มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1369

พูดได้เลยว่าหยุนจื่อซูเป็นอัจฉริยะขั้นสุดยอดที่โดดเด่นที่สุดในวัยรุ่นยุคใหม่ของสำนักหยินหยางแล้ว ผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับนี้ยังเข้าวังอัมพรกลียุคไม่ได้ หมอนี่แข็งแกร่งกว่าหยุนจื่อซูตรงจุดใดกันแน่?

ส่วนแววตาของฉินเฟยเสว่นั้นกลับเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม นางเป็นสตรีผู้ภาคภูมิของสวรรค์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ครานั้นนางลงมาฝึกฝนและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในโลกามนุษย์ นางฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ในบัดดลจึงทิ้งแดนเบญจธาตุที่หนึ่งเอาไว้ อีกทั้งทิ้งร่างผันในช่วงวัยที่แตกต่างกันไว้วัยละร่างด้วย

ที่นางทำเช่นนี้นั้น เป็นเพียงพฤติกรรมที่ทำตามอารมณ์ ณ เวลานั้น นางไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าในโลกามนุษย์ จะมีอัจฉริยะที่คุ้มค่าแก่การให้นางให้ความสนใจ

ในขณะที่นางปิดขังเมื่อไม่นานมานี้ จู่ ๆ กลับสัมผัสได้ว่ามีคนผ่านด่านการฝึกปรือสุดท้ายในแดนเบญจธาตุที่ตัวเองทิ้งไว้เมื่อแสนกว่าปีก่อนแล้ว

ดังนั้นนางจึงรีบออกจากการปิดขังในทันที เพราะอิงตามที่นางกำหนดไว้ ณ เวลานั้น ผู้ที่ผ่านการฝึกปรือด่านสุดท้ายจะได้รับบัญชาหยินหยาง และสามารถอาศัยบัญชาหยินหยางมายังฐานหยินหยางได้

“เจ้าคือหลัวซิวหรือ?”ฉินเฟยเสว่เดินตรงไปข้างหน้าหลัวซิวด้วยลักษณะการเดินที่งดงามดุจดอกบัวที่สั่นไหว รูปร่างของนางสูงโปร่ง เตี้ยกว่าหลัวซิวเล็กน้อยเท่านั้น

“ผู้น้อยเองขอรับ”หลัวซิวทำท่าคารวะ และถือโอกาสพูด: “ผู้น้อยมีเรื่องจะรายงานขอรับ”

“ว่าอย่างไรนะ? แหล่งแห่งกฎหายไปแล้ว?”

หลังจากฟังคำบรรยายของหลัวซิวจบ ฉินเฟยเสว่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก ส่วนสีหน้าของผู้อาวุโสหวูกลับเปลี่ยนไปเยอะมาก ก่อนที่เขาจะร่ายพลังตราประทับด้วยเคล็ดวิชาเพื่อส่งข่าวเรื่องนี้ออกไป

“เทพธิดา เกิดเรื่องในฐานหยินหยางแล้ว ข้าต้องไปจัดการก่อน”ผู้อาวุโสหวูพูดกับฉินเฟยเสว่ด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจ

“ผู้อาวุโสหวูเชิญตามสบายได้เลย”ฉินเฟยเสว่พยักหน้าเบา ๆ

หลังจากที่ผู้อาวุโสหวูจากไปแล้ว ฉินเฟยเสว่จึงกวาดตามองหลัวซิวตั้งแต่หัวจรดเท้า“เจ้าน่าจะทราบแล้วใช่ไหมว่าเหตุใดข้าถึงมาตามตัวเจ้า”

“ขอขอบพระคุณสำหรับบัญชาหยินหยางที่ผู้อาวุโสประทานให้ ทำให้ผู้น้อยมีโอกาสได้เข้าไปฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์ในฐานหยินหยาง”

หลัวซิวก้มคำนับคารวะอีกครั้ง เขารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณนี้ของฉินเฟยเสว่จริง ๆ มิเช่นนั้นละก็ หากไม่ใช่เพราะดูดซับแหล่งแห่งกฎในขั้นตอนแรกของฐานหยินหยาง เขาไม่มีทางเปิดจุดลมปราณได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน

เป็นการเปิดจุดลมปราณบนร่างกายมนุษย์เหมือนกัน แต่พิภพที่กำเนิดจากจุดลมปราณยิ่งสมบูรณ์แบบเท่าไหร่ ศักยภาพในการเจริญเติบโตของตัวนักยุทธ์ก็ยิ่งมากเท่านั้น เรื่องนี้ถือเป็นก้าวที่สำคัญมาก ๆ บนชีวิตในโลกยุทธ์ของหลัวซิว

ฉินเฟยเสว่อมยิ้ม“เจ้าก็มิต้องขอบคุณข้าหรอก การที่เจ้าสามารถตามหาแดนเบญจธาตุจนพบ อีกทั้งผ่านการทดสอบในแดนปริศนาได้นั้น ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเจ้ามีวาสนาต่อข้า”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ก็มีรอยยิ้มที่ดูปลิ้นปล้อนปรากฏอยู่บนใบหน้าที่งดงามอย่างไร้ที่ติของนางเล็กน้อย“ในเมื่อมีวาสนาต่อกัน จะดีกว่าหากทำให้วาสนาเราใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์สนิท เจ้าว่าอย่างไร?”

กระทั่งถึงตอนนี้นางก็ฝึกตนมาเป็นเวลาสามแสนกว่าปีแล้ว เมื่อมองในมุมอายุไขของมกุฎเทพที่มีไม่ต่ำกว่าสามล้านปีแล้ว นางในบัดนี้ยังถือว่าค่อนข้างสาว ยังมีศักยภาพอีกไม่น้อย ซึ่งอนาคตนางมีโอกาสบรรลุถึงมกุฎเทพช่วงกลาง ช่วงปลาย หรืออาจจะบรรลุถึงมกุฎเทพขั้นสูงก็เป็นได้

ส่วนพรสวรรค์ของหลัวซิวผู้นี้กลับดีกว่าตนเองมาก ๆ กำเนิดในโลกามนุษย์ เมื่ออายุกระดูกอยู่ในวัย 62 ปีเหมือนกัน ศักยภาพของเขาแข็งแกร่งกว่านางเสียอีก

หากบ่มเพาะหน่อที่ดีเลิศเช่นนี้ดี ๆ อนาคตอย่างน้อยเขาก็ต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ระดับเดียวกับตนได้แน่นอน และสามารถช่วยให้ตำแหน่งของตัวเองที่อยู่ในวังอัมพรกลียุคมั่นคงมากขึ้น

หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคาดการณ์จุดนี้ได้ตั้งนานแล้ว แต่ทว่าความลับที่อยู่บนตัวเขามีเยอะเกินไป โดยเฉพาะเศษใจแห่งศุภรและลูกแก้วความเป็นตาย ทันทีที่ถูกผู้อื่นค้นพบ มันต้องนำพาหายนะครั้งยิ่งใหญ่ให้แก่ตนอย่างแน่นอน

“เมื่อเสร็จสิ้นการฝึกปรือในฐานหยินหยางแล้ว ผู้น้อยยังต้องย้อนกลับไปในโลกามนุษย์อีก ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการอยู่ขอรับ”หลัวซิวปฏิเสธอย่างนิ่มนวล

“เรื่องสำคัญอันใดหรือ ถึงคุ้มแก่การให้เจ้าละทิ้งโอกาสที่หากยากเช่นนี้?”ฉินเฟยเสว่ขมวดคิ้วที่งดงามคู่นั้นลงไปเล็กน้อย“เจ้ากำเนิดในโลกามนุษย์ การที่บรรลุขึ้นมายังผลสำเร็จระดับนี้ได้นั้น ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ทว่ามากสุดเจ้าก็ฝึกได้ถึงแดนเทพฟ้าเท่านั้น หากไม่มีการถ่ายทอดสืบสานที่ยิ่งใหญ่และโอกาสที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติทั้งปวง การที่เจ้าจะบรรลุเป็นราชาเทพได้นั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”

“แต่ถ้าหากเจ้าเป็นศิษย์ของข้า ก็จะสามารถอยู่ในสรรพมหาโลกาต่อได้ อีกทั้งเข้าร่วมวังอัมพรกลียุควังอัมพรกลียุคของเราเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับจ้าวมหาเทพ มีพลังอมตะและการถ่ายทอดสืบสานที่นับไม่ถ้วน ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ปัจจัยการฝึกตนที่ดีเลิศเช่นนี้ ต้องสามารถดึงพรสวรรค์และศักยภาพในทุก ๆ ด้านของเจ้าออกมาโดยสิ้นเชิงได้อย่างแน่นอน อย่างน้อยอนาคตก็ได้เป็นมกุฏเทพ!”