บทที่ 2202 ซ่างกวนชิงเป็นไส้ศึก

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

แต่ปานเยว่กงกับชิงเหมยตกอยู่ในความเงียบแล้ว

ฮวาหูเตี๋ยพูดหยอกว่า “พวกเจ้ากับเขามีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีไม่ใช่เหรอ ถ้าเขาก่อกบฏสำเร็จจริงๆ วันไหนอยากจะมาหาพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะมีหน้ามีตาแล้ว”

“สำเร็จก็ดี ล้มเหลวก็ช่าง ไม่ใช่คนที่อยู่บนเส้นทางเดียวกัน ไม่อยากเกาะขาคนมีอำนาจ” ปานเยว่กงส่ายหน้า หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา พลิกดูในมือครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ลบตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ออกไป

ทั้งสองเข้าใจการกระทำของเขาแล้ว ชิงเหมยก็หยิบระฆังดาราออกมาเช่นกัน ลบตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ทิ้ง

“ที่จริงข้าก็ติดต่อเขาได้เหมือนกัน” ฮวาหูเตี๋ยนำระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม

สองสามีภรรยาแปลกใจ ชิงเหมยถามว่า “เจ้ากับเขามีความสัมพันธ์กันยังไง?”

เขาพูดถึงเรื่องนี้ ฮวาหูเตี๋ยก็ลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยังพูดความจริงออกมาอย่างซื่อสัตย์ “ที่จริงแล้วในปีนั้นตอนที่พวกเจ้าถูกบีบให้ออกจากป่าลืมทุกข์ ก็เป็นข้าเองที่ทรยศพวกเจ้า ก่อนที่หนิวโหย่วเต๋อจะไปหาพวกเจ้า เขามาหาข้าก่อน ถ้าเป็นคนเปิดเผยที่ซ่อนตัวของพวกเจ้าเอง เรื่องนี้ข้าอยากบอกพวกเจ้ามาตลอด แต่กลับเอ่ยปากได้ยาก”

สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วก็เงียบไป สีหน้าดูไม่แปลกใจ ดูสงบนิ่งใจเย็น

ปานเยว่กงส่ายหน้า ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้ว”

“พวกเราไม่โทษข้าสักนิดเลยเหรอ?” ฮวาหูเตี๋ยแปลกใจ

ปานเยว่กงบอกว่า “ที่จริงพวกเราก็เดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว ตอนที่พวกเรารู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อกับโค่วเหวินหลานค่อนข้างสนิทกัน แล้วเจ้าก็เป็นคนของตระกูลโค่ว เจ้าเป็นตัวแทนตระกูลโค่วประจำอยู่ที่นี่ จะหลบพ้นdkiซักถามของตระกูลโค่วได้ยังไง พวกเราก็พอจะเดาได้บ้างแล้ว บวกกับตอนหลังที่เจ้าออกจากตลาดมืด ก็คงจะเป็นเพราะตัวตนของเจ้าถูกเปิดโปง ไม่ย้ายที่คงไม่ได้ มิหนำซ้ำข้อมูลที่พวกเราอยู่ในป่าลืมทุกข์ ก็ไม่ใช่เจ้าคนเดียวที่รู้ คนที่มาหาพวกเราไม่ได้มีแค่หนิวโหย่วเต๋อ ต่อให้เจ้าไม่เปิดเผย คนอื่นก็เปิดเผยอยู่ดี หนิวโหย่วเต๋อมาหาพวกเราเจอ อย่างน้อยก็ทำให้พวกเราพ้นเคราะห์ไปได้ หนึ่งครั้ง ทั้งยังช่วยพวกเราแก้ไขสถานะนักโทษหลบหนีด้วย ถ้าเปลี่ยนให้คนอื่นมาเจอพวกเรา เกรงว่าคงไม่มีเรื่องดีแบบนี้ เรื่องทุกอย่างผ่านไปแล้วไม่ต้องพูดถึงอีก ถ้าเจ้ารู้สึกว่าที่นี่เหมาะสม ต่อไปก็มาพักอยู่ที่นี่แล้วกัน”

ฮวาหูเตี๋ยเริ่มหัวเราะคิกคัก หัวเราะจนไหล่งามสั่นเทิ้ม สุดท้ายก็หยิบระฆังดาราขึ้นมา ร่ายอิทธิฤทธิ์ลบตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้อยู่ในนั้น

ทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง แล้วยกจอกสุราดื่ม ไม่สนว่าหนิวโหย่วเต๋อจะได้ปกครองใต้หล้า หรือจะไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดตลอดไป ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่อยากคบค้ากับหนิวโหย่วเต๋ออีกแล้ว…

ตรงหน้าประตูดวงดาวแห่งหนึ่ง เหยียนซิวที่เหาะนำหน้าโบกมือส่งสัญญาณ แล้วคนจำนวนหนึ่งร้อยก็เหาะเข้าไปในนั้นก่อน

กระทั่งยืนยันได้แล้วว่าปลอดภัย เหยียนซิวถึงได้นำคนที่เหลือเหาะเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ถูกพ่นออกมาที่ดาราจักรอีกผืนหนึ่ง รีบเฝ้าระวังโดยรอบ มีบางคนนำแผนที่ดาวขึ้นมาตรวจดูแล้วถามอย่างแปลกใจ “แดนสุขาวดี?”

คนอื่นนำแผนที่ดาวออกมาตรวจดูตามทันที หั่วเจินจวินหัวเราะหึหึ “นี่คืออีกเส้นทางสำหรับไปแดนสุขาวดีเหรอ?”

ความสนใจของเหยียนซิวเหมือนจะไม่ได้อยู่ในบทสนทนาของพวกเขา สายตากวาดมองในดาราจักร เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง

ผ่านไปไม่นาน ในดาราจักรก็มีคนคนหนึ่งเหาะมา คนที่สวมชุดคลุมสีดำทำตัว ทำให้ฟังนี้เตรียมพร้อมป้องกัน ผู้ที่มาใช้สิบนิ้ววาดลวดลายหนึ่งขึ้นมา เหยียนซิวโบกมือให้คนที่ขวางทางหลีกทางทันที ส่วนเหยียนซิวก็เข้าไปรับ

คนที่อยู่ใต้ชุดคลุมเงยหน้าขึ้น เป็นผู้หญิงที่สวยหยาดเยิ้ม นางยื่นมือเรียวขาวดุจหยกออกมา โยนแผ่นหยกให้เหยียนซิวแผ่นหนึ่ง

เหยียนซิวรับมาอ่านในมือ เป็นแผ่นหยกที่ว่างเปล่า เขียนตัวอักษร ‘อวี้’ ตัวเดียวแล้วโยนกลับไป

หลังจากผู้หญิงคนนั้นรับมาอ่านแล้ว ก็เขียนตัวอักษร ‘เหมียว’ โยนกลับมา

เหยียนซิวอ่านแล้วบีบทำลายแผ่นหยก ก่อนจะพยักหน้าให้นาง

ผู้หญิงคนนั้นถ่ายทอดเสียงบอกเหยียนซิวว่า “คนเยอะสะดุดตาเกินไป ต้องปลอมตัวสักหน่อย” นางชี้ไปที่จินม่าน ลวี่เกอ หัวลี่และมู่ฝานจวินผู้หญิงทั้ง สี่คน “หน้าตาของพวกนางสี่คนเหมาะสมที่สุด เชื่อได้หรือเปล่า?”

เหยียนซิวหันกลับมามองแวบหนึ่ง จากนั้นก็เชิญผู้หญิงสี่คนนั้นมาปรึกษาหารือกัน คนอื่นยังคุยง่าย มีเพียงมู่ฝานจวินที่ปฏิเสธแล้ว

สุดท้ายก็เก็บสมาชิกไว้ในกระเป๋าสัตว์ รวมทั้งเหยียนซิวด้วยเช่นกัน ส่วนผู้หญิงที่สวมชุดคลุมมีหมวกคนนั้นก็นำจินม่าน ลวี่เกอและหัวลี่ไปเปลี่ยนชุดปลอมตัวบนดาวที่อยู่ใกล้ๆ แต่งกายเปิดเผยยั่วยวนมาก ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิปรากฏสู่สายตาคนนอก เป็นการแต่งกายของสำนักหลัวช่า เป็นสาเหตุที่มู่ฝานจวินปฏิเสธ ถ้าจะให้นางเปิดเผยเนื้อหนังมังสาแบบนี้ ยังยากกว่าฆ่านางทิ้งซะอีก

ทำอะไรบางอย่างตรงหว่างคิ้วของทั้งสาม ทำให้ทั้งสามดูไม่ค่อยเหมือนคนเดิม

จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ถอดชุดคลุมมีหมวกออก ดูจากการแต่งกายก็เห็นได้ชัดว่าเป็นศิษย์สำนักหลัวช่า นางนำผู้หญิงสามคนนี้จากไปอย่างรวดเร็ว

ด้วยการนำทางของคนใน พวกเขาจึงผ่านด่านไปได้ตลอดทาง สุดท้ายก็มาถึงอาณาเขตดาวที่อยู่ใกล้กับเขาหลิงซานแล้ว พวกเขาเหยียบลงบนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง

“ส่งพวกเจ้าได้แค่นี้ เข้าไปข้างในอีกก็มีแต่เป็นคนของประมุขพุทธะ พวกเราก็ไร้ความสามารถเช่นกัน” จากนั้นศิษย์หญิงสำนักหลังช่าก็ประนมมือกล่าวอำลา

พวกจินม่านรีบกลับมาแต่งตัวเหมือนเดิมแล้ว จากนั้นปล่อยพวกเหยียนซิวออกมา

คนกลุ่มนี้ออกมาปรึกษาหารือกัน เหยียนซิวอธิบายสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ

ปีศาจเฒ่าทั้งสามเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจ อู๋ฉางบอกว่า “ในเมื่อคนที่เฝ้าอยู่ที่นี่มีแค่กำลังพลหนึ่งร้อยล้าน ใช่ว่าพวกเราจะโจมตีเข้าไปในเขาหลิงซานไม่ได้ ทำไมยังชักช้าอืดอาดอยู่อีก?”

“ถ้ามาเพื่อโจมตีเขาหลิงซานอย่างเดียว ฝ่าบาทคงไม่ส่งมาแค่กำลังพลหหนึ่งร้อยล้านหรอก แต่กำลังรวบรวมกำลังทหารที่ได้เปรียบเพื่อโจมตี” เหยียนซิวตอบ

อินเอ้อร์หลางชี้ไปทางเขาหลิงซาน “แล้วจะทำยังไงกับคนในเจดีย์สยบปีศาจ? พวกเราชักช้าต่อไปอย่างนี้ พวกเขาก็จะอยู่ในอันตรายมาก”

เหยียนซิวตอบด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นแหบพร่า “ถ้าจะลงมือคงลงมือไปนานแล้ว ถ้าไม่ถูกกดดันให้จนตรอกจริงๆ พวกเขาก็ไม่ลงมือกับคนในเจดีย์สยบปีศาจหรอก ครั้งนี้ไม่เพียงแค่ต้องการช่วยคน ทั้งยังต้องให้ความร่วมมือกับทัพใหญ่ที่ปฏิบัติการอยู่ข้างนอกด้วย”

หั่วเจินจวินโบกมือ “ไม่ได้ ต้องช่วยคนก่อน!”

เหยียนซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ถ้าพวกเจ้าต้องการจะช่วย เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไปช่วยซะ ข้าอยากจะเห็นว่าถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากพวกเรา พวกเจ้าจะช่วยคนออกมาจากเงื้อมมือกำลังพลของเขาหลิงซานได้หรือเปล่า”

“เจ้าหน้าตาย เจ้ากล้าขู่ข้าเหรอ?” หั่วเจินจวินเดือดดาลมาก

ไม่ให้เดือดดาลคงไม่ได้ ต่อให้พวกเขานับรวมกำลังพลหนึ่งแสนกว่าของสิบปราสาทดำเนิน อยากจะช่วยคนออกมาจากทัพใหญ่นับร้อยล้านของเขาหลิงซาน ก็เป็นเรื่องล้อเล่นจริงๆ มิหนำซ้ำคนที่เฝ้าเขาหลิงซานก็ล้วนเป็นกำลังพลของประมุขพุทธะ ทุกคนมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ อย่าว่าแต่ช่วยคนออกมาเลย ถ้าไม่มีกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อคอยช่วยเหลือ เกรงว่าแม้แต่จะเข้าใกล้ก็ยังยาก

ตอนนี้ทัพใหญ่แดนอเวจีออกมาจากแดนอเวจีแล้ว เท่ากับหลุดพ้นการควบคุมของประมุขไป๋ ตอนนี้เชื่อฟังเหมียวอี้ เหมียวอี้ต่างหากที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของพวกเขา ถ้าเหยียนซิวไม่อนุญาต ทัพใหญ่แดนอเวจีก็ไม่มีทางช่วยเหลือคนพวกนี้

เหยียนซิวถามเสียงเยียบเย็น “ขู่เหรอ? ถ้าพวกเจ้ากล้าทำงานใหญ่ของฝ่าบาทพัง เกรงว่าคงไม่ใช่แค่การขู่แล้ว!”

“เจ้ากล้าเหรอ!” สามปีศาจเฒ่าโมโหจนกระทืบเท้า

“พอแล้ว เลิกเถียงกันได้แล้ว” หัวลี่ตะคอก แล้วใช้ระฆังดาราในมือบอกใบ้ ” ขอคำชี้แนะมาแล้ว คุณชายไป๋บอกแล้ว ว่าให้พวกเราทำตามขั้นตอนของพวกเขา”

ใบหน้าของทั้งสามเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่สะดวกจะคัดค้าน เพียงแต่หั่วเจินจวินยังชี้หน้าด่าเหยียนซิว “เจ้าหน้าตาย รอข้าก่อนเถอะ!”

“รอให้เรื่องนี้ผ่านไปก่อน ข้าพร้อมจะเล่นเป็นเพื่อนทุกเมื่อ!” เหยียนซิวกล่าว

“โอ้อวดไม่เบา ไม่รู้ว่าเป็นของที่โผล่มาจากไหน!” อินเอ้อร์หลางพูดจาเหน็บแนมแปลกๆ

ทัพใหญ่ของประมุขชิงและประมุขพุทธะกำลังเร่งเหาะอยู่ในดาราจักร นอกรถมังกร พระรูปหนึ่งมารายงานตรงประตู “ท่านอาจารย์ พุทธะหน้าหยกขอพบขอรับ”

“เชิญเข้ามา” ประมุขพุทธะที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างในบอก

พระที่อยู่ตรงประตูหันตัวไปยื่นมือเชิญคนข้างนอก อวี้หลัวช่าที่เหาะอยู่ด้านนอกหันตัวมาเหยียบลงนอกกุฏิ แล้วเดินเข้ามาในห้องอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะประนมมือทำความเคารพ

“มีเรื่องอะไร?” ประมุขพุทธะถาม

อวี้หลัวช่ากล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ในแดนสุขาวดี ลูกศิษย์ของข้าพบเรื่องที่มีลับลมคมใน ถึงตั้งใจมารายงาน”

“เรื่องลับลมคมในอะไร?” ประมุขพุทธะถาม

อวี้หลัวช่าตอบว่า “ลูกศิษย์ของข้าพบคนของปราสาทดำเนินนภาบริเวณอาณาเขตดาวใกล้กับเขาหลิงซาน บอกว่าเหมือนเห็นเวินหวนเจิน ประมุขปราสาทดำเนินนภา”

ประมุขพุทธะกับประมุขชิงเริ่มตื่นตัวทันที ประมุขพุทธะซักไซ้ต่อ “แน่ใจนะ?”

“นางก็ไม่กล้ายืนยันเหมือนกัน แต่ดูแล้วเหมือน โดยเฉพาะผู้ติดตามหลายคนที่อยู่ข้างกาย การแต่งกายคล้ายกับคนของปราสาทดำเนินนภา นางไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบใกล้ๆ ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ เลยตั้งใจมารายงานให้ประมุขพุทธะทราบ ระวังตัวเอาไว้หน่อยจะดีกว่า” อวี้หลัวช่าตอบ

ประมุขพุทธะไม่พูดอะไรแล้ว แต่หันไปมองประมุขชิงที่นั่งอยู่ตรงข้าม “คนของเจ้าจับตาดูสิบปราสาทดำเนินไว้ตลอดไม่ใช่เหรอ?”

“ซ่างกวน ให้เกาก้วนมาพบข้า!” ประมุขชิงตะโกนเรียกตรงประตูทันที

ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างประตูหันตัวมา ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ระหว่างทางก่อนหน้านี้ เกาก้วนจะถือโอกาสผ่านทางไปดูคนของหน่วยตรวจการขวาที่อยู่ทางนั้น เหมือนจะมีเรื่องสำคัญอะไร ตอนนี้ยังตามมาไม่ถึงขอรับ”

“…” ประมุขชิงเงียบไปครู่เดียว จู่ๆ ก็เหลือบตาขึ้น ไม่รู้มว่านึกอะไรขึ้นได้ ตะคอกสั่งว่า “ติดต่อเขาเดี๋ยวนี้!”

ซ่างกวนชิงทำตามคำสั่ง หยิบระฆังดาราออกมา ทว่าติดต่ออยู่นานมาก แต่ก็ไม่มีการตอบกลับใดๆ ซ่างกวนชิงทำได้เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียกว่า “ฝ่าบาท ติดต่อไม่ได้ขอรับ”

บนใบหน้าประมุขชิงปรากฏความมืดครึ้มเล็กน้อย รีบถลันตัวออกมาจากกุฏิ กลับมาอยู่ข้างเกี้ยวของตัวเอง

พวกประมุขพุทธะเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปกติจากตัวประมุขชิง ตามมาดูเช่นกัน

ประมุขชิงไปหาสมาชิกของหน่วยตรวจการขวาที่ติดตามมาด้วย ประมุขชิงเรียกตัวมาตะคอกถามว่า “เกาก้วนไปไหนแล้ว?”

“ทูลฝ่าบาท นายท่านเกาบอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ ใช่แล้ว…” คนนั้นหยิบแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมา แล้วใช้สองมือยื่นให้ “ก่อนที่นายท่านเกาจะไปได้สั่งข้าน้อยไว้ ว่าถ้าฝ่าบาทเรียกหาเขา ก็ให้ข้าน้อยนำของสิ่งนี้ให้ฝ่าบาท”

ประมุขชิงยกมือขึ้นดูดของมาไว้ในมือ พบว่าในแหวนเก็บสมบัติมีแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง เมื่อนำแผ่นหยกออกมาอ่าน สีหน้ามืดครึ้มลงทันที

ประมุขพุทธะยื่นมือเข้ามา ประมุขชิงส่งให้เขาอ่าน

หลังจากประมุขพุทธะอ่านเนื้อหาในแผ่นหยกแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดนิดหน่อย ค่อยๆ หันหน้ามองไปทางซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ

ซ่างกวนชิงถูกเขามองจนอึดอัดไปทั้งตัว ผลก็คือพบว่าประมุขชิงก็มองมาที่ตัวเองด้วยสายตาประหลาดเป็นระยะเช่นกัน จึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก “ฝ่าบาท เป็นอะไรไปขอรับ?”

“เจ้าก็ดูเอาเองสิ” ประมุขชิงกล่าวเสียงเย็น

ประมุขพุทธะยื่นแผ่นหยกออกมา

ซ่างกวนชิงรีบรับมาตรวจอ่าน ตอนยังไม่อ่านก็ไม่รู้ พออ่านแล้วตกใจทันที ในนั้นเขียนตัวอักษรเอาไว้สะดุดตาน่าตกใจว่า : ซ่างกวนชิงเป็นไส้ศึก!

เป็นลายมือของเกาก้วน เกาก้วนยังลงตราอิทธิฤทธิ์เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นของจริงด้วย

ตัวอักษรไม่กี่ตัวนี้ทำให้ซ่างกวนชิงตกใจจนหน้าซีดแล้ว กล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “ฝ่าบาท นี่เป็นการใส่ความ บ่าวจงรักภักดีต่อฝ่าบาท จะเป็นไส้ศึกได้ยังไง เกาก้วน…เกาก้วนคิดจะทำอะไรกัน!” เขาหันกลับไปมองหัวหน้าคนนั้นของหน่วยตรวจการขวา แล้วตะคอกว่า “นี่เกาก้วนเป็นคนเขียนจริงเหรอ?”

ไม่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น คนของหน่วยตรวจการขวาก็ส่ายหน้าซ้ำๆ “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ ไม่ทราบว่าเขียนอะไรไว้ แต่นี่เป็นสิ่งที่นายท่านเกาให้ข้าน้อยไว้ กำชับข้าน้อยไว้ ข้าน้อยไม่กล้าแอบดูขอรับ”

…………………