เด็กชายผมขาวเลือกได้สองคน หนึ่งคือปีศาจจิ้งจอกที่วิชาการล่อลวงใจคนธรรมดา รวมไปถึงผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งที่ต้องตายอย่างมิต้องสงสัย
ถึงอย่างไรใต้เท้าอิ่นกวานก็เป็นบุรุษ ดูจากการแต่งกายของเขาแล้วก็น่าจะเป็นบัณฑิตคนหนึ่งด้วย
อารมณ์ใหญ่ๆ หลายอย่างในชีวิตคนมีอารมณ์ด้านความรักที่ยืดเยื้อยาวนานมากที่สุด ไม่ว่าชายหรือหญิงก็เหมือนกัน ทิฐิความดึงดันในแต่ละแบบของมนุษย์ มีเรื่องของศีลธรรมจรรยาที่เป็นโซ่ตรวนพันธนาการคนมากที่สุด ไม่ว่าจะมนุษย์ธรรมดาหรือเทพเซียนก็ล้วนไม่ต่างกัน
ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นมาจากถ้ำจิ้งจอกแห่งหนึ่งในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง น่าเสียดายที่มีแค่เจ็ดหาง ตบะยังตื้นเขินอยู่มาก
เด็กชายผมขาวมายังกรงขังที่ขังปีศาจจิ้งจอกเอาไว้ ไม่รอให้อีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงความผิดปกติก็ไปเยือนทะเลสาบหัวใจของนางแล้ว ‘เปิดตำรา’ มองดูม้วนภาพอย่างกำเริบเสิบสาน
ครู่หนึ่งต่อมา เขาก็เดินอาดๆ ออกมาจากเรือนกายของปีศาจจิ้งจอก เพียงแต่ร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้ เขาส่ายหน้า ช่างน่าสมเพชเวทนาจนมิอาจทนมอง ต่ำช้าเกินไปแล้วจริงๆ มิน่าเล่าคนหนุ่มผู้นั้นถึงไม่หวั่นไหว
ปีศาจจิ้งจอกยังคงไม่รู้สึกตัวอยู่เหมือนเดิม
เด็กชายผมขาวพูดพึมพำกับตัวเองว่า “คราวหน้าเมื่อเจอกับเฉินผิงอันผู้นั้นอีกครั้ง เจ้าก็กลับคืนรูปโฉมเดิมซะเถอะ เปลือยหน้าพบเจอผู้คน สวมเสื้อผ้าให้สะอาดสะอ้านสักหน่อย”
“ข้าต้องช่วยเจ้าแต่งเรื่องที่เศร้ารันทดและจริงใจถึงจะได้ ยกตัวอย่างเจ้าเช่นมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เพื่อให้ได้พบหน้าบุรุษที่ตัวเองรักสักครั้ง”
“จากนั้นก็ค่อยมอบวิชาอภินิหารเพิ่มเติมให้แก่เจ้า ใช้วิชาของศพงามมาฝึกเวทหลากสี แล้วค่อยช่วยแอบสร้างกระโจมเฟิงหลิวให้เจ้าแห่งหนึ่ง แบบนั้นถึงพอจะมีโอกาสชนะได้บ้าง จะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าเด็กนั่นมีจิตใจสงบมั่นคงมากเกินไป สภาพจิตใจประหลาดมากเกินไป”
ไม่ว่าวัสดุของวัตถุแห่งชะตาชีวิตของศพงามจะคืออะไร สุดท้ายหลอมออกมาเป็นรูปลักษณ์แบบใด ไม่ว่าจะเป็นกระโจมม่านโปร่งแดง เตียงปาปู้ หรือผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง ก็ล้วนเรียกรวมกันว่ากระโจมเฟิงหลิวทั้งสิ้น และยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบ้านเกิดแห่งความอ่อนโยน
เทวบุตรมารนอกโลกตนนี้ยึดครองห้องหัวใจของปีศาจจิ้งจอกเจ็ดหางมาอย่างง่ายดาย แล้วเริ่มยกพู่กันวาดภาพ แต่แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา
ผู้ฝึกตน ชีวิตของข้าเป็นของข้างั้นหรือ?
มองประเมินตัวเองสูงเกินไปหน่อยหรือไม่?
……
หลังจากเปิดฉากเข่นฆ่ากับผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ไปแล้ว เฉินผิงอันที่ร่างท่วมเลือดก็นอนอยู่บนพื้น หอบหายใจหนักหน่วง
เหนี่ยนซินโยนขวดกระเบื้องใบหนึ่งให้เขา จากนั้นนางก็เริ่มยุ่งวุ่นวายอยู่ด้านข้าง พลางเอ่ยว่า “ต้องการแต่ความเร็วจะทำให้ไม่บรรลุประสิทธิผล เริ่มฆ่าจากโอสถทองถือว่าถูกต้องแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ข้าต้องหาสถานที่พักพิงอยู่ที่นี่ก่อน เป็นสถานที่แบบที่สามารถสงบจิตใจฝึกตนได้น่ะ”
เหนี่ยนซินกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปหาเทวบุตรมารตนนั้น เขาเชี่ยวชาญเรื่องการจำลองภาพมายาเป็นของจริงมากที่สุด”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ในเมื่อหนีไม่พ้น ถ้าอย่างนั้นก็ไม่หนีแล้ว”
เหนี่ยนซินจัดการกับเศษซากที่เหลือต่อไป เอ่ยว่า “อีกไม่นานพวกเราจะต้องลงมือเริ่มงานกันแล้ว จะบอกเคล็ดลับบางอย่างของคนเย็บผ้าให้เจ้า เจ้าจะได้เตรียมใจไว้ก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้ทำอะไรฉุกละหุกเกินไป แล้วต้องเจอกับเรื่องยากลำบากที่ไม่จำเป็น”
เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นนั่งทันที
เหนี่ยนซินเอ่ย “งานบนมือก็คือต้องเริ่มจากการแกะสลักลูกตาก่อน แต่ฟังดูเหมือนจะไม่ค่อยน่าอภิรมย์นัก ถ้าอย่างนั้นก็พูดเรื่องง่ายๆ กับเจ้าก่อนแล้วกัน”
เฉินผิงอันได้แต่ยิ้มจืดเจื่อนพยักหน้ารับ
เหนี่ยนซินเอ่ยเนิบช้า “ตามกฎของคนเย็บผ้า ฟ้าดินในร่างกายคนแบ่งออกเป็นสามเส้นสายอย่างภูเขา น้ำและลมปราณ เส้นเอ็นและกระดูกเป็นเส้นสายภูเขา เลือดสดเป็นเส้นสายน้ำ ปราณวิญญาณผสานรวมกับวิญญาณเป็นเส้นสายลมปราณ”
เฉินผิงอันกล่าวเสียงทุ้มหนัก “ขอผู้อาวุโสเหนี่ยนซินโปรดอธิบายอย่างละเอียด ยิ่งละเอียดเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น”
สามารถเอามาเทียบกับคำกล่าวของผู้อาวุโสหลี่เอ้อได้ ต่างฝ่ายต่างช่วยพิสูจน์กันและกัน จะเป็นประโยชน์ต่อเส้นทางสายวรยุทธอย่างมาก
จุดที่เล็กละเอียดของร่างกายมนุษย์มีด่านสำคัญอยู่มากมาย ก็เหมือนแผนที่ภูมิศาสตร์ของอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาล
เหนี่ยนซินเล่าถึงรายละเอียดต่างๆ อย่างฉะฉาน ถ้อยคำที่นางเอ่ยมีเยอะมาก จากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น แบฝ่ามือออก ผิวพรรณเติบโตบนฝ่ามือของนางอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็ไม่ต่างอะไรจากคนปกติ “ยกตัวอย่างเช่นนิ้วทั้งห้าคือขุนเขา เส้นลายมือคือน้ำ คดเคี้ยวตัดสลับกัน นี่ก็คือสถานการณ์ที่ขุนเขากับสายน้ำใหญ่ผสานรวมกัน หากมองแค่ฝ่ามือ ก็สามารถมองว่ามีฟ้าดินแห่งหนึ่งอยู่ในฝ่ามือได้ เมื่อไล่มองไปตามเส้นสายลายมือแล้ว อวัยวะภายในทั้งหมดจะกระจ่างชัดในสายตา ไม่อย่างนั้นวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือของผู้ฝึกตนจะมาจากไหน?”
ไม่รอให้เฉินผิงอันถามถึงคาถาวิชาอภินิหารการมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามืออย่างละเอียด เพราะนี่เป็นเวทคาถาที่เขาติดใจมาเนิ่นนาน เหนี่ยนซินกลับเปลี่ยนหัวข้อไปพูดเรื่องอื่นแล้ว นางตั้งฝ่ามือขึ้น กางนิ้วทั้งห้าออก “สามารถเย็บผ้าเป็นภาพห้าขุนเขาที่แท้จริง แล้วก็สามารถวาดเป็นลายเมฆของเวทห้าอสนีดั้งเดิม ทั้งสามารถร่ายเวทปิดกระดาษเหลือง หลอมวัตถุห้าธาตุ ขณะเดียวกันก็สามารถเขียนคำบูชาเทพเจ้า เพียงแค่ห้านิ้ว ลำพังส่วนที่ข้าเชี่ยวชาญก็มีมากถึงหกชนิด บรรพจารย์บุกเบิกขุนเขาที่ถ่ายทอดวิชาให้กับคนเย็บผ้าอย่างพวกเรามีพรสวรรค์เป็นเลิศ ในยุคหลังก็ไม่มีใครเท่าเทียมเขาได้ ใช้วิธีการทับซ้อนค่ายกลเอาเวทคาถาหลายสิบชนิดมาหลอมในเตาเดียวกัน พลิกมือเป็นเมฆทับมือเป็นฝน วิชาอภินิหารไม่แพ้ให้กับเทพพิรุณพ่อปู่วาโยในยุคบรรพกาล เคยทะยานลมไปเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์ แค่ใช้ฝ่ามือข้างเดียวร่ายเวทห้าอสนีดั้งเดิมก็สามารถทำให้ฟ้ามืดดินมัวได้แล้ว”
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ข้าเคยอ่านเจอเรื่องเล่าหนึ่งในผลงานของนักเขียนส่วนตัว บอกว่ามีคนสักบทกลอนหลายร้อยตัวอักษรของนักประพันธ์ใหญ่ไว้บนร่าง นี่จะซุกซ่อนข้อพิถีพิถันของคนเย็บผ้าเอาไว้หรือไม่?”
เหนี่ยนซินเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “สมองมีปัญหา”
เฉินผิงอันเพียงแค่พยักหน้าเอ่ยอย่างคล้อยตาม “ก็จริง ตอนนั้นข้าก็คิดแบบนี้เหมือนกัน”
เหนี่ยนซินอธิบายประวัติความเป็นมาของเวทลับชนิดต่างๆ ของคนเย็บผ้าต่อไป
เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมา แต่กลับไม่ได้ดื่มเหล้า
เหนี่ยนซินถามชวนคุย “เหตุใดบุรุษถึงได้ชอบดื่มเหล้ากันนัก โดยเฉพาะพวกผู้ฝึกตน ดื่มเหล้าทำให้เสียการเสียงาน”
“ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่อาจเทียบกับใต้หล้าไพศาลของพวกเราได้ ต่อให้ฝ่าทะลุขอบเขตก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างยืนยาว มีผู้ฝึกกระบี่เซียนดินสักกี่คนที่สามารถมานั่งดื่มเหล้ากินผักดองข้างทางได้”
วันหน้าฟ้าดินก็จะไม่มีภาพเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้ว
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย นึกถึงนางที่อยู่ในใจแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สตรีก็คือสุรา ไม่จำเป็นต้องดื่ม”
เฉินผิงอันทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนพูด เด็กหนุ่มชอบเด็กสาวคือการดื่มเหล้าหมักข้าวเหนียว อันที่จริงรสชาติไม่เข้มข้น ทว่าเพิ่งเคยดื่มเป็นครั้งแรกจึงทำให้คนเมามายได้เช่นกัน หลังจากเติบใหญ่ บุรุษชอบสตรีก็เหมือนดื่มเหล้าต้ม หากไม่ระวังอาจเผาให้ไส้ขาด อายุมากเข้าหน่อย ชายแก่คิดถึงสตรี คือเหล้าเหลืองกาหนึ่งที่ถูกอุ่นให้ร้อนในฤดูหนาว
เหนี่ยนซินหันหน้ามองไปแล้วเอ่ยสัพยอกว่า “วันหน้าพูดจาแบบนี้กับสตรีให้น้อยหน่อย”
เฉินผิงอันยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าจะเปลี่ยนแปลง”
เดิมทีนอกจากหนิงเหยาก็ไม่มีใครให้เขาพูดถ้อยคำรักหวานซึ้งด้วยอยู่แล้ว
เฉินผิงอันหลับตาลง เรื่องของการเย็บผ้าในคุก ทั้งที่รู้ดีว่าจะรีบร้อนไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็อยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วหน่อย
เวลานี้เทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นกำลังประสานสายตาอยู่กับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตล่างคนนั้น
ส่วนทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ศึกใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
แสงอาทิตย์ร้อนแรงสาดส่องบนหัวกำแพงเมือง
นักพรตเฒ่าเอามือข้างหนึ่งตบทะเลเมฆใต้ร่างที่เหมือนเบาะรองนั่งที่ใหญ่ที่สุดบนโลกเบาๆ อีกมือหนึ่งกวักไปทางดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ “คุณูปการของข้าผู้เป็นนักพรตยังไม่สมบูรณ์ กระเป๋าฟีบแบน เป็นนักพรตที่ยากจนอย่างแท้จริง จึงได้แต่ยืมใช้แสงบางส่วนก่อน”
ทะเลเมฆที่กว้างใหญ่ไพศาลกระจายตัวไปรอบด้านก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงมารวมตัวกันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างทองหลายองค์ พอนักพรตเฒ่าโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พวกมันก็หล่นลงบนสนามรบ
บนแนวเส้นเส้นหนึ่งมีเผ่าปีศาจร่างใหญ่โตมโหฬารที่เผยร่างจริงพุ่งเข้าชนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างทอง
ภิกษุสวมจีวรสะบัดไหล่สลัดแมลงสิงโตที่ถูกหลอมเป็นตัวอักษรภาษาพระธรรมออกจากร่าง
อริยะลัทธิขงจื๊อกำลังนั่งตัวตรงอย่างสำรวม อากาศกำลังดี เหมาะกับการตากหนังสือ
ชื่อหนังสือมีอักษรแห่งชะตาชีวิตอยู่ตัวหนึ่ง สาระสำคัญช่วงเริ่มต้นล้วนล้อมวนอยู่รอบตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตตัวนั้น
เผ่าปีศาจแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่โจมตีเมืองมีมากมายจนนับไม่ถ้วน
วันนี้เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่นอกกรงขัง
เหนี่ยนซินเอาสองมือไพล่หลัง จ้องมองดวงตาคู่นั้นของเฉินผิงอัน
จิตหยินของนางกำลังใช้เข็มเย็บผ้าแกะสลักดวงตาข้างหนึ่งของคนหนุ่ม
เวลายาวนานติดต่อกันถึงหนึ่งถ้วยชา ดังนั้นจึงมีเลือดสดเล็กๆ มารวมตัวกันแล้วไหลออกจากกรอบดวงตาเขาเป็นเส้นๆ
เหนี่ยนซินสังเกตดูสภาพจิตใจของคนหนุ่มแล้วก็เอ่ยว่า “หากแค่ด่านนี้ยังทนต่อไปไม่ไหว การเย็บผ้าต่อจากนี้ แนะนำเจ้าว่าให้ล้มเลิกเสียเถอะ อย่าได้หลับตา หากลูกตาขยับแม้เพียงเล็กน้อย ทุกอย่างที่ทำมาก็จะสูญเปล่า ผลลัพธ์ที่ตามมาก็ต้องแบกรับเอาเอง”
มีเพียงอดทนจนผ่านไปได้ คนเย็บผ้าก็ย่อมต้องมีวิธีการมหัศจรรย์ในการรักษาบาดแผล
ครู่หนึ่งต่อมา เหนี่ยนซินก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยว่า “ไม่เลว ดูจากท่าทางแล้วน่าจะทำควบได้สองเรื่อง ลูกตาสามารถใช้วิธีแปะกระดาษเหลืองและรมแห้งที่ตื้นเขินที่สุดได้ จากนั้นก็ค่อยๆ เริ่มเย็บ ใช้การสลักลายเมฆเป็นหลัก ตัวอักษรที่สลักจะตื้นที่สุด แต่ตรงกระดูกสันหลังของเจ้าต่อจากนั้นก็จะไม่ผ่อนคลายอีกต่อไป หลักๆ คือต้องใช้วิชาเสียบมีดในการลงมีด ต้องใช้ตัวอักษรจิ่วเตี๋ย ตัวอักษรเหนี่ยวฉงและตัวอักษรฉุยลู่แกะสลักลงบนข้อต่อแห่งต่างๆ บนกระดูกสันหลังของเจ้า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวิชาการลอกเสื้อผ้า ที่สำคัญยิ่งกว่าคือวิชาการสวมเสื้อผ้า เวลานี้ยังเร็วเกินไปนัก หากวันนี้เจ้าอดทนไม่ไหว หรือรู้สึกว่ายังสามารถรอได้อีกหน่อย ก็เปิดปากพูดกับข้าให้ชัดเจนตอนนี้เลย”
เฉินผิงอันเงียบงัน
เหนี่ยนซินมาอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน ใช้สองมือต่างมีด แม้แต่ชุดเขียวและเนื้อหนังของเขาต่างก็ถูกกรีดผ่าไปพร้อมกัน นางยื่นมือไปกำไว้แน่น ความเคลื่อนไหวเชื่องช้าอย่างถึงที่สุด ดึงกระดูกสันหลังทั้งเส้นขึ้นมาเล็กน้อย
สตรีงอนิ้วเคาะลงเบาๆ เงี่ยหูฟังแล้วเอ่ยอย่างเสียดายว่า “เจ้าทำให้ข้าเข้าใจผิด บาดแผลและภัยแฝงเล็กๆ น้อยๆ มีมากมายขนาดนี้เชียวหรือ? เหตุใดเวลาปกติถึงไม่เปิดเผยออกมาแม้แต่น้อย?”
เหนี่ยนซินเอากระดูกสันหลังวางกลับตำแหน่งเดิม น้ำเสียงคล้ายจะแฝงแววตำหนิ “ยังไม่ต้องทายา ความเจ็บปวดเล็กน้อยแค่นี้พยายามปรับตัวให้ชินกับมันได้เร็วๆ จะดีกว่า เจ้าอดทนเก่งนักไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นก็เสวยสุขให้ดีเถอะ”
ก็เพราะว่าเฉินผิงอันไม่อาจเปิดปากพูดได้ แล้วยังต้องพยายามรักษาสภาพจิตใจให้แน่นิ่งเหมือนไม้แห้งเหี่ยว รวมไปถึงให้จิตวิญญาณอยู่ในสภาพที่เป็นดั่ง ‘น้ำตาย’ ไม่อย่างนั้นเขาก็นึกอยากจะเด็ดหัวสตรีผู้นี้ลงมาจริงๆ
……
ในคุก เมื่อหลายวันก่อนมีกรงขังที่ฟ้ากลมแผ่นดินเหลี่ยมแห่งหนึ่งปรากฎขึ้น นอกจากเสาสี่ต้นแล้วก็ไม่มีอะไรบดบังอีก
ศาลาหลังเล็กเหมือนศาลาที่พบเห็นได้ทั่วไปในโลกมนุษย์ แต่ก็ไม่คล้ายทั้งหมด
เฉินผิงอันเปลือยเท้าเปล่าเดินเนิบช้า
เมื่อมาอยู่ในนี้ การมองเห็นพลันเปิดกว้าง แม้ว่าแท้จริงแล้วจะมองไม่เห็นทัศนียภาพใดๆ ก็ตาม
เด็กชายผมขาวห้อยต่างหูเป็นงูเขียวมาลอยตัวอยู่นอกสิ่งปลูกสร้าง ถามว่า “สรุปแล้วเจ้าเป็นยังไงกันแน่?”
เฉินผิงอันไม่หยุดเดิน ย้อนถามว่า “หมายความว่าอะไร?”
เด็กชายผมขาวเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “มีผู้ฝึกตนคนใดบ้างที่สภาพจิตใจเละเทะเหมือนสนามรบเช่นนี้?! ทำเอาข้าผู้อาวุโสไปชนกำแพงอยู่ทุกที่…”
เฉินผิงอันออกหมัดช้าๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทางสว่างย่อมมีกฎราชา ทางมืดย่อมมีเทพผี ทั้งสว่างและมืดล้วนขุ่นมัว มโนธรรมยังอยู่ในใจ ฟ้าดินจักรวาล ตะวันจันทราแสงสว่าง มีอะไรให้ประหลาดใจกัน?”
เหนี่ยนซินที่อยู่บนขั้นบันไดห่างไปไกลเอ่ยเตือนว่า “เริ่มงานได้แล้ว”