“ข้าอยากเข้าไปในฐานหยินหยางบัดนี้เลยขอรับ ต้องขอรบกวนผู้อาวุโสอนุมัติด้วยนะขอรับ”หลัวซิวกล่าว

ผู้อาวุโสหวูพยักหน้า ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปทางค่ายวาร์ปค่ายหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล“หลังจากที่เจ้าเข้าไปในค่ายกลแล้ว จะถูกส่งต่อไปยังทางเข้าของฐานหยินหยาง หลังผ่านไปหนึ่งเดือน บัญชาหยินหยางจะส่งตัวเจ้ากลับมา”

หลัวซิวกล่าวขอบคุณหนึ่งคำ ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปทางค่ายวาร์ปหลังทำท่าคารวะ

“หมอนั่นจะไปบัดนี้เลยหรือ? มันไม่คิดจะรอดูผลประเมินของศิษย์พี่หยุนหน่อยเลยหรือ?”

“หึ มันน่าจะรู้ล่ะมั้งว่าผลการประเมินของศิษย์พี่หยุนจื่อซูต้องดีกว่ามันแน่นอน หากอยู่ต่อจะรู้สึกขายหน้า จึงหนีไปก่อน”

“……”

เหล่าวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะเหล่าศิษย์สนิทสายผู้อาวุโส แต่ละคนยิ่งปากร้ายมาก ๆ พูดเหน็บแนมอย่างไม่หยุดหย่อน

แต่ทว่าคำพูดทั้งหมดนี้ล้วนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหลัวซิว เป้าหมายของเขาคือแสวงหาจุดสูงสุดของโลกยุทธ์ เหตุใดถึงต้องให้ค่าคำพูดผู้อื่นด้วย?

“พวกยู่หวูฉิวและเซียวจื่อเจี้ยนยังรอข้าอยู่นอกแดนเบญจธาตุ ซือถูเจิ้งเจี้ยนไม่เจอร่องรอยของข้าและหุบเขาปีศาจเก้า ซึ่งเขามีโอกาสไปพาลใส่สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินในโลกเสวียนเทียนสูงมาก”

หลัวซิวคิดเช่นนี้ในใจ การคงอยู่ของซือถูเจิ้งเจี้ยนเหมือนดั่งภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับอยู่บนบ่าเขา ทำให้เขาจำเป็นต้องคว้าทุกวินาทีไว้แน่น ๆ เพื่อมายกระดับผลการฝึกตนและศักยภาพของตัวเอง

ครั้นเมื่ออยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของเหวมรณะ ซือถูเจิ้งเจี้ยนก็ทราบแล้วว่าเขามาจากโลกเสวียนเทียน เนื่องจากในบทสนทนาของทั้งสองกล่าวถึงการล่มสลายของสำนักเทียนช่า ฝ่ายตรงข้ามกำหนดอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาเป็นกากแดนของสำนักเทียนช่า

เฟิ่งหวูซินเป็นผู้ที่เดาความคิดแผนการเขาไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้หัวใจของหลัวซิวจึงไม่ได้อยู่ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน แต่ทว่าในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินยังมีญาติพี่น้องและสหายของเขาอยู่ เขาจึงนิ่งดูดายไม่ได้

“ในระยะเวลาหนึ่งเดือนต่อจากนี้ ข้าต้องกลั่นแปรวิญญาณมรณะในสำนักเต๋าเสวียนเทียนให้ได้ และต้องกลั่นแปรกมลโลกาเปิดจุดลมปราณบนร่างกายออก เวลาที่เหลือให้ข้ามีไม่มากแล้ว!”

คิดเช่นนี้ในใจ จากนั้นเงาร่างหลัวซิวก็หายวับไปในค่ายวาร์ป

ภายในพื้นที่ขั้นตอนแรกของฐานหยินหยาง ร่างของหลัวซิวยังคงอยู่ด้านล่างดวงอาทิตย์สีดำที่มีกฎไท่หยินซ่อนแฝงอยู่เช่นเคย

การเข้ามาเมื่อครั้งก่อนมีโอกาสเพียงสิบวันเท่านั้น อีกทั้งทันทีที่เข้ามาก็ถูกความลึกลับและมหัศจรรย์ที่แฝงอยู่ในกฎไท่หยินดึงดูด เพราะฉะนั้นหลัวซิวจึงไม่ได้สังเกตพื้นที่ภายในฐานหยินหยางอย่างละเอียดแต่อย่างใด

ครั้งนี้หลังจากที่เข้ามาแล้ว เขาไม่ได้รีบทำการฝึกตน แต่เป็นการปล่อยตัวสำนึกของตนออกไป อาศัยการตระหนักรู้ด้านกฎปริภูมิของตน ตรวจสอบพื้นที่แห่งนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนรอบหนึ่ง

หลังจากที่ผ่านการตรวจสอบและคิดทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า เขาพบว่าพื้นที่ภายในฐานหยินหยางตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงเลย

ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่าผู้คนที่อยู่โลกภายนอกไม่สามารถรับรู้ได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฐานหยินหยาง

ในส่วนของบัญชาหยินหยางที่อยู่บนตัวนั้น เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับกฎในฐานหยินหยาง หลังจากอยู่ถึงช่วงเวลาที่กำหนดแล้ว ผู้คนที่อยู่โลกภายนอกสามารถกระตุ้นค่ายกลที่สลักไว้บนบัญชาหยินหยางข้ามเขตแดน และส่งตัวผู้ที่อยู่ด้านในฐานหยินหยางออกมา ด้วเหตุนี้จึงมีกฎเกณฑ์กำหนดระยะเวลาการฝึกตน

และสิ่งที่หลัวซิวต้องยืนยันก็คือพื้นที่ภายในนี้ตัดขาดกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงหรือไม่

หลังจากที่ยืนยันจุดนี้ได้แล้ว มุมปากเขาก็มีรอยยิ้มปรากฏเล็กน้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าความลับของตัวเองจะเปิดเผยเมื่ออยู่ภายในนี้

ใช้จิตนึกคิด ตรงหว่างคิ้วของเขามีรอยแตกแยกออก ร่างกลวัฏสงสารบินออกมา กลายเป็นร่างแท้ร่างหนึ่ง

บนมือของร่างกลวัฏสงสารมีปริภูมิแก้วรูปร่างสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนที่ไม่เป็นไปตามรูปสี่เหลี่ยมทั่วไปหนึ่งชิ้น รังสีที่แวววาวงดงามเปล่งประกายออกมาจากปริภูมิแก้ว เปิดโลกาศุภรออก!

เวลาภายในโลกาศุภรจะเคลื่อนที่ช้าลงสิบเท่า ระยะเวลาหนึ่งเดือนก็เท่ากับระยะเวลาสิบเดือน!

“ทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ทว่าหากเป็นระยะเวลาสิบเดือนก็เหลือเฟือมากเลยล่ะ”