสตรีในครอบครัวว่านี่คือเหล้าที่มาจากแจกันสมบัติทวีปของใต้หล้าไพศาล มาจากบ้านเกิดของอิ่นกวานหนุ่ม ยังพูดจาน่าเชื่อว่าเถ้าแก่รองตบอกรับประกันว่าหากสตรีดื่มเหล้าชนิดนี้จะช่วยบำรุงความงามได้เป็นอย่างดี! มีสตรีบางคนยิ้มถามว่าเจ้าเชื่อหรือ? บุรุษทำท่าขุ่นเคืองบอกว่าเถ้าแก่รองไม่พูดจาเหลวไหลยามอยู่บนโต๊ะเหล้า นี่คือเรื่องที่ทุกคนให้การยอมรับโดยทั่วกัน สตรีเพียงแค่คลี่ยิ้มแล้วดื่มเหล้า

เป็นเหตุให้ภายหลังผู้ฝึกกระบี่หญิงที่มาดื่มเหล้าที่นี่มักจะดื่มแค่เหล้าข้าวหมักเท่านั้น

กวอจู๋จิ่วไปดื่มคารวะที่โต๊ะของอาจารย์แม่ เมื่อต้องดื่มครบรอบวง เหล้าหมักข้าวเหนียวกาหนึ่งก็หมดแล้ว หนิงเหยาห้ามไม่อยู่ กวอจู๋จิ่วเดินเซกลับไปที่โต๊ะตัวเองเหมือนคนร่ายวิชามวยหมัดเมา

พวกกลุ่มของหนิงเหยาดื่มกันมาได้พอสมควรแล้วจึงพากันลุกขึ้น ฟ่านต้าเช่อเป็นคนจ่ายเงิน ทุกวันนี้เขามีเงินให้ใช้คล่องมือ ไม่จำเป็นต้องขอยืมจากเฉินซานชิวมานานแล้ว หนิงเหยาบอกให้เตี๋ยจ้างช่วยดูแลกวอจู๋จิ่วหน่อย

กวอจู๋จิ่วดื่มมากเกินไปจึงฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ คออ่อนก็จริง แต่พฤติกรรมยามเมากลับนับว่าพอใช้ได้ แม่นางน้อยดื่มมากไปก็แค่หลับ ไม่เอะอะโวยวาย เงียบสงบอย่างมาก

โฉวเหมียวยิ้มเอ่ย “คำพูดบางอย่าง ก่อนหน้านี้ไม่เหมาะจะพูดที่คฤหาสน์หลบร้อน ตอนนี้สามารถพูดได้แล้ว”

เฉากุ่นโงนเงนลุกขึ้นยืน ยกถ้วยเหล้าขึ้นมาก่อนเปิดปากเอ่ยว่า “ผังหยวนจี้ ฉีโซ่วและเกาเหย่โหวต่างก็ทยอยกันเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว หากในอนาคตในเรื่องของการเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนเจ้ายังสู้พวกเขาไม่ได้ ข้าจะด่าเจ้า”

ผังหยวนจี้ดื่มเหล้าไม่มาก เขาคลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน เอาถ้วยเหล้าชนกับถ้วยของอีกฝ่าย “ด่าก่อนค่อยว่ากัน หากเจ้าด่าผิด วันหน้ามีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง ข้าค่อยด่ากลับคืน”

เฉากุ่นมองผังหยวนจี้แล้วส่ายหัวอย่างแรง “ผังหยวนจี้ ในใจของข้า เจ้าเองก็มีความหวังบนมหามรรคาพอๆ กับใต้เท้าอิ่นกวาน ข้าหวังว่าหลายปีต่อจากนี้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาจะได้เห็นว่าจุดที่สูงที่สุดของใต้หล้า มีทั้งเฉินผิงอันมือกระบี่ชุดเขียว แล้วก็มีทั้งผังหยวนจี้เซียนกระบี่ชุดขาว”

ผังหยวนจี้ยิ้มอย่างจนใจ “แต่ข้าสู้อิ่นกวานไม่ได้นี่นา”

ทั้งสองฝ่ายต่างดื่มจนหมด

สวีหนิงพูดกับเฉากุ่นว่า “ถูกเรื่องไม่ถูกคน”

เฉากุ่นยกเหล้าขึ้นดื่มตาม สีหน้าเบิกบานสดชื่น “พูดได้ดี”

ซ่งเกาหยวนดื่มกับตัวเองอย่างสำราญใจ ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาเหยียบบนม้านั่งตัวยาว “น่าเสียดายที่ไม่อาจใช้สถานะผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานมาเฝ้าด่านแทนกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้สักครั้ง ไม่อย่างนั้นจะต้องสนุกมากแน่ๆ! ลองย้อนนึกดู ผู้มีพรสวรรค์ผายลมสุนัขที่อายุน้อยๆ จากต่างถิ่นอย่างพวกเรา แต่ละคนกวนโอ้ยชวนเตะไม่แพ้กันเลย”

กู้เจี้ยนหลงเอ่ย “ขอข้าพูดประโยคที่เป็นธรรมสักคำ คนที่น่าเตะที่สุดยังคงเป็นหลินจวินปี้ที่อายุน้อยสุด ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วที่สุด”

หวังซินสุ่ยพยักหน้ารับ “ขอข้าพูดประโยคที่มีมโนธรรมบ้าง อันที่จริงก็เป็นหลินจวินปี้นั่นแหละที่เป็นลูกสมุนตัวเป้งที่สุดของใต้เท้าอิ่นกวาน”

กู้เจี้ยนหลงพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย “หากหลินจวินปี้สวมหน้ากากสตรี อันที่จริงจะต้องโดดเด่นกว่าใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเรามากแน่ๆ”

ต่งปู้เต๋อยิ้มตาหยี “ผิดแล้ว หลินจวินปี้ต้องเปลี่ยนใบหน้าเสียที่ไหน แค่เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าของสตรีก็ได้แล้ว”

ทุกคนต่างก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง

ต่งปู้เต๋อเอ่ยอีกว่า “หากจวินปี้ดื่มเหล้าเมา ใบหน้าเล็กๆ นั่นจะเป็นสีแดงปลั่ง แล้วให้เขาอิงแอบแนบชิดใต้เท้าอิ่นกวานเหมือนนกน้อยอิงแอบคน จุ๊ๆๆ นั่นต้องงดงามเกินบรรยายแน่ๆ”

ฉางไท่ชิงสะดุ้งโหยง รีบเทเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วย คีบผักดองเข้าปากคำหนึ่ง กลับกลายเป็นว่าต้องตัวสั่นเยือกอีกที “ระงับความตกใจ ระงับความตกใจ”

โฉวเหมียวยิ้มเอ่ย “พวกเจ้านี่ชักเอาใหญ่ เพราะอิ่นกวานกับหลินจวินปี้ต่างก็ไม่อยู่ที่นี่สินะ?”

เติ้งเหลียงพลันเอ่ยว่า “พวกเราลืมใครไปคนหนึ่งหรือเปล่า”

คนทั้งโต๊ะเงียบกันไปพักใหญ่ แล้วก็พากันหัวเราะครืน

แน่นอนว่าต้องเป็นเซียนกระบี่ใหญ่หมี่อวี้ที่กลับมากำแพงเมืองปราณกระบี่รอบหนึ่งแล้วก็กลับไปยังภูเขาห้อยหัวอีกครั้ง

ผังหยวนจี้ดื่มเหล้าทีละนิด แต่กลับดื่มไปไม่น้อยเลย

คนหนุ่มมีสีหน้าเลื่อนลอยเล็กน้อย อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าสายอิ่นกวานในทุกวันนี้คึกคักจริงๆ เป็นแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน

เหล้ามื้อนี้ดื่มกันนานมาก แล้วทุกคนก็พากันหวนกลับไปยังคฤหาสน์หลบร้อน

หลัวเจินอี้แบกกวอจู๋จิ่วขึ้นหลัง เดินเคียงบ่าไปพร้อมกับต่งปู้เต๋อ

เติ้งเหลียงชะลอฝีเท้าเดินมาหยุดอยู่ข้างกายพวกนาง

หลัวเจินอี้รู้ความ เตรียมจะจากไป แต่กลับถูกต่งปู้เต๋อรั้งเอาไว้

เติ้งเหลียงเองก็ไม่ถือสา พูดเข้าประเด็นว่า “แม่นางต่ง ข้าชอบเจ้า”

สายตาของต่งปู้เต๋อใสกระจ่าง เอ่ยว่า “ข้าไม่ชอบเจ้า”

เติ้งเหลียงพยักหน้า “ข้ารู้”

เติ้งเหลียงหยุดชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าสง่างดงาม สายตาจริงใจ ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าต่งปู้เต๋อไม่ชอบเติ้งเหลียง แต่เติ้งเหลียงกลัวก็แค่ว่าต่งปู้เต๋อจะไม่รู้ว่าเติ้งเหลียงชอบต่งปู้เต๋อ”

ต่งปู้เต๋อรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย พูดจาอ้อมค้อมวกไปวนมาอยู่ได้ แต่ในเมื่อเจ้าเติ้งเหลียงไม่เกรงใจกันเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจบ้างแล้ว ถึงอย่างไรนางก็ทนกับเติ้งเหลียงมาไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว “อยู่ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อน พื้นที่ใหญ่เท่าฝ่ามือ ข้าไม่ใช่คนโง่สักหน่อย ย่อมต้องมองออกว่าเจ้าชอบข้า ไม่เพียงเท่านี้ ข้ายังรู้ด้วยว่าเจ้ามักจะควบคุมสายตาไม่อยู่ ไม่กล้าแอบมองใบหน้าของหลัวเจินอี้ก็จะพยายามลอบมองแผ่นหลังของนางแทน”

เติ้งเหลียงเห็นว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้วจึงเอ่ยว่า “ไม่ใช่แค่ข้าคนเดียวสักหน่อยที่มองหลัวเจินอี้ หวังซินสุ่ยไม่มองหรือ? ฉางไท่ชิงไม่มองหรือ?”

หลัวเจินอี้เป็นสตรีหน้าตางดงามที่มีสีหน้าเย็นชาอย่างมาก เวลานี้ใบหน้านางยิ่งราวกับมีน้ำค้างแข็งมาเกาะ เพียงแต่ว่าอยู่ดีๆ ก็คลี่ยิ้ม แสร้งทำเป็นโกรธเคืองค่อนข้างจะยากไปสักหน่อย

เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก

ต่งปู้เต๋อเคยมาพูดคุยกับนางเป็นการส่วนตัว สตรีสองคนมีอะไรที่คุยกันไม่ได้? มีอะไรที่ไม่กล้าพูด?

ต่งปู้เต๋อบอกว่าหุ่นของโฉวเหมียวดีมาก สวมเสื้อผ้ามองดูเหมือนจะผอม แต่แท้จริงแล้วกลับมีกล้ามเป็นมัดๆ ต่งปู้เต๋อถามหลัวเจินอี้ว่าเคยลูบบ้างไหม? ไม่เคยลูบ แต่ก็น่าจะเคยเห็นมาบ้างกระมัง?

หลัวเจินอี้เคารพนับถือเซียนกระบี่โฉวเหมียวอย่างมาก มองเขาเป็นเหมือนพี่ชาย จึงไม่อนุญาตให้ต่งปู้เต๋อพูดหยอกเย้าโฉวเหมียว

ต่งปู้เต๋อยังบอกด้วยว่าแม้เฉากุ่นจะเป็นเพียงเด็กหนุ่ม แต่อันที่จริงกลับหล่อเหลาอย่างมาก วันหน้าจะต้องเป็นคุณชายรูปงามผู้หนึ่งอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเดิมทีภาษาทางการของทวีปเขาก็มีความนุ่มละมุนอยู่แล้ว ฟังแล้วเสนาะหูจริงๆ พอเฉากุ่นพูดก็มีความใสกังวานเพิ่มเข้ามาอีกหลายส่วน และมักจะมีสำเนียงของบ้านเกิดหลุดออกมา แค่พูดไม่กี่คำก็เหมือนอากาศในยามเช้าตรู่…วันหน้าหากเขากับคู่บำเพ็ญเพียรชมบุปผาอยู่ใต้แสงจันทร์ด้วยกัน แล้วเขาเรียกชื่อของสตรีอย่างสนิทสนม เอานิ้วเชยคางของนางขึ้นมา จะต้องเป็นภาพที่งดงามชวนฝันอย่างยิ่ง พูดมาถึงตรงนี้ ต่งปู้เต๋อก็เตรียมจะเชยคางของหลัวเจินอี้ แต่กลับเรียกเจินอี้ เจินอี้ด้วยน้ำเสียงเลียนแบบสวีหนิง ทำเอาหลัวเจินอี้ที่ทั้งอายทั้งโกรธหน้าแดงเรื่อ ยิ่งเพิ่มความงามให้ใบหน้าของนางเข้าไปอีก

แรกเริ่มหลัวเจินอี้ไม่ได้สนใจน้ำเสียงของเฉากุ่น แต่พอต่งปู้เต๋อเอ่ยเตือน นางก็รู้สึกเหมือนว่าจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ

ทุกครั้งที่นางเห็นต่งปู้เต๋อเอามือข้างหนึ่งเท้าคางชวนเฉากุ่นคุย หลัวเจินอี้จะต้องรู้สึกขำเสมอ

ต่งปู้เต๋อยังมอบสมุดเล่มหนึ่งให้นาง เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องวาบหวาม รักๆ ใคร่ๆ สตรีล้วนเป็นพวกราชินีบุปผา พวกเซียนจิ้งจอก ส่วนบุรุษส่วนใหญ่มักจะเป็นบัณฑิตตกอับ มีคำพูดหลายประโยคที่แทบจะทนมองไม่ได้ อะไรที่บอกว่า เอวบางๆ ร่างน้อยๆ นั้น ทำเอาบุรุษที่ได้เห็นเหมือนนกกระสางอขายืนอยู่บนผืนทราย (เปรียบเปรยว่าของคือคนที่ชอบอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่อาจได้มาครอบครอง) หากได้โอบกอด ไม่ตายก็ต้องวิญญาณแหลกสลาย หลัวเจินอี้อ่านไปหน้าเดียวก็อายเกินกว่าจะอ่านต่อ รู้สึกเพียงว่าร้อนลวกมือ จึงคีบมุมหนึ่งของสมุดโยนกลับไปให้ต่งปู้เต๋ออย่างแรง

อยู่ๆ หลัวเจินอี้ก็รู้สึกอิจฉาเติ้งเหลียงขึ้นมา

เวลานี้พอถูกต่งปู้เต๋อขัดคอ เติ้งเหลียงก็ไม่เหลือความกล้าหาญองอาจที่กว่าจะรวบรวมมาได้ไม่ง่ายนั้นอีกแล้ว

อีกอย่างก็เหมือนอย่างที่เติ้งเหลียงพูด คำพูดในวันนี้ เขาแค่ต้องการให้ต่งปู้เต๋อรับรู้ไว้เท่านั้น

เติ้งเหลียงกุมหมัดเอ่ย “หากวันหน้าแม่นางต่งแต่งงาน จะต้องส่งเทียบเชิญมาให้ข้าด้วยนะ หากบุรุษผู้นั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ ข้าต้องการจะถามกระบี่กับเขาสักครั้ง”

ต่งปู้เต๋อเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด

เติ้งเหลียงหมุนตัวก้าวยาวๆ จากไป ติดตามพวกกู้เจี้ยนหลงไป ผลคือถูกหวังซินสุ่ยกับฉางไท่ชิงถองคนละที

หลัวเจินอี้เอ่ยสัพยอกเบาๆ “อันที่จริงเติ้งเหลียงก็พอใช้ได้นะ”

ต่งปู้เต๋อยิ้มตาหยี “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเติ้งเหลียงใช้ได้หรือใช้ไม่ได้?”

หลัวเจินอี้ทำอะไรนางไม่ได้จริงๆ นางแบกกวอจู๋จิ่วก้าวเท้าเนิบช้า บนหลังแม่นางน้อยยังสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กไม่ห่างตัว

ต่งปู้เต๋อรู้ว่าทำไมหลัวเจินอี้ถึงแย่งจะแบกกวอจู๋จิ่วก่อนใคร

คำพูดบางอย่างสามารถเอามาพูดล้อเล่นได้ ไม่มีข้อห้ามใดๆ แต่คำพูดบางอย่างกลับเอ่ยออกมาไม่ได้แม้แต่คำเดียว

ฟ่านต้าเช่อกลับบ้านไปเพียงลำพัง ฝีเท้าโซเซ ดื่มเหล้าพลางคิดถึงคนในใจไปด้วย

ต่งฮว่าฝูกำลังเดินเล่น พอเห็นของที่ชอบหรืออาหารที่อยากกินตลอดทางที่เดินไปก็บอกให้ร้านลงบัญชีไว้ในชื่อนายน้อยเฉินกับเจ้าอ้วนเยี่ยน

ทางฝั่งของถนนไท่เซี่ยง เฉินซานชิวนั่งยองอยู่มุมกำแพง เอาหัวดันกำแพงแล้วโขกเบาๆ พึมพำว่าถอยไป ถอยไป ไม่อย่างนั้นข้าจะเมาอาละวาดแล้วนะ…

เตี๋ยจ้างไปนั่งพักที่โต๊ะคิดเงิน เด็กหนุ่มชิวหล่งกับเด็กสาวหลิวเอ๋อต่างก็กำลังง่วนทำงาน เด็กน้อยสองคนอย่างเถาป่านและเฝิงคังเล่อก็คอยช่วยเหลือด้วย

ด้านนอกร้านมีแต่เสียงเอะอะมะเทิ่ง เตี๋ยจ้างเงยหน้ามองไป ป้ายสงบสุขแต่ละแผ่นบนผนังแขวนนิ่งสงบเงียบ เหมือนคนใบ้ตัวน้อยๆ ที่เรียงแถวกัน

“ดื่มเหล้าได้ ฆ่าปีศาจได้ แต่งกลอนได้ ความสามารถไม่แพ้เถ้าแก่รอง น่าเสียดายที่รูปโฉมพ่ายแพ้ให้แก่อู๋เฉิงเพ่ย ชีวิตนี้ของข้าสมบูรณ์แบบมากแล้ว ขาดก็แค่เมียแล้วล่ะ”

“ในกระเป๋ามีเงิน กินเหล้าให้ร้านถล่มไปเลย”

“เวทกระบี่พอใช้ได้”

“ข้าผู้อาวุโสร่วมมือกับอาเหลียงก็สามารถสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานได้แล้ว”

“น่าหลันไฉ่ฮ่วน ข้าไปแปบเดียวเดี๋ยวก็กลับมา”

“ไร้เสียงขลุ่ยที่คนเลี้ยงสัตว์เป่า ไร้เสียงกระดิ่งที่คออูฐ มีเพียงเสียงลมพัดผ่าน”

“น้ำพุที่ดีมีไว้ให้คนว่างงาน เหล่าแม่นางคนดีอย่าได้ถูกคนหลอกไป”

“ชีวิตนี้ไม่เคยดื่มเหล้าเมามาก่อน ต้องโทษเหล้า”

“ยังไม่เคยไปเยือนภูเขาห้อยหัว”

“เฉินหลี่ กระบี่ประจำกายฮุ่ยหมิง กระบี่บินอู้เม่ย เซียนกระบี่อายุร้อยปี แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครอง”

“บนโลกนี้ไม่มีเหล้ารสชาติดี เจ้าชาติสุนัขคืนเงินข้ามา”

“ลู่จื่อสวยจริงๆ”

“ชีวิตคนเราแสนสั้นแสนขมขื่น ฝึกกระบี่ช่างยากเย็นเหลือเกิน”

……

หลังจากคลายตราผนึก เฒ่าหูหนวกก็เหมือนเจ้าบ้านที่เปิดประตูต้อนรับแขก เฉินผิงอันที่เข้ามาอยู่ด้านใน การมองเห็นก็พลันเปิดกว้าง ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ทัศนียภาพมีไม่มาก มีแค่ศิลาหินใหญ่โตมโหฬารก้อนหนึ่ง ด้านบนเขียนสามคำว่า ‘เจ้อกูเทียน’

เฉินผิงอันทำร่างกายและจิตใจให้สงบนิ่ง ปรับลมหายใจอย่างรวดเร็ว สกัดขวางปราณวิญญาณเปี่ยมล้นที่พากันไหลกรูเข้ามาหาให้อยู่เพียงภายนอก

คุกแห่งนี้ที่เฒ่าหูหนวกเป็นผู้ดูแลคือถ้ำสวรรค์ที่ปริแตกแห่งหนึ่ง คล้ายคลึงกับร้านเหล้าหวงเหลียงของภูเขาห้อยหัว ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นมากเป็นพิเศษ เพราะไม่มีปราณกระบี่สักเสี้ยวคอยสยบกำราบ

สถานที่แห่งนี้ไม่มีเซียนกระบี่ท่านอื่นเฝ้าพิทักษ์ ถึงขั้นที่ว่าไม่มีแม้แต่ผู้ฝึกกระบี่สักคนเดียว หลังจากที่เฒ่าหูหนวกมารับช่วงต่อ ก็มีเพียงขอบเขตบินทะยานที่มีชาติกำเนิดจากเผ่าปีศาจผู้นี้คอยดูแล