พอเฉินผิงอันได้ ‘เสียงสวรรค์’ เล่มนั้นไปก็เก็บกระบี่บินนกในกรงมา เกี่ยวกับวิชาลับในการหลอมกระบี่ของสำนักเจิงหรง คฤหาสน์หลบร้อนพอจะมีบันทึกอยู่บ้าง เพียงแต่เฉินผิงอันลองถามไปรอบหนึ่งก็พบว่ายังมีช่องโหว่อยู่อีกไม่น้อย
เฉินผิงอันมองสบตากับเหนี่ยนซิน นางก็เข้าใจได้ทันที จึงเดินเข้ามาในคุก
ขณะเดียวกันจิตหยินเล็กจิ๋วก็ออกมาจากเรือนกายของนาง นิ้วทั้งสิบหยิบเอา ‘เข็มเย็บผ้า’ ที่มีแสงสีหลากหลายลากยาวตามหลังออกมา
ผู้ฝึกกระบี่ที่รู้ว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอนเคียดแค้นอย่างหนัก สบถด่าเฉินผิงอันไม่หยุด
เหนี่ยนซินค่อนข้างพอใจ การถามหมัดกับหงอิ่นก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกยุทธหงอิ่นตายอย่างสมใจปรารถนาเกินไป ความเคียดแค้นที่มีต่ออิ่นกวานหนุ่มมีน้อยเกินไป นั่นกลับกลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไร
วิธีการเย็บผ้าของเหนี่ยนซินไม่เพียงแต่เกี่ยวพันไปถึงสามจิตเจ็ดวิญญาณ ยังสามารถรวบรวมไอความเคียดแค้นมาไว้ได้ด้วย
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงประตูใหญ่ ดื่มเหล้าไปอีกหนึ่งอึก แต่แค่จิบคำเล็กๆ เท่านั้น ประหยัดอย่างมาก ถึงอย่างไรก็ไม่ควรรอให้ถึงตอนที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างแท้จริง เพราะกลับกลายเป็นว่าจะไม่ได้ดื่ม
เหนี่ยนซินวางโอสถทองของผู้ฝึกกระบี่เอาไว้แล้วเอ่ยชวนคุยว่า “อยู่ในตำแหน่งไหนก็ทำหน้าที่นั้น จะให้สมใจปรารถนาไปเสียทุกเรื่องก็คงไม่ได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เรื่องพวกนี้ข้าคิดตกมาตั้งนานแล้ว สังหารปีศาจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไหนเลยจะต้องการเหตุผล จะเป็นอิ่นกวานหรือไม่ก็เหมือนกัน ไม่อาจสบายใจได้ เพียงแต่ว่าขอบเขตของตัวเองต่ำเกินไป ตอนนี้ไม่ว่าเจอกับปีศาจบนบัลลังก์ตนใดก็ล้วนต้องตายทั้งสิ้น อีกทั้งยังไม่พูดถึงพวกมัน แค่เจอกับผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งก็เปลืองแรงอย่างมากแล้ว หากเจอกับเซียนกระบี่ก็ยิ่งต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย กลายเป็นเซียนกระบี่นั้นยากเกินไปจริงๆ”
เหนี่ยนซินยิ้มกล่าว “อายุน้อยๆ ก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตห้าแล้ว ข้าว่าไม่ค่อยยากเท่าไร”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง
หาได้ยากนักที่คนเย็บผ้าจะพูดตลก ช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก
……
ก่อนหน้านี้เฒ่าหูหนวกเอาแก่นเลือดสามสลึงมาจากปีศาจหนีชิว ยามที่อิ่นกวานหนุ่มทำการค้าก็มักไม่ใช่คน
เฒ่าหูหนวกยังขอเลือดเนื้อจากเด็กรุ่นหลังของแม่น้ำเย่ลั่วคนนั้นมาอีกหลายจิน ถึงอย่างไรก็รับเด็กหนุ่มมาเป็นเจ้านายอยู่ข้างกายอยู่แล้ว ดูท่าทางแล้วน่าจะทำอาหารเป็น มีเหล้าดีๆ กานั้น บวกกับหนีชิวตุ๋นเต้าหู้ที่อิ่นกวานหนุ่มพูดถึง ช่างเป็นชีวิตของเทพเซียนจริงๆ
ส่วนตำแหน่งเจ้านายของเด็กหนุ่มท่าทางซื่อๆ คนนั้น เฒ่าหูหนวกจะเห็นเป็นจริงเป็นจังหรือ? คิดว่าเขาฝึกตนจนได้ขอบเขตบินทะยานมาเพราะสวดมนต์กินเจหรือไร?
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสทำเช่นนี้ก็แค่มอบโชควาสนาหนึ่งในโยวอวี้เท่านั้น อย่างมากสุดก็เป็นได้แค่ยันต์คุ้มกันกายหนึ่งแผ่น ขอแค่เด็กหนุ่มไม่มีความสามารถที่จะรับโชควาสนาครั้งนี้ไว้ ระยะเวลาร้อยปีที่กำหนดผ่านไป เขาจะเป็นหรือตายก็ชัดเจนดีแล้ว หากเปลี่ยนไปเป็นตู้ซานอินที่ท่าทางเฉลียวฉลาดคนนั้น ตอนนี้เฒ่าหูหนวกสามารถคิดไว้ได้เลยว่าอีกร้อยปีให้หลังจะจัดการกับตู้ซานอินอย่างไร ดังนั้นถึงได้บอกว่าคนโง่ก็มีโชคของคนโง่ เด็กอย่างโยวอวี้ผู้นี้โง่เขลาเกินไป เฒ่าหูหนวกจึงไม่กล้าลงมือกับอีกฝ่าย เพราะนั่นจะน่าเบื่ออย่างมาก
ส่วนโยวอวี้ก็ยิ่งไม่เห็นสถานะนายบ่าวเป็นเรื่องจริง และนี่ก็ยิ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มมีโอกาสรอดชีวิตอย่างแท้จริง
ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าอ่านหนังสือให้มากคือเรื่องดี ก็อย่างที่อิ่นกวานหนุ่มคนนั้นพูดเอง อย่าได้เห็นขอบเขตบินทะยานไม่ใช่ปีศาจใหญ่เด็ดขาด
โยวอวี้ถูกเฒ่าหูหนวกคว้าไหล่พาออกไปจากคุกที่ทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ออก เดินอ้อมโครงกระดูกเผ่าปีศาจและร่างทองที่ปริแตกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไป จุดที่สายตามองเห็นคือพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่ทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มรู้สึกสงบสุข คือธารน้ำไหลริน ลำธารอยู่เบื้องหน้ากระท่อม ซุ้มเถาองุ่นขนาดใหญ่ยักษ์มีใบไม้เขียวชอุ่ม ยามเดินอยู่ท่ามกลางร่มไม้ก็ทำให้เสื้อผ้าที่สวมใส่สะท้อนแสงสีเขียวได้
ทุกครั้งที่โยวอวี้หายใจจะต้องรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่ง นั่นคือความรู้สึกลี้ลับมหัศจรรย์ที่ราวกับว่าทั้งปราณวิญญาณและปราณกระบี่ต่างก็ถูกชำระล้างมาก่อน สามารถทำให้คนกระโดดข้ามขั้นตอนของการหลอมลมปราณไปได้โดยตรง ยิ่งเป็นเช่นนี้ เด็กหนุ่มที่สำรวมระมัดระวังก็ยิ่งไม่กล้าหายใจแรง ถึงอย่างไรก็เป็นแขกที่มาเยี่ยมเยือนบ้านคนอื่น เด็กหนุ่มจึงไม่กล้าสร้างปัญหามากนัก
เฒ่าหูหนวกยิ้มกล่าว “หายใจได้ตามสบาย แค่ปราณวิญญาณไม่กี่เฮือกเจ้าก็ไม่ทำให้สิ้นเปลืองได้สักเท่าไรหรอก ปลาน้อยว่ายอยู่ในน้ำ จะดื่มน้ำในแม่น้ำจนแห้งขอดได้เลยหรือไร”
เฒ่าหูหนวกหยุดเดิน “นายท่านยังไม่กลับมา พวกเรารอกันสักครู่”
โยวอวี้พยักหน้ารับอย่างแรง ท่าทางตื่นเต้นอย่างมาก
เพราะสถานะของเซียนกระบี่ท่านนั้นที่ผู้อาวุโสตรงหน้านี้บอกกับเขาก็คือ สิงกวาน
ตำแหน่งขุนนางเก่าแก่อย่างหนึ่งที่หายสาบสูญไปหลายปีในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นลำดับขั้นเดียวกันกับอิ่นกวาน
ผู้อาวุโสเฒ่าหูหนวกไม่ได้บอกรายละเอียด แค่บอกว่าเซียนกระบี่สิงกวานท่านนี้ละอายใจอย่างมาก จึงรู้สึกว่าไม่มีหน้าไปพบเจอใคร
ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง คนทั้งสองเดินเลียบลำธารมาช้าๆ ก็คือเซียนกระบี่ที่มองไม่เห็นโฉมหน้ากับเด็กหนุ่มตู้ซานอิน
ตรงเอวของตู้ซานอินผูกถุงใบเล็กหลายใบที่ถักทอขึ้นจากเส้นด้ายสีเงิน เปล่งประกายแสงสีทอง วิบวาวราวกับแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ
เฒ่าหูหนวกยิ้มเอ่ย “มิน่าเล่า”
อยู่ในฟ้าดินแห่งนี้ โครงกระดูกสองประเภทอย่างโครงกระดูกปีศาจใหญ่กับโครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนเน่าเปื่อย ผุกร่อน หลุดลอกอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่มองไม่เห็น แต่ร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย บางทีก็อาจมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่นสลายกลายเป็นกองทรายสีทอง ที่หายากยิ่งกว่านั้นก็คือกลายเป็นเศษชิ้นส่วนร่างทอง ก่อนหน้านี้ตอนที่อิ่นกวานหนุ่มมาเดินเล่น เพราะโชคไม่ดีถึงได้ไม่เห็นสิ่งเหล่านั้น กลับเป็นเด็กหนุ่มตู้ซานอินที่แค่ติดตามเซียนกระบี่เดินเที่ยวรอบหนึ่งก็ได้ของกลับมาเต็มไม้เต็มมือ
เซียนกระบี่ท่านนั้นย่อมไม่มีความคิดจะเป็นฝ่ายไปทำลายโครงกระดูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ทุกวันแค่รอให้เงินหล่นลงมาจากฟ้า จากนั้นก็แค่ก้มตัวลงเก็บ
คิดดูแล้วครั้งนี้ที่พาตู้ซานอินเดินทางไกลก็คงจะเพราะต้องการดูว่าโชคของเด็กหนุ่มเป็นอย่างไร
ริมลำธารมีสตรีซักผ้าอยู่บนแผ่นหิน กำลังใช้ไม้ทุบผ้า ตู้ซานอินตะโกนเรียก นางพลันเงยหน้าขึ้น สดใสมีชีวิตชีวา งดงามเกินคำบรรยาย
ตู้ซานอินพลันเหม่อลอย มีเด็กหญิงมัดผมแกละคล้องตะกร้าไม้ไผ่ไว้ที่แขนยืนอยู่ข้างสตรีคนซักผ้า ดวงตาฉายรอยยิ้ม พอเห็นท่าทางเหม่อลอยลุ่มหลงของเด็กหนุ่ม รอยยิ้มก็ยิ่งฉีกกว้างไม่อาจสะกดกลั้น
เฒ่าหูหนวกถึงได้พาโยวอวี้เดินไปทางซุ้มองุ่น
ด้านใต้ซุ้มองุ่นมีแก้วกระเบื้องงามประณีตหลายใบลอยสูงต่ำไม่เท่ากัน คล้ายกำลังรอให้องุ่นเหล่านั้นหล่นลงมาในแก้ว
แก้วเหล้าเทพบุปผาสิบสองเดือนห้าสีวาดเป็นรูปสตรีเรือนกายอ้อนแอ้นสิบสองคน แล้วยังมีบทกลอนที่เข้ากับบรรยากาศเขียนกำกับไว้สิบสองบท
เฒ่าหูหนวกยิ้มเอ่ย “ในใต้หล้าไพศาลแห่งนั้น นอกจากสตรีที่เป็นเทพบุปผาแล้ว ยังมีเทพบุปผาที่เป็นบุรุษอีกสิบสองท่าน ล้วนเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการและคนโปรดของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา ส่วนใหญ่เป็นเซียนหรือไม่ก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการประพันธ์ เพราะโชควาสนานำพา จึงเกิดแรงบันดาลใจเขียนบทกวีอันไพเราะชวนตะลึงให้กับดอกไม้บางชนิดซึ่งทิ้งชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์ อาเหลียงเคยเปิดเผยความลับสวรรค์บอกว่าการถือกำเนิดของบทกวีที่มีชื่อเสียงยาวนานเหล่านี้ใช่ว่าจะแต่งขึ้นโดยบังเอิญเสมอไป ย่อมต้องมีการผลักดันอย่างลับๆ จากพวกแม่นางที่เป็นเทพบุปผา การเดินทางท่องเที่ยวยามค่ำคืนใต้แสงจันทร์หน้าบุปผาอันงดงาม ช่างชวนให้คนอิจฉายิ่งนัก”
เด็กหนุ่มโยวอวี้รู้สึกเหมือนกำลังฟังตำราสวรรค์
ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ บางครั้งเฒ่าหูหนวกก็ไปที่หัวกำแพงเมือง แล้วก็แสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ ไม่เอ่ยอะไรสักคำเดียว อย่างมากก็แค่เจอกับอาเหลียงโดยบังเอิญถึงจะพูดคุยกับเขาบ้างสองสามคำ
ในความเป็นจริงแล้วหากดูแค่เรื่องของแผ่นศิลาเจ้อกูเทียน รวมไปถึงการพูดคุยระหว่างเฒ่าหูหนวกกับเฉินผิงอันก็รู้ได้แล้วว่าปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานผู้นี้มีความรู้ไม่ตื้นเขิน
เด็กชายผมขาวร่างเล็กเตี้ยด้านหลังแบกโครงกระดูกขาวราวกับหยกก้าวเดินว่องไวอยู่ริมฝั่งของลำธาร
เท้าสองข้างของกระดูกขาวรากละอยู่กับพื้นดินส่งเสียงดังลั่นเปรี๊ยะๆ
เห็นได้ชัดว่าเป็นคราบร่างเซียนกิ่งทองใบหยก ก็ไม่รู้ว่าเขาไปขุดเอามาจากไหน
สิงกวานที่ทั่วร่างอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกล้อมวนคนนั้นหันหน้าไปมองเทวบุตรมาร
เด็กชายผมขาวหยุดเดินทันใด หันมาประสานสายตาข้ามผ่านลำธาร ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ก็แค่เอาของขวัญพบหน้ามามอบให้ลูกรักแห่งสวรรค์ที่สถานะสูงศักดิ์สองคนนี้เพื่อแสดงความยินดี วันนี้เอามามอบให้ชิ้นหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยเอามามอบให้อีกชิ้น”
เฒ่าหูหนวกหัวเราะร่า
เซียนกระบี่เองก็ไม่เอ่ยอะไร
เด็กชายผมขาวพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าขอใช้สถานะของหลานชายอิ่นกวาน ท่านปู่ของเฒ่าหูหนวกมาสาบานเลย! แค่ขอไปดูที่ประตูหัวใจของทะเลสาบหัวใจพวกเขาเท่านั้น หากมีการกระทำใดที่ลับๆ ล่อๆ ก็ขอให้ถูกฟ้าผ่าหัว”
เขาเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “แค่ดูไม่กี่ที ดูแค่ไม่กี่ทีจริงๆ นานมากๆ แล้วที่ข้าไม่เคยเห็นภาพบรรยากาศระหว่างใต้หล้าเปลี่ยวร้างกับกำแพงเมืองปราณกระบี่เลย”
เทวบุตรมารนอกโลกตนนี้หันไปมองเด็กหนุ่มสองคน “ข้าแซ่อู๋ อู๋ที่ประกอบจากอักษรตัวโข่วและตัวอักษรเทียน ชื่อเตี๋ย มาจากเตี๋ยที่แปลว่าพูดจ้อไม่หยุด ผู้อาวุโสอย่างข้าไม่มีมาดอะไรหรอก พวกเจ้าสองคนแค่เรียกชื่อข้าก็พอแล้ว”
เฒ่าหูหนวกกับสิงกวานต่างก็ไม่มีใครดูแคลนเทวบุตรมารนอกโลกผู้นี้
เพราะอีกฝ่ายเป็นเพื่อนบ้านที่น่ารำคาญมากจริงๆ
เด็กชายผมขาวยังจะตื๊อต่อ แสงกระบี่พลันเปล่งวูบ
เด็กชายผมขาวโยนโครงกระดูกนั้นทิ้งแล้วก็หนีไป ทุกครั้งที่รวมร่างเป็นคนก็จะต้องถูกแสงกระบี่ที่ตามติดดั่งเงาโจมตีจนแหลกสลาย หลายสิบครั้งเข้าก็ออกห่างจากกระท่อมมาหลายสิบลี้ แสงกระบี่ถึงได้ไม่ตามมาอีก
เด็กชายผมขาวทะยานลมลอยตัวอยู่กลางอากาศ โอดครวญไม่หยุด
เพราะแสงกระบี่ที่เหลืออีกชุ่นกว่าๆ ลอยอยู่ห่างไปไม่ไกล
นี่ก็คือเวทกระบี่ของสิงกวานผู้นั้น ขอแค่เซียนกระบี่คนนั้นยินดี แสงกระบี่ก็สามารถไล่ฆ่าเทวบุตรมารนอกโลกด้วยตัวเองไปได้อีกหลายปี
เด็กชายผมขาวยกสองมือขึ้น “เด็กดี กลับบ้านไปเถอะ ข้าไม่รบกวนพวกเจ้าแล้วก็ได้ ข้าจะไปหาใต้เท้าอิ่นกวานแล้วกัน”
เขาบอกว่าจะไปก็ไปทันที
ร่างของเขาเปล่งวูบหายไปจนมาถึงบนบันไดของคุก
แสงกระบี่ไม่ได้ติดตามมาด้วย
‘เด็กชาย’ ที่ห้อยงูเขียวเป็นต่างหู พกกระบี่สั้นเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช้า ไม่ได้เข้าไปในสภาพจิตใจของเด็กหนุ่มสองคนนั้น จึงรู้สึกเสียดายอย่างมาก
เขามองดูความทรงจำของคนอื่นเหมือนมองดูสมุดภาพ ภาพที่ความทรงจำพร่าเลือนก็คือภาพลายเส้นขาวดำ ยิ่งความทรงจำของคนบางเบามากเท่าไร ภาพก็ยิ่งพร่าเลือนมากเท่านั้น ส่วนคนและเรื่องราวที่ความทรงจำลึกล้ำจะเป็นภาพที่มีสีสันสดใส เหมือนวัตถุที่จับต้องได้จริงในฟ้าดินของจริง ถึงขั้นมีรายละเอียดยิบย่อยให้เห็นอย่างชัดเจน วิธีการของเทวบุตรมารไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ยังมีวิชาการจรดพู่กันที่หากขอบเขตของผู้ฝึกตนสูงเท่าไร วิชาอภินิหารของเทวบุตรมารก็จะยิ่งเพิ่มสูงมากเท่านั้น ถึงขั้นที่ว่าสามารถเปลี่ยนแปลง วาดและแต่งเติมลงไปบนภาพที่อยู่ในห้องหัวใจที่คนอื่นเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี สามารถทำให้คนลืมเลือนไป หรือไม่จู่ๆ ก็จำได้ขึ้นมา
การที่เจ้านครจักรพรรดิขาวเป็นคนในวิถีมาร แต่กลับเป็นที่กริ่งเกรงของผู้ฝึกตนบนยอดเขาในใต้หล้าไพศาล ก็อยู่ที่ว่าเขาเชี่ยวชาญวิชานี้
แต่วิธีการที่ ‘ไร้เหตุผล’ ของเจ้านครท่านนั้นยังมีอีกมาก เทวบุตรมารนอกโลกตนนี้เลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก อยากจะไปเยี่ยมหาเจ้านครท่านนั้นที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ขอประลองมรรคกถากับอีกฝ่ายดูสักครั้ง
เพียงแต่ว่าเขาไม่อาจหลุดพ้นไปจากกรงขังแห่งนี้ได้
ไปหาเรื่องสนุกทำดีกว่า
ถึงอย่างไรเฉินชิงตูก็ตอบตกลงกับตนแล้วว่า ขอแค่ไม่ลงมือกับคนหนุ่มโดยตรง แต่แอบอ้างใช้ของอย่างอื่น บวกกับการหยั่งเชิงก่อนหน้านี้ เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม ยังมีโอกาสอีกสองครั้ง