พฤกษาเขียวขจี เมฆคล้อยดั่งน้ำตก

ยามจ้าวจิ่งเซวียนมาถึงยอดเขาชำระจิต ก็เห็นหลินสวินที่นอนเรื่อยเปื่อยบนเก้าอี้หวายด้วยอิริยาบถผ่อนคลายอยู่ไกลออกไป

ในมือยังถือน้ำเต้าเปลือกเขียวใบหนึ่งอยู่ ชมนกชมไม้ ผ่อนคลายอยู่เพียงลำพัง

นี่ทำให้นางดวงตาเบิกกว้าง ลอบเข่นเขี้ยว ตนหัวหมุนปานนี้ เจ้าหมอนี่กลับเพลิดเพลินขนาดนี้เสียได้!

“หึ!”

จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าบึ้งตึง แค่นเสียงเย็นเยียบ

บนเก้าอี้หวาย หลินสวินที่ใจไม่อยู่กับตัวกำลังยกน้ำเต้าสุราขึ้นกรอกเหล้าลงปาก เมื่อได้ยินดังนั้นมือก็สั่น พลันสำลักสุราชั้นเลิศที่ลงไปในปากจนต้องเช็ดปากไม่หยุด

“จิ่งเซวียน ทำไมเจ้าถึงโผล่มากะทันหันล่ะ” หลินสวินประหลาดใจ

จ้าวจิ่งเซวียนจะยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ แต่สุดท้ายก็กลั้นเอาไว้แล้วเอ่ยหยันว่า “ถ้าข้าไม่มาจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าสบายขนาดนี้”

นางสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์เรียบง่ายทั้งตัว รวบเส้นผมทั้งหัวไว้ที่ท้ายทอยด้วยเชือกสีแดงเส้นหนึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าสวยสะทั้งยามดีใจและโกรธเคือง งดงามผุดผาด

ตอนนี้ยืนอย่างมีชีวิตชีวาอยู่กลางเมฆพร่าเลือนไกลออกไป เงาร่างอ้อนแอ้นอรชรประหนึ่งนางเซียนมาเยือนโลก

และในชั่วพริบตานี้ หลินสวินถึงได้รู้ว่า…

เวลาที่ผู้หญิงคนหนึ่งสวยที่สุดก็คือตอนที่แม้นางอยากชักสีหน้า แต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

เฉกเช่นจ้าวจิ่งเซวียนในตอนนี้

“งามจริง” หลินสวินชื่นชมประโยคหนึ่งจากใจโดยไม่ตั้งตัว

เดิมทีจ้าวจิ่งเซวียนยังคับข้องใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าช่วงนี้ตนยุ่งวุ่นวายเรื่องตระกูลหลินของเขาขนาดนี้ แต่เจ้าหมอนี่กลับมาอู้อยู่คนเดียว ช่างไร้คุณธรรมจริงๆ

แต่หลังจากได้ยินคำชมเพียงสองคำนี้ ความโกรธเคืองและคับข้องในใจทั้งหมดก็มลายหายไปอย่างไร้สาเหตุเสียแล้ว

“ประจบให้มันน้อยๆ หน่อย!”

นางถลึงตาใส่หลินสวินดุๆ ครั้งหนึ่ง เนตรกระจ่างสุกสกาวมีเสน่ห์ชวนหลงใหลอย่างหนึ่ง

หลินสวินยิ้มพลางลุกขึ้น รีบสละเก้าอี้หวายแล้วเชิญจ้าวจิ่งเซวียนมานั่ง

ส่วนตัวเขายืนอยู่อีกด้านหนึ่ง กุมมือทั้งสองขึ้นคารวะ เอ่ยด้วยเสียงเคารพนบนอบว่า “ไม่ทราบว่าองค์หญิงจะมาเยือนจึงไม่ได้ไปต้อนรับด้วยตัวเอง ขอองค์หญิงประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

จ้าวจิ่งเซวียนร้องอ้อครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “โทษตายเลี่ยงได้ แต่โทษเป็นยากหนีพ้น เจ้าหลินน้อย คราวนี้เจ้าเจอเรื่องใหญ่แล้ว!”

ในใจหลินสวินขำนัก แต่ปากกลับเอ่ยอย่างตื่นตระหนกด้วยท่าทางเคารพยำเกรง “องค์หญิง ข้าน้อยสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาโดยตลอด ไม่เคยก่อเรื่องอุกอาจ ดวงใจนี้สุริยันจันทราฉายสะท้อน ฟ้าอมรสำแดงได้ ท่านจะมาปรักปรำคนดีไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

จ้าวจิ่งเซวียนกลั้นไม่อยู่แล้ว หัวเราะออกมา เอ่ยประณามว่า “พอได้แล้ว เลิกพูดจากะล่อนต่อหน้าข้า เจ้าเป็นถึงเทพมารหลิน แต่ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นคนดี ‘สงบเสงี่ยมเจียมตัว’ หรือ เกิดแพร่ออกไปในดินแดนรกร้างโบราณ ขุมอำนาจใหญ่พวกนั้นต้องถ่มน้ำลายจนท่วมเจ้าตายแน่”

หลินสวินก็หัวเราะแล้ว หย่อนก้นนั่งลงบนหินเก่าแก่ที่อยู่ด้านหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าเห็นเจ้าเหมือนมีเรื่องกังวลใจ เลยแหย่ให้เจ้าร่าเริงขึ้นมาหน่อย”

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ย “ในเมื่อรู้ว่าข้ามีเรื่องกังวลใจ คนว่างงานเช่นเจ้าจะช่วยข้าสะสางหน่อยได้ไหม”

หลินสวินยิ้มพูดว่า “เรื่องที่เจ้ายกขึ้นมาพูด ข้าเคยปฏิเสธด้วยหรือ”

ก็ไม่รู้ว่าจ้าวจิ่งเซวียนนึกอะไรขึ้นได้ หว่างคิ้วปรากฏแววอ่อนโยนกล่าวว่า “เรื่องคราวนี้เกี่ยวกับเจ้า ข้าคิดว่ามีเพียงเจ้าออกหน้าสะสางจะดีกว่า”

หลินสวินสีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง “เกิดอะไรขึ้น”

“ระยะนี้ในนครต้องห้ามมีข่าวลือเกี่ยวกับเจ้ามากมาย กล่าวกันว่าเพราะเจ้าไปล้างบางขุมอำนาจสองตระกูลจั่วและฉิน เลยเหมือนทำให้ศึกในศึกนอกของจักรวรรดิยิ่งร้ายแรงขึ้น…”

จ้าวจิ่งเซวียนเล่าข่าวลือพวกนั้นออกมาจนหมด

ตอนแรกหลินสวินไม่เห็นด้วย แต่ตอนหลังกลับรู้สึกได้ว่าปัญหาออกจะไม่ชอบมาพากล จึงพูดว่า “นี่คือมองข้าเป็นตัวตั้งตัวตีที่ทำให้ฟ้าดินโกลาหลหรือ”

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยว่า “ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น แต่เจ้าก็รู้นี่ ข่าวลือยิ่งมาก เรื่องเท็จก็จะกลายเป็นจริงตามเวลาที่เคลื่อนคล้อยไป”

นางหยุดไปแล้วพูดต่อว่า “อีกอย่าง ข้าสงสัยว่าคนที่กระจายข่าวลือพวกนี้ เป็นไปได้สูงมากว่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเศษเดนที่เหลืออยู่จากตระกูลจั่วและฉิน ถึงขั้นที่ไม่ขาดพวกมุ่งร้ายบางคนโหมไฟให้แรงขึ้นอยู่เบื้องหลัง”

หลินสวินเอ่ย “พวกเขามีเป้าหมายอะไรถึงทำแบบนี้”

จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องนี้เจ้ายังไม่เข้าใจ นี่คือไม้ใหญ่ล่อลม[1]เท่านั้น ตระกูลหลินของเจ้าตอนนี้กำลังเข้มแข็งเกรียงไกร ได้รับความสนใจจากทั้งใต้หล้า การถูกคนอิจฉาตาร้อนก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก”

หลินสวินก็รู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องพรรค์นี้ได้ เพียงอาศัยการเข่นฆ่าและขู่ขวัญไม่อาจปิดปากทุกคนในใต้หล้าไว้ได้อยู่แล้ว!

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยว่า “ตอนนี้พวกศัตรูอย่างกองทัพสัตว์อสูรมารกับพ่อมดเถื่อนเก้าสายต่างชื่นชมเจ้ามากขึ้นไปอีกนะ”

หลินสวินอึ้งไป “นี่เกิดอะไรขึ้นอีก”

จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าขี้เล่น พูดหยอกเย้าว่า “เจ้าล้มตระกูลจั่วกับฉินไปก็เท่ากับว่าช่วยศัตรูพวกนั้น ทำให้กำลังของจักรวรรดิอ่อนแอลง พวกเขาย่อมยินดีที่เกิดเรื่องนี้ หมายใจให้เจ้าทำ ‘ความดี’ ทำนองนี้เพิ่มอีกหน่อย”

ตอนนี้หลินสวินถึงเข้าใจ หมดคำพูดไปครู่หนึ่งอย่างอดไม่อยู่ ทันใดนั้นก็ยิ้มหยันเอ่ยว่า “นี่พวกมันกำลังเย้ยว่าข้ากล้าแต่ในบ้านกระมัง”

จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้า “ข้าก็คิดแบบนี้ หากเปลี่ยนเป็นข้าต้องทนไม่ได้แน่!”

หลินสวินยิ้มขึ้นมา ชี้จ้าวจิ่งเซวียนพลางเอ่ยว่า “ข้าพอจะฟังออกแล้ว นี่เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าไปฆ่าศัตรู”

จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มละไม เผยให้เห็นฟันงามขาวกระจ่าง กล่าวว่า “เปล่า ช่วยตัวเจ้าทำลายข่าวลือต่างหาก เพื่อให้แน่ใจว่าเข้าใจถูกต้อง ทำให้ทุกคนในใต้หล้าไม่กล้าให้ร้ายหรือดูหมิ่นเจ้าอีก”

หลินสวินลุกขึ้นจากก้อนหิน บิดขี้เกียจยาวๆ แล้วเอ่ยว่า “ดีเหมือนกัน ช่วงนี้ก็ออกจะว่างจริงๆ ได้เวลาออกไปเดินสักรอบแล้ว”

สวบ!

จ้าวจิ่งเซวียนโยนม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมากล่าวว่า “ในนี้บันทึกสถานการณ์กองทัพสัตว์อสูรมารที่กระจายตัวอยู่ในจักรวรรดิตอนนี้เอาไว้”

เห็นได้ชัดว่านางเตรียมการให้หลินสวินไว้ก่อนแล้ว

“ต้องระวังตัวหน่อย โลกชั้นล่างแห่งนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่พวกเราคิดไว้ หลังจากฟ้าดินแปรผันฉับพลันก็เกิดเรื่องพิสดารมากมาย อย่างเช่นกองทัพสัตว์อสูรมารเหล่านั้นก็เหมือนกับปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ในจักรวรรดิแต่ก่อนไม่มีทางเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นแน่”

จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา

หลินสวินพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยว่า “จริงสิ ข้าก็มีเรื่องหนึ่งให้เจ้าช่วย”

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยอย่างปรีดา “เจ้าพูดมาเลย”

“ช่วยข้าสืบเรื่องทั้งหมดของลู่ป๋อหยาที”

ดวงตาหลินสวินลุ่มลึก

“ลู่ป๋อหยาหรือ”

จ้าวจิ่งเซวียนนัยน์ตาหดรัดลง ก่อนหน้านี้นางรู้อยู่เลาๆ ว่าหลินสวินเติบโตขึ้นมากับ ‘ท่านลู่’ ตั้งแต่เล็ก

“ใช่”

หลินสวินพยักหน้า

ในอดีตเขานึกว่าท่านลู่เป็นเพียงนักสลักวิญญาณขี้โมโหคนหนึ่ง

แต่ปัจจุบันเขาเป็นมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดแล้ว ตอนนี้ยามหวนนึกถึงประสบการณ์วัยเด็กต่างๆ ของตน ก็ยิ่งรู้สึกว่าท่านลู่ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่!

สามารถช่วยตนที่ตอนนั้นยังเป็นทารกมาจากมือกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งได้ นี่เป็นเรื่องที่คนธรรมดาทำได้หรือ

อีกทั้งเท่าที่หลินสวินรู้ ท่านลู่ได้ทิ้งร่องรอยมากมายไว้ในจักรวรรดิ

หลายปีก่อนคนใหญ่คนโตอย่างราชินีแห่งรัตติกาล เจ้าสำนักศึกษามฤคมรกต ราชครูที่หอดูดาวหลวงต่างล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของท่านลู่!

แต่ท่านลู่เป็นใครกันแน่ ทั้งมีฐานะอะไร จวบจนตอนนี้ยังเป็นปริศนา

หลินสวินรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าขอเพียงเปิดเผยฐานะของท่านลู่ได้ อาจจะทำให้ตนล่วงรู้ร่องรอยบางอย่างของมารดาตนลั่วชิงสวินมากยิ่งขึ้น

“ได้ เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง”

จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้าตอบรับ ตอนนี้นางครองอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิ ถ้าคิดจะหาเรื่องราวในอดีตบางอย่างก็ไม่ได้ยากเย็นนัก

……

“ลุงจง ท่านไปเลือกคนหนุ่มสาวในตระกูลมาสักสิบคน ข้ามีเงื่อนไขเพียงอย่างเดียวคือจิตใจเข้มแข็ง ภักดีต่อตระกูลหลิน เช้าวันรุ่งขึ้นข้าจะพาพวกเขาไปฆ่าอสูรมารที่แนวหน้า”

หลังจากจ้าวจิ่งเซวียนจากไป หลินสวินก็สั่งหลินจงทันที

“ขอรับ”

หลินจงรับคำสั่งแล้วจากไป

เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงว่าการสั่งการเรียบง่ายเช่นนี้ของเขา กลับทำให้ทั้งภูเขาชำระจิตอึกทึกครึกโครม

คนหนุ่มสาวในตระกูลหลินต่างถูกเรียกรวมตัวเพื่อเข้าสู่การคัดเลือกพิเศษ

“เสวี่ยเฟิงเอ๋ย แม้เจ้าจะอายุมากไปหน่อย แต่ดีชั่วก็ถือเป็นญาติผู้พี่ของผู้นำตระกูล คราวนี้ข้าอยากให้เจ้าช่วงชิงโอกาสอันหาได้ยากยิ่งนี้ หากติดตามผู้นำตระกูลไปฆ่าอสูรมารด้วยกันได้ ด้วยความสามารถของผู้นำตระกูล จะทำให้เจ้าบรรลุระดับราชันก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

หลินไหวหย่วนสีหน้าเปี่ยมเมตตา เอ่ยปากอย่างอารี

หลินเสวี่ยเฟิงลังเลอยู่บ้าว “แต่ข้า… ยังมีเรื่องมากมายต้องทำนะ”

หลินไหวหย่วนพูดอย่างขัดใจ “เจ้าโง่! เจ้ายังดูไม่ออกหรือ นี่ผู้นำตระกูลคิดจะบ่มเพาะผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งนะ ยังมีเรื่องอะไรสำคัญกว่านี้อีก”

หลินเสวี่ยเฟิงกล่าวอย่างจนใจว่า “เช่นนั้นข้าจะลองดู”

หลินไหวหย่วนพลันยิ้มขึ้นมา “ต้องพยายามเข้า!”

……

“ซิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นต้นกล้าชั้นดีที่มีศักยภาพมากที่สุด พรสวรรค์สูงที่สุดในสายพวกเรา และอิงตามศักดิ์แล้วผู้นำตระกูลเป็นอาของเจ้า โอกาสนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องคว้าไว้ให้มั่น รู้ไหม”

“อวิ๋นเยียน ในนครต้องห้ามตอนนี้ลุงของเจ้าก็คือบุคคลในตำนานผู้หนึ่ง พลังปราณสูงส่งของเขาก็เหมือนมังกรเทพบนสวรรค์ ทำให้ผู้คนในโลกทำได้เพียงแหงนหน้ามองดู! ติดตามเขาไปสังหารอสูรมาร เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับได้รับวาสนาสูงสุดครั้งหนึ่ง!”

…การสนทนาทำนองนี้เกิดขึ้นไปทั่วภูเขาชำระจิต ลูกหลานรุ่นเยาว์ตระกูลหลินทุกคนต่างถูกผู้อาวุโสกำชับอย่างเคร่งครัด

คนรุ่นเยาว์เหล่านั้นก็รับรู้ได้ว่านี่เป็นโอกาสอันล้ำค่าหาใดเทียบครั้งหนึ่ง จึงทั้งตื่นเต้นและร้อนรนอย่างเลี่ยงไม่ได้

หลินสวิน!

ตอนนี้ในนครต้องห้ามจะมีใครไม่รู้จัก

คนผู้นี้ก็คือตำนานบทหนึ่ง!

‘ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้!’

คนรุ่นเยาว์มากมายต่างลอบตั้งมั่นในใจ

ในขณะเดียวกัน หลินจงก็กลายเป็นคนเนื้อหอมในหมู่คนใหญ่คนโตตระกูลหลิน ใช้ทุกวิถีทางด้วยต้องการชิงตำแหน่งรายชื่อให้ลูกของตัวเอง

แต่หลินจงกลับอึดอัดใจจนแทบจะหลบหน้าแทน

……

ในขณะเดียวกันหลินสวินก็กำลังสนทนากับพญาแร้ง

“พูดเช่นนี้ เป็นไปได้สูงมากที่ราชันอินทรีแดงยังไม่ตายหรือ”

ยามหลินสวินกลับมา ก็ได้ฟังเรื่องผู้แข็งแกร่งระดับราชันตระกูลจั่วคนหนึ่งมองราชันอินทรีแดงเป็นผู้ทรยศที่สนามรบแนวหน้า

ตอนนี้เขากำลังจะไปสังหารอสูรมารที่แนวหน้า หากเป็นไปได้ เขาก็อยากไปดูเสียหน่อยว่าราชันอินทรีแดงยังมีชีวิตอยู่หรือไม่กันแน่

“ตามข่าวที่พวกเรารู้มา สุดท้ายราชันอินทรีแดงก็หนีไปทั้งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กระทั่งตอนนี้ยังไม่กลับมา จึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่าอยู่หรือตาย”

พญาแร้งนิ่วหน้าพูด

“ช่างเถอะ ถึงเวลาข้าจะไปดูเอง”

หลินสวินตัดสินใจ

หลายปีนี้ราชันอินทรีแดงทุ่มเทให้ตระกูลหลินอย่างมากมาย ตอนนี้ถูกมองว่าเป็นผู้ทรยศ ไม่รู้ว่าอยู่หรือตาย หลินสวินจะไม่สนใจได้อย่างไร

——

[1] ไม้ใหญ่ล่อลม หมายถึงคนที่ยิ่งโดดเด่น ยิ่งมีชื่อเสียงหรือทรัพย์สินเงินทองมาก ก็ยิ่งตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่นได้ง่าย