มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1370

ฉินเฟยเสว่เป็นสตรีผู้ภาคภูมิของสวรรค์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ปัจจุบันนางยังเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎเทพอีก มีความหยิ่งยโสของตน เมื่อนางจะเปิดรับศิษย์ ก็มีผู้คนเบียดกันมาสมัครจนหัวแตกหัวแตนไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่ชายหนุ่มที่ถือกำเนิดในโลกามนุษย์ผู้นี้ กลับปฏิเสธนางอย่างนั้นหรือ?

เดิมทีนางยังนึกอยู่เลยว่าการที่มีศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงกว่าตัวเองนั้น ทำให้นางรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอยู่เล็กน้อย แต่ทว่าบัดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นของนางได้พังทลายลงไปได้ทันที

อัจฉริยะในโลกนี้มีเยอะมาก แต่ทว่ามีพรสวรรค์และศักยภาพไม่ได้หมายความว่า อนาคตต้องมีผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แน่นอน การถ่ายทอดสืบสาน วรยุทธ์ โอกาสและสมบัติ ล้วนเป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้

ในมุมมองของฉินเฟยเสว่ การที่นางจะรับหลัวซิวเป็นศิษย์นั้น ถือเป็นเกียรติและโชคดีของหลัวซิวมาก ๆ เป็นโอกาสและโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชั่วชีวิตนี้ของเขา

แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าหมอนี่จะปฏิเสธตัวเอง นี่จึงทำให้ความกระตือรือร้นของฉินเฟยเสว่ดับหายไปไม่น้อยเลย

นางจะรับเขาเป็นศิษย์ แต่ทว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ยินดี หรือว่าตัวเองต้องแบกหน้าขอร้องให้เขาเป็นศิษย์ตนให้ได้?

“เจ้านำเรื่องนี้ไปพิจารณาก่อนได้ ข้าจะอยู่ในฐานหยินหยางสามวัน หากเจ้าเปลี่ยนความคิดเมื่อใด สามารถบีบม้วนหยกสีแดงนั่นให้แตกได้เลย และหากเจ้ายึดมั่นในความคิดยืนยันที่จะจากไปละก็ สามารถบีบม้วนหยกสีดำนั่นให้แตก แล้วเจ้าจะถูกส่งกลับไปยังแดนเบญจธาตุในโลกามนุษย์”

ฉินเฟยเสว่พูดอย่างเรียบนิ่ง จากนั้นนางก็โยนม้วนหยกออกมาสองชิ้น ชิ้นหน่ึงสีแดงชิ้นหนึ่งสีดำ ก่อนที่เงาร่างของนางจะหายไป

สำหรับนางแล้ว สาเหตุที่นางสนใจในตัวหลัวซิวนั้น ก็เป็นเพราะเขาผ่านบททดสอบที่ตัวเองทิ้งไว้ในแดนเบญจธาตุเมื่อหลายปีก่อนเท่านั้นแหละ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ต้องรับเขาเป็นศิษย์ให้ได้

พรสวรรค์ไม่สามารถพิสูจน์เรื่องทุกอย่างได้ อย่างน้อยในสรรพมหาโลกา ผู้ที่พรสวรรค์ดีเลิศกว่าหลัวซิวมีเยอะมาก

ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจหลัวซิว มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นในขั้นตอนแรกของฐานหยินหยาง แหล่งแห่งกฎหายไปอย่างไร้สาเหตุ ผู้คุมกฎอาวุโสทุกคนต่างแตกตื่น ต่างพากันเข้าไปตรวจสอบในฐานหยินหยาง

หลัวซิวมองดูม้วนหยกทั้งสองชิ้นที่อยู่ในมือตัวเอง เขาไม่มีความลังเลใจใด ๆ เลยแม้แต่น้อย บีบม้วนหยกสีดำนั่นให้แตกในทันที

ถึงแม้เขาเองก็เข้าใจดีมาก ๆ ว่าหากได้เป็นศิษย์ของฉินเฟยเสว่ เขาสามารถเข้าไปดื่มด่ำกับปัจจัยการฝึกตนที่ดีเลิศและทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ในวังอัมพรกลียุคได้

แต่ทว่าเมื่ออยู่ในวังอัมพรกลียุคที่เปี่ยมล้นไปด้วยผู้แข็งแกร่ง ความลับที่อยู่บนตัวเขาจะถูกเปิดเผยง่ายขึ้น อีกทั้งเส้นทางการฝึกยุทธ์ของเขานั้นยากลำบากมาก ๆ ทรัพยากรที่ใช้ในการบรรลุทุก ๆ แดนก็มีแต่จะยิ่งอยู่ยิ่งมาก คอยหลังจากที่ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนที่สูงมาก ๆ แล้ว มาตรแม้นว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับจ้าวมหาเทพก็ใช่ว่าจะสามารถบ่มเพาะเขาได้เสมอไป

การตัดสินใจของหลัวซิวผ่านการทบทวนตรึกตรองอย่างลึกซึ้งแล้ว เขาเคยคำนึงถึงข้อดีข้อเสียและส่วนได้ส่วนเสียของการตัดสินใจแล้ว

อีกอย่างเขาก็ไม่สามารถอยู่ในสรรพมหาโลกาตั้งแต่บัดนี้เช่นกัน เนื่องจากพ่อแม่ ญาติพี่น้องและสหายของเขาล้วนอยู่ในโลกามนุษย์ ซึ่งพวกเขาอาจตกอยู่ในความอันตรายถึงชีวิตได้ตลอดเวลา

หลังจากที่บีบม้วนหยกสีดำแตกแล้ว พลังปริภูมิที่มากมายมหาศาลก็กระหน่ำเข้ามา ถัดจากนั้นหลัวซิวก็สัมผัสได้ว่าร่างกายของตัวเองถูกพลังปริภูมิห่อหุ้ม กลางอากาศที่ว่างเปล่าแยกออก ก่อนที่เขาจะหายวับไป

ร่างกายของเขาทะลุผ่านไปมาอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า และร่างกายของฉินเฟยเสว่ที่เพิ่งจากไปก็สั่นเทาเล็กน้อย ขมวดคิ้วที่งดงามคู่นั้นลงเล็กน้อย บนใบหน้าที่งดงามอย่างไร้ที่ติมีความโกรธเสี้ยวหนึ่ง

“ไอ้หมอนั่น ถึงกับปฏิเสธข้าอย่างไม่ลังเลใจเลยนะ หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่เหมาะกับการเป็นอาจารย์เจ้าอย่างนั้นหรือ?”ฉินเฟยเสว่ทำเสียงหึอย่างเยือกเย็น

แต่ทว่านางก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ในช่วงชีวิตสามแสนกว่าปีที่นางฝึกตนมา หลัวซิวก็เป็นเพียงอัจฉริยะที่ทำให้นางรู้สึกสนใจเล็กน้อยเท่านั้นแหละ อัจฉริยะในโลกใบนี้มีเยอะมากเพียงใด? มาตรแม้นว่าเป็นผู้ที่พรสวรรค์สูงกว่านางก็มีเยอะมากเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่สามารถฝึกจนบรรลุเป็นมกุฎเทพได้นั้น จะมีเท่าไหร่เชียว?

ฉินเฟยเสว่ไม่ได้รู้สึกว่าการที่หลัวซิวไม่ยอมกราบไหว้ตนเป็นอาจารย์นั้น เป็นการสร้างความเสียหายให้แก่ตน ในทางตรงกันข้ามนางกลับรู้สึกว่านี่เป็นความเสียหายต่อตัวหลัวซิวเอง เขาละทิ้งทางลัดที่จะได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง ไม่แน่การตัดสินใจเช่นนี้อาจจะเป็นการทำให้พรสวรรค์และศักยภาพที่ไม่ธรรมดานั่นของเขาสูญเปล่าก็เป็นได้