ภาค 12 เทวกษัตริย์ไร้เทียมทาน บทที่ 1172 เซียนจริงแท้ไร้ช่องโหว่ เซียนลี้ลับสงบนิ่ง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

อาหู่ร่ำเรียนวรยุทธ์มาหลายปี ติดตามเยี่ยนจ้าวเกอมาโดยตลอด ประสบการณ์และมุมมองย่อมเหนือกว่าจอมยุทธ์รุ่นเดียวกัน

หลังจากเขาขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ลองถามว่า “ไร้ช่องโหว่ยังถูกทำร้ายได้ สงบนิ่งไม่อาจรบกวนหรือ”

“ไม่ผิด ไร้ช่องโหว่ยากทำร้าย สงบนิ่งไม่อาจรบกวน” หวังผู่ถอนใจชมเชยพลางเอ่ยว่า “ คำ ‘สงบนิ่ง’ ในที่นี้หมายถึงทุกสิ่งในโลกมนุษย์ไม่อาจสร้างการรบกวนได้อีก”

อาหู่เกาท้ายทอย “ไม่อาจสร้างการรบกวน เช่นนั้นหมายความว่าไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือป้องกัน ก็ไม่ก่อให้เกิดการรบกวนแล้วหรือ”

“พูดถูกแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ “จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์สู้กับเซียนจริงแท้ ไม่อาจทำร้ายเซียนจริงแท้ แต่ก็อาจจะแก้ไขการโจมตีที่เซียนจริงแท้กระทำต่อตัวเองได้ ถึงขั้นทำลายกระบวนท่าของเซียนจริงแท้ได้ มาตรแม้นว่าไม่อาจสังหารเซียนจริงแท้ แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายพลังต่างกันเกินไป การที่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์สามารถสะกดเซียนจริงแท้ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไม่ไม่ได้”

พอเห็นสีหน้าเหมือนปวดฟันของหวังผู่ เยี่ยนจ้าวเกอก็ยิ้มขึ้น “แน่นอนว่าแม้จะพูดแบบนี้ แต่กลับไม่มีใครทำได้จริงๆ อย่างน้อยก็เป็นเรื่องที่ไม่ไร้ความเป็นไปได้โดยสิ้นเชิง ดังนั้นพวกเราจึงมักกล่าวว่า เซียนจริงแท้มาถึงโลกมนุษย์ อยู่ในสถานะมั่นคงไม่พ่ายแพ้ แต่ใช่ว่าจะไร้เทียมทาน สู้กันแล้วก็ยังมีแพ้มีชนะอยู่ แต่ว่าถ้าเซียนลี้ลับมายังโลกมนุษย์ เช่นนั้นจึงเป็นไร้เทียมทานอย่างแท้จริง”

เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือ “เป็นเพราะจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่แค่ไม่อาจทำร้ายเซียนลี้ลับได้ทั้งนั้น หากจะกล่าวให้ถูกต้องคือ เจ้าไม่อาจกระทบถูกอีกฝ่าย แต่ในทางตรงกันข้ามต่อให้เจ้ามีการป้องกันแน่นหนาขนาดไหน สำหรับเซียนลี้ลับ แค่ดีดนิ้วก็ทำลายได้ราวกับไม่เคยคงอยู่ พวกเขาแค่เป่าปาก การป้องกันของเจ้าก็หายไปแล้ว เซียนจริงแท้ไร้ช่องโหว่ มนุษย์ยากทำร้าย เซียนลี้ลับสงบนิ่ง มนุษย์ไม่อาจรบกวน มีความหมายเช่นนี้นี่เอง”

อาหู่เหมือนนึกอะไรได้ “นี่ก็คือ ‘สงบนิ่ง’ ”

“ถูกต้อง เหมือนตัวอย่างที่ข้ายกเมื่อครู่” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม “สมมติมีอจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งแข็งแกร่งสุดขีด สามารถเล่นงานเซียนจริงแท้เหมือนกากเดน แต่ว่าเขากับเซียนจริงแท้ผู้นั้น เปลี่ยนเป็นเซียนลี้ลับมาเป็นคู่ต่อสู้ เซียนจริงแท้ผู้นั้นอาจมีการแสดงออกดีกว่า อย่างน้อยก็มีเหลือพื้นที่ให้โต้ตอบ แต่ว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นคงล้มคว่ำในพริบตา รู้สึกว่านี่ผิดปกติยิ่งหรือใช่ไม่? แต่ว่านี่เป็นหลักการพื้นฐานในธรรมชาติ ไม่อาจหลุดพ้น ได้แต่ทำตาม”

เขาแบมือ “จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เอาชนะเซียนจริงแท้ได้ก็เป็นเรื่องผิดปกติสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว”

ฝ่ายหวังผู่กระแอม ส่วนอาหู่ยิ้มอย่างสัตย์ซื่อ

“อืม ฟังดูยกหางตัวเองไปหน่อย…” เยี่ยนจ้าวเกอแตะนิ้วกับริมฝีปาก “ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างจักรพรรดิเซียนจริงแท้ก็มีการแบ่งเป็นแข็งแกร่งอ่อนแอ เซียนจริงแท้ที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันใช่ว่าจะไม่สามารถงัดข้อกับเซียนลี้ลับได้ แต่เหมือนกับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ยากจะทำร้ายเซียนจริงแท้ เซียนจริงแท้ก็ยากจะทำร้ายเซียนลี้ลับเช่นกัน เพียงแต่อย่างน้อยก็มีความสามารถต่อสู้ ไม่ได้เหลือแต่ความอับจนและความสิ้นหวังเหมือนตอนจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เผชิญเซียนลี้ลับ”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่ายากเย็นเหมือนกัน ยากลำบากและหาได้ยากยิ่งกว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์สู้กับเซียนจริงแท้เสียอีก ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันมีเพียงไม่กี่คน ถึงอย่างไรยอดฝีมือที่กลายเป็นเวียนพิศวงได้มีผู้ใดบ้างที่รวบรัดธรรมดาบ้าง”

ระดับยิ่งสูง การข้ามระดับต่อสู้ก็ยิ่งหาดูยาก

จนกระทั่งสุดท้ายก็สาบสูญไป

ยามนี้หวังผู่มองอาหู่ ถอนใจกล่าว “ดังนั้นเมื่อครู่ข้าจึงกล่าวว่า แม้จะมีกระบี่เปิดกำเนิด ตอนนี้พวกเราก็ยังตีผากิเลนไม่แตก กระบี่เปิดกำเนิดเป็นอาวุธเซียนระดับไร้ช่องโหว่ ทำร้ายเซียนลี้ลับไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรกษัตริย์ดินในตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่บนผากิเลน ดังนั้นถ้าหากจักรพรรดิที่แข็งแกร่งขีดสุดคนหนึ่งมากระตุ้นกระบี่เปิดกำเนิด ถึงขั้นที่ไม่กระตุ้นกระบี่เปิดกำเนิด ก็อาจจะตีผากิเลนแตกได้ เหมือนกับศิษย์น้องเยี่ยนสามารถทำลายยอดเขาอนัตตา เฉินเฉียนหัวสามารถทำลายยอดเขาอัศจรรย์ แต่ว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เมื่อกระตุ้นอาวุธเซียนไร้ช่องโหว่ กลับไม่อาจทำลายที่อยู่ของเซียนลี้ลับได้ ถึงอย่างไรก็กระตุ้นอาวุธเซียนสุดกำลังไม่ได้ ตรงกลางยังคั่นด้วยร่องน้ำธรรมชาติชั้นหนึ่ง หรืออาจมีสองชั้น”

อาหู่เกาหัว “ในนี้ต้องมีเหตุผลบางประการกระมัง”

“เหตุผลก็คือ คิดเป็นเซียนลี้ลับไม่ง่าย” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะคำหนึ่ง

“หลังผลักเปิดประตูเซียนแล้ว การเพิ่มขึ้นของทุกระดับพลังจะต้องผ่านภัยพิบัติ เกิดว่าการผ่านภัยพิบัติล้มเหลว ก็จะมีจุดจบร่างตายมรรคาสลาย”

แต่เป็นเพราะสาเหตุนี้ การก้าวขึ้นบันไดทุกขั้นจึงเป็นฟ้าดินแห่งใหม่ ไม่ด้อยกว่าการก้าวข้ามการขวางกั้นของมนุษย์และเซียนเพื่อเลื่อนเป็นเซียนของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์

ดังนั้นหวังผู่จึงบอกว่ามีร่องน้ำธรรมชาติสองชั้น

“จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เลื่อนเป็นเซียน ภัยพิบัติชั้นนี้มีชื่อว่าภัยพิบัติมนุษย์เซียน” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “เซียนจริงแท้ไปถึงเซียนลี้ลับก็ต้องผ่านภัยพิบัติ มีชื่อว่าภัยพิบัติไร้ประมาณ หรืออีกชื่อคือภัยพิบัติสัจพิศวง เหมือนกับภัยพิบัติมนุษย์เซียน หากผ่านไปแล้วจะเจอโลกกว้างใหญ่ใบใหม่ ถ้าผ่านไม่ได้ กายจะตายมรรคามสลายเป็นผุยผง ในอนาคตหากเซียนลี้ลับคิดจะเดินให้สูงกว่าเดิม ก็จำต้องผ่านภัยพิบัติเช่นกัน”

เยี่ยนจ้าวเกออธิบายต่ออีก “นี่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝน อาหู่ตอนนี้เจ้ายังห่างจากระดับเซียนไกลยิ่ง ดังนั้นก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่ได้บอก การฝึกฝนของจอมยุทธ์ในโลกมนุษย์เช่นพวกเราเป็นการหลอมเปลี่ยนญาณจริงแท้ แต่ยอดฝีมือระดับเซียนต้องดูดกลืนปราณเซียน ปราณเซียนเป็นคำพูดที่ค่อนข้างกว้าง หากจะพูดจริงๆ เซียนมีปราณห้าชนิด เรียกว่าห้าจริงแท้ ปราณห้าชนิดนี้แบ่งเป็นปราณเที่ยงตรง ปราณแปรเปลี่ยน ปราณสว่าง ปราณกาลี และปราณวิสุทธิ์ ต่างถูกเรียกรวมกันเป็นปราณเซียน ทว่าแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน”

ปราณเที่ยงตรง คำ ‘เที่ยงตรง’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความเที่ยงธรรมหรือความยุติธรรม แต่หมายถึงปราณที่ไม่สั่นไหว ไม่คลอนแคลน หนักแน่นมั่นคง เป็นตัวแทนการไม่เปลี่ยนแปลงไม่เคลื่อนไหวของโลกในธรรมชาติ

ปราณแปรเปลี่ยน ตรงข้ามกับปราณเที่ยงตรง เป็นปราณที่เคลื่อนไหวไหลเชี่ยว เปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้ง ไม่เคยมีรูปร่าง ไม่เคยหยุดนิ่ง เป็นตัวแทนด้านการเปลี่ยนแปลงและผันแปรของธรรมชาติ

มหาสมุทรแห้งเหือดเป็นผืนหนา ธรรมชาติแปรเปลี่ยน กล่าวโดยรวมแล้ว จักรวาลก่อเกิดเป็นฟ้าดิน สุดท้ายก็เดินหน้าและเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้งในการพัฒนา

แต่ถ้าหากไร้ปราณเที่ยงตรงสร้างความม้่นคง รักษาสมดุลและจังหวะกับปราณแปรเปลี่ยน ทุกสิ่งให้ปราณแปรเปลี่ยนจัดการ เช่นนั้นไม่ทันไรธรรมชาติย่อมวุ่นวายไม่มีรูปร่าง พังทลายลงอย่างรวดเร็ว ล้มเหลวกลางทาง

ปราณสว่างคือปราณแห่งแสงสว่างและความงดงาม เป็นมิตรและมีการพัฒนา เป็นตัวแทนด้านความมีชีวิตชีวา แสงสว่าง และความดีงามของธรรมชาติ

ไม่ว่าจะเปลี่ยนจากมั่นคงเป็นเคลื่อนไหว หรือเปลี่ยนจากเคลื่อนไหวเป็นมั่นคง ขอเพียงแค่พัฒนาในด้านการสั่งสม ก็ถือเป็นคุณประโยชน์ของปราณสว่าง

ปราณกาลี ปราณอันเป็นอันตรายต่อชีวิต ภัยพิบัติร้าย ตัวแทนด้านการเสื่อมโทรพลังทลาย มุ่งสู่ความพินาศของโลกในธรรมชาติ

ตรงกันข้ามกับปราณสว่าง ไม่ถูกความเปลี่ยนแปลงและความมั่นคงจำกัด เพียงแสดงถึงด้านเลวร้ายในประสิทธิผลของการเคลื่อนย้ายและการสร้างระหว่างทั้งสองสิ่ง

หากโลกที่มีปราณกาลีมาก จะเกิดภัยพิบัติต่อเนื่อง ประสบเคราะห์กรรมไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งดับสูญในที่สุด

ปราณวิสุทธิ์ คือทางสายกลางระหว่างเคลื่อนไหวและสงบ ระหว่างดีและเลว เหมือนกับจุดเชื่อมต่อ จุดศูนย์กลาง หรือจุดหมุนของทุกสิ่งทุกอย่าง กล่าวได้ว่าเป็นพื้นฐาน คอยปรับเปลี่ยนปราณสี่ปราณที่เหลือ

“จอมยุทธ์ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เช่นพวกเรา หรือแม้แต่จอมยุทธ์ระดับต่ำกว่า ต่างสามารถดูดซับปราณเซียนได้ แต่ก็เพียงแค่ได้ดูดซับเท่านั้น แม้จะส่งผลดีต่อการฝึกฝนของพวกเรามหาศาล แต่สุดท้ายยังไม่ใช่รากฐาน มิหนำซ้ำต้องเป็นปริมาณที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นร่างกายก็ไม่อาจทานทน”

เยี่ยนจ้าวเกอว่า “ถ้าหากผ่านภัยพิบัติมนุษย์เซียน ก้าวข้ามการขวางกั้นระหว่างมนุษย์และเซียน ผลักเปิดประตูเซียนสำเร็จ เช่นนั้นก็สามารถเปลี่ยนญาณจริงแท้ให้กลายเป็นปราณเซียนได้ เป็นเพราะเปลี่ยนญาณจริงแท้เป็นปราณเซียน ชำระล้างตัวเอง เมื่อผ่านกระบวนการนี้แล้ว หลังจากนี้ญาณจริงแท้ของจอมยุทธ์ในโลกมนุษย์จะไม่อาจทำอะไรเซียนจริงแท้ที่มีปราณเซียนเอ่อล้นได้อีก คำไร้ช่องโหว่มาจากสาเหตุนี้ ทว่าเซียนจริงแท้ครอบครองปราณเซียนเพียงชนิดใดชนิดหนึ่งในห้าปราณเซียนเท่านั้น ส่วนจะเป็นชนิดไหน ก็แตกต่างไปตามแต่ละคน ไม่แน่นอนนัก”

เขาพูดพร้อมกับชูนิ้วขึ้นมานิ้วหนึ่ง จากนั้นก็ชูนิ้วอีกนิ้วขึ้น “ถ้าเซียนจริงแท้หลอมเปลี่ยนปราณเซียนชนิดที่สองเป็นของตัวเองสำเร็จ รอดพ้นภัยพิบัติสัจพิศวงเพราะสาเหตุนี้ ก็จะรวมปราณสองชนิดเป็นหนึ่ง เปลี่ยนปราณเซียนของตัวเองให้กลายเป็นวายุเซียนได้”

………………..